ค่ำวันศุกร์
ณ สนามแข่ง Blue Fires
คิดถูกหรือเปล่านะที่มา?
เมื่อก้าวเท้าเข้ามาในสนามแข่งซึ่งตอนนี้แน่นขนัดไปด้วยผู้คนมากหน้าหลายตา ความครึกครื้นที่ตัวเองไม่คุ้นเคยส่งผลให้รู้สึกประหม่าจนเผลอตั้งคำถามว่าคิดถูกแล้วจริง ๆ ใช่ไหมที่มาสนามแข่งชื่อดังตามคำชักชวนของแดน
แม้ภาพลักษณ์จะดูเป็นสาวเปรี้ยว มีกลิ่นอายปาร์ตีเกิร์ลสุดแซ่บ แต่แท้จริงแล้วฉันค่อนข้างเก็บตัว ไม่ค่อยออกมาสังสรรค์หรืออยู่ท่ามกลางผู้คนเท่าไหร่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับจุดศูนย์รวมหมู่มวลมนุษย์ที่มองซ้ายมองขวาแทบไม่มีที่ให้วางสายตาอย่างสนามแข่ง Blue Fires
แต่ทำยังไงได้ ในเมื่อดาวเด่นของค่ำคืนนี้มีทั้งแดนที่เป็นเพื่อน และผู้ชายที่ฉันชอบอย่างคราม การเมินเฉยคงไม่ใช่ตัวเลือกที่ดีนัก สุดท้ายมนุษย์ Introvert อย่างฉันจึงยอมขุดเอเนอร์จีที่มีอยู่น้อยนิดออกมาใช้อย่างช่วยไม่ได้
อันที่จริง ก่อนหน้านี้แดนอาสาจะไปรับถึงหอพักเนื่องจากฉันไม่คุ้นเคยเส้นทาง แต่ด้วยเห็นว่าเขาต้องรีบมาสแตนด์บายที่สนาม ฉันจึงปฏิเสธน้ำใจนั้นแล้วเรียกแกร็บมาส่งแทน
“ว้าว สาวเซ็กซี่คนนั้นเป็นใครกันนะ” ไม่ทันไร พลันมีหนึ่งในกลุ่มผู้ชายซึ่งยืนสูบบุหรี่ตรงปากทางเข้าส่งคำแซวมาอย่างโจ่งแจ้ง ทว่าฉันเพียงชำเลืองมองด้วยหางตาเท่านั้น
นี่เป็นหนึ่งในเหตุผลที่ฉันเกลียดการออกมาข้างนอก โดยเฉพาะสถานที่ที่คนพลุกพล่านมากเป็นพิเศษ
จริงอยู่ฉันติดบ้านและใช้เวลาส่วนใหญ่กับเพื่อนสนิทอย่างยัยเอย ทว่าในเวลาเดียวกันกลับค่อนข้างชอบแต่งตัว
หากมีวาระให้ต้องออกไปข้างนอก (ถ้าไม่ใช่สถานที่ราชการ) เสื้อผ้าที่ฉันสวมใส่แม้ไม่โป๊มากทว่าให้ความรู้สึกเซ็กซี่ บ้างโชว์ทรวดทรงองเอว ส่งผลให้บางครั้งมักถูกพวกผู้ชายละลาบละล้วงทางสายตา ไม่เว้นแม้แต่แทะโลมกันผ่านวาจาเช่นวันนี้
มีวินัยอยู่หลายปีกว่าจะปั้นหุ่นนี้ออกมาได้ ฉันแค่พราวด์ทูพรีเซนต์น่ะ คนจะมองบ้างมันไม่แปลก แต่มองแล้วเผยสันดานหยาบคายเหมือนใช้อัณฑะนำสมอง อันนี้ก็น่าล้วงคออ้วกอยู่
“ดูเหลอหลานะนั่น หลงทางหรือเปล่า ต้องให้ช่วยนำทางไหมนะ”
“กามอย่างมึงไม่น่านำทางเค้าหรอก แต่คงลากเค้าไปเข้าป่าเลย”
คนเราสามารถเผยความคิดที่เป็นภัยต่อสังคมได้อย่างโจ่งแจ้งขนาดนี้เชียวเหรอ
“หุบปากเหอะ สมมติถ้าเค้าเป็นแฟนของหนึ่งในนักแข่งวันนี้ขึ้นมาระวังจะไม่เหลือฟันประดับปากเอานะเว้ย!”
อีกคนปรามคล้ายห่วงความปลอดภัยของเพื่อน ทว่าท้ายที่สุดก็หัวเราะระงมเหมือนแค่แซวเอาขำ ไม่ได้จริงจังอะไร
ด้านฉันยังคงมองข้าม ทำเป็นไม่ใส่ใจ
พรึ่บ!
แต่แล้วก็ต้องสะดุ้งเฮือก เพราะอยู่ดี ๆ ดันมีบุคคลปริศนาพุ่งเข้าสวมกอดจากด้านหลังโดยไม่บอกกล่าว อารามตกใจ...ฉันยกมือขึ้นจิกหัวเตรียมกระชาก ทว่าเสียงทุ้มแหบดังขึ้นข้างหูเสียก่อน
“ใจเย็นดิ นี่เพื่อนเอง แดนคนเดิมเพิ่มเติมคือความหล่อไง” ประโยคนั้นรัวเร็วเหมือนรู้ว่าหากช้ากว่านี้แม้เพียงเสี้ยววินาทีหนังศีรษะอาจติดมาพร้อมกระจุกผมที่ฉันดึง ทว่าในสถานการณ์นั้นก็ยังติดเล่นสมกับเป็นเขา
ให้ตายเหอะ!
“นายเป็นโจรหรือไง!” ฉันลดมือลง เปลี่ยนมาใช้ข้อศอกกระแทกลงกลางหน้าท้องเขา เมื่อหมุนตัวกลับไปก็พบว่าเจ้าตัวดูไม่ทุกข์ร้อนมากนัก
“โจรที่ไหนหล่อแบบนี้” หมือกุมท้อง แต่ปากไม่วายอวยตัวเองอย่างภาคภูมิใจ
เหลือจะเชื่อเลยนายคนนี้
“จะอ้วก” เบะปากพลางกลอกตา ก่อนเหลือบมองวัยรุ่นกลุ่มนั้นซึ่งสงบปากสงบคำเป็นที่เรียบร้อยแล้ว “แล้วนี่แข่งกี่โมง”
ฉันลากสายตากลับมา เจ้าตัวจึงยกนาฬิกาข้อมือขึ้นดู
“อีกประมาณชั่วโมงหนึ่ง หิวไรมะ แถว ๆ นั้นมีคาเฟ่ด้วย” แดนพยักพเยิดหน้าไปยังทิศซ้ายซึ่งเป็นจุดที่ฉันเพิ่งเดินผ่านมา
“ไม่หิวเท่าไหร่”
ตอบพลางกวาดสายตาไปรอบ ๆ จังหวะนั้น...พลันบังเอิญพบร่างสูงของใครบางคนยืนสูบบุหรี่อยู่มุมอับเพียงลำพัง
เขาอยู่ในชุดไปรเวทธรรมดา เสื้อกล้ามเว้าลึก กางเกงยีนขาดเซอร์ เรือนผมยุ่งฟูคล้ายขี้เกียจเซต แต่น่าแปลกที่การแต่งตัวเหมือนไม่ได้พิถีพิถันเท่าที่ควรนั้นกลับดูดีเกินต้านทาน ไม่ว่าใครก็ตามที่เดินผ่านหรือหันไปเจอโดยบังเอิญ มักจะแช่สายตาเนิ่นนานโดยไม่รู้ตัว ยิ่งมองรวมกับรอยสักภาษาจีน **(มีความหมายว่าสีคราม) ตรงหัวไหล่ด้านขวาด้วยแล้ว...ยิ่งขับให้เขาดูแบดทว่าน่าหลงใหลเข้าไปใหญ่
คราม เขาอยู่ตรงนั้นตั้งแต่เมื่อไหร่นะ ทำไมฉันเพิ่งเห็น
ทว่าเหนือคำถามเหล่านั้น...ฉันกลับสังเกตเห็นรอยช้ำบนผิวแก้มและมุมปากซิบเลือด จริงว่าระยะห่างระหว่างเราไม่ได้อยู่ในจุดที่สามารถมองเห็นได้ชัดถนัดตาร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่สำหรับคนที่รู้แม้กระทั่งตำแหน่งขี้แมลงวันบนตัวเขา มีเหรอจะมองไม่ออกว่านั่นคือแผลจากการโดนทำร้าย
และฉันรู้ รู้ว่าเป็นฝีมือใคร
อีกแล้วสินะ...
“อยู่คนเดียวได้ใช่ไหม ขอไปเตรียมตัวก่อน มีอะไรรีบโทร.มานะรู้เปล่า” เสียงของแดนปลุกฉันจากภวังค์ ดังนั้นฉันจึงลากสายตากลับมา พยักหน้าตอบรับเขาโดยไร้เสียง “อย่าลืมเชียร์ด้วยล่ะ”
แดนสำทับอีกครั้ง แน่นอนว่าฉันก็พยักหน้ากลับไปแบบเดิม
แดนรู้ว่าฉันคิดยังไงกับคราม รู้ทั้งรู้ว่าหนึ่งในเหตุผลที่ฉันยอมมาที่นี่คือคราม แต่แดนก็ไม่วายกำชับให้เชียร์เขา
สองคนนั้นไม่ถูกกัน ใช้คำว่าเกลียดเข้าไส้คงไม่เกินจริง แต่จุดบาดหมางคืออะไรไม่มีใครรู้
แม้กระทั่งสาเหตุที่แดนกับครามลงสนามพร้อมกันในวันนี้ ฉันเองก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน
เดิมพัน การพนัน หรือแค่เอามัน...เหมือนอย่างที่แดนเคยบอก
เผลอครุ่นคิดและพรูลมหายใจหนักหน่วง ครั้นได้สติอีกครั้งก็พบว่าทั้งแดนและครามไม่อยู่ในระยะสายตาแล้ว
คงไปสแตนด์บายละมั้ง
Fahkram Describe.
ซ่า!
ผมวิดน้ำจากก๊อกใส่หน้าอย่างบ้าคลั่ง ใช้ความเย็นเยียบของมันชะล้างความหงุดหงิดที่ยังคุโชนใต้ผิวกาย ก่อนเงยหน้าขึ้นมองตัวเองผ่านเงากระจกในห้องน้ำ เห็นรอยตบข้างแก้มและบาดแผลบริเวณมุมปากแล้วความหงุดหงิดยิ่งทบทวีเข้าไปใหญ่
พลันนั้น ภาพเหตุการณ์ชั่วโมงก่อนหลั่งไหลเข้าสมองโครมใหญ่ ดั่งแผ่นหนังฉายซ้ำที่มีเจตนาตอกย้ำให้ผมรู้สึกเวทนาในตัวเอง
“ไอ้ลูกไม่รักดี แกจะไปไหนอีก”
“ผมจะออกไปข้างนอก”
“ไปไหน! ไปกินเหล้าเมายากับเพื่อนแกล่ะสิ”
“เปล่าครับ”
“คิดว่าฉันไม่รู้เหรอว่าแกทำตัวเสเพลแค่ไหน พอแม่ตายแกก็เหลวไหล ทุกวันนี้คนเขาเอาไปพูดกันใหญ่ว่าฉันมีลูกห่วย ๆ งานการไม่ทำ ไปเรียนก็เหมือนจะไปยกพวกตีกับคนอื่นเขา!”
“แต่ผม...”
เพียะ!
“แกมันเลี้ยงเสียข้าวสุก!”
“หึ...”
ผมแค่นหัวเราะทั้งที่สีหน้ายังเรียบตึง
พ่อชอบคิดว่าผมทำตัวเหลวแหลก เหตุผลหลักอาจมาจากภาพลักษณ์ที่ไม่เข้าตาผู้ใหญ่ ทั้งรอยสัก สีผม การแต่งตัว หรือแม้แต่วิธีการพูดที่ติดจะห้วนสั้น องค์ประกอบเหล่านี้ขับให้ผมดูเป็นพวกหัวขบถ พอทำตัวไม่ถูกใจเพียงเล็กน้อยก็ถูกด่าทอว่าเสเพล
ยอมรับว่าเป็นคนหนึ่งที่อาจผิดพลาดบ้างในอดีต ทว่า ณ ตอนนี้ผมเป็นตัวเองในเวอร์ชันที่ดีขึ้น แทบไม่ขาดเรียน เข้าสอบทุกรอบ ผลการเรียนไม่แย่ ต่อยตีน้อยลง แต่เพราะพ่อไม่คิดจะใส่ใจ เลยไม่รู้ว่าลูกชายท่าทางเกเรคนนี้ใช้ความพยายามอย่างแสนสาหัสเพื่อให้ท่านภาคภูมิใจ แม้เสียงสักเศษเสี้ยวก็ยังดี
แต่ทำยังไงได้ ในเมื่อภรรยาใหม่ของท่านไม่ชอบผม เธอใช้ความสวย ความสาว และเล่ห์เหลี่ยมแพรวพราวควบคุมพ่อ เป่าหูจนท่านเชื่อสนิทใจว่าผมเกกมะเหรกจริงอย่างที่เธอกล่าว