“ถอย” วลีห้วนสั้นทว่าเย็นเยียบไปถึงขั้วหัวใจเล็ดลอดผ่านหมวกกันน็อก น้ำเสียงทุ้มแหบคุ้นหูนั่น...มากพอจะยืนยันว่าผู้ชายตรงหน้าเป็นใคร
สิ้นคำพูดดังกล่าว แทนที่ฉันจะหลีกทาง กลับยืนอึ้งที่เขามาปรากฏตัวแบบไม่บอกกล่าว เป็นเหตุผลให้คนตัวสูงเดินกระแทกไหล่ฉันอย่างจงใจ...ย้อนกลับไปยังจุดเกิดเหตุด้วยท่าทีสุขุมทว่าถือดีเป็นที่สุด ก่อนประจันหน้ากับพวกนั้นอย่างเปิดเผย ประกาศให้รู้แจ้งว่ามาที่นี่ด้วยจุดประสงค์อะไร
“มึงเป็นใคร” หนึ่งในพวกขี้เมาเห็นเข้าจึงเดินดุ่มมาผลักอกเขา แต่ผู้ชายคนนั้นไม่สะเทือน แถมยังคว้าหมับเข้าที่คอเสื้อจนปลายเท้าคนเสียเปรียบแทบลอยเหนือพื้น
ตัวฉันยืนอยู่ไม่ไกล รู้สึกตกใจแต่ไม่มากมายอย่างที่ควรเป็น
คงเพราะรู้ดีว่าเขาไม่ได้แค่ตัวสูงใหญ่หรือมีมัดกล้ามไว้ประดับกาย แต่พละกำลังยามหยิบจับหรือทำอะไรก็มากมายมหาศาล สอดรับกับนิสัยชอบออกกำลังกายตั้งแต่เด็กของเขานั่นแหละ
แค่แปลกใจนิดหน่อยว่าทำไมถึงโผล่มา มิหนำซ้ำยัง...เหมือนจะช่วยฉันด้วย
ไม่อยากคิดเข้าข้างตัวเองเลย แต่ภาพทุกอย่าง ณ ตอนนี้มันฟ้องน่ะ
“แล้วมึงเป็นใคร” เสียงทุ้มดังทะลุผ่านหมวกกันน็อก “ตอบกูมา”
“อึก! ปล่อยกู”
หนึ่งในพวกหมาหมู่หลังตระหนักรู้ว่าสู้ไม่ได้เริ่มดิ้นขลุกขลัก ส่งผลให้ผู้มาใหม่พยักหน้าเอื่อย ๆ ก่อนเหวี่ยงมันไปกระแทกกับต้นไม้ใกล้ ๆ เหมือนว่าสิ่งนี้คือวิธีสั่งสอนที่เหมาะสมที่สุด
เสียงอึกทึกครึกโครมเริ่มทำให้คนรอบข้างหันมาสนใจเรา เพราะก่อนหน้านี้วาจาคุกคามของพวกชายแท้ขี้เมาไม่ได้ดังพอจะทำให้คนรอบข้างเหลียวมอง
พวกที่เหลือมีท่าทีสับสนและหวาดหวั่น สถานการณ์คับขันคงทำให้สร่างเมาบ้างแล้ว จากที่อยากปะทะก็กลายเป็นถอยกรูด ล่าทัพตัวใครตัวมัน ไม่สนเพื่อนอีกคนที่นอนโอดโอยอยู่บนพื้น
ปีศาจร้ายซึ่งรับบทเป็นผู้ผดุงความยุติธรรมชั่วคราว...ชำเลืองมองไอ้คนที่เตรียมลุกขึ้นหนี ทว่ากลับไม่ปล่อยให้มันทำตามที่ใจต้องการ เขาตะปบมือลงบนเส้นผมสีดำหยิกหย็อย ขยุ้มแน่นด้วยมือซ้าย ก่อนใช้มือขวาล้วงสมาร์ตโฟนต่อสายหาตำรวจ
ซึ่งอย่างที่บอก เพราะสถานีตำรวจอยู่ไม่ไกล เพียงไม่นานมันจึงถูกจับกุม ในขณะที่เขาคนนั้น...ทำเพียงเดินย้อนกลับไปยังจุดที่จากมา ไม่มองกันแม้เพียงหางตา ไม่ถามไถ่หรือร่ำลา มีแค่ฉันเท่านั้นที่จับจ้องเขาอยู่ตลอด ไม่แม้กระทั่งตอนเขาขึ้นคร่อมบิ๊กไบก์แล้วขับจากไป
ตลอดจนพ้นระยะสายตา ความสับสนฉงนฉงายก็ไม่วายเข้ามามีบทบาทอย่างเต็มรูปแบบ
ไม่เข้าใจเลย
เขาเกลียดฉันไม่ใช่เหรอ รังเกียจกันมากไม่ใช่หรือไง ไหนว่าไม่ชอบขี้หน้า...
ถ้าความรู้สึกพวกนั้นเป็นของจริง แล้วนายมาช่วยฉันทำไมล่ะ ทำไมไม่ปล่อยฉันเผชิญหน้ากับอันตรายเพียงลำพัง ทำไมไม่เฉยเมยหรือหัวเราะเยาะที่ได้เห็นฉันถูกรังแก
ตอบมาสิคราม
สองวันถัดมา
DAN : ยังไม่ถึงคาบเรียนใช่มะ มาหาหน่อยดิ ชั้น6
Seeplerng : ทำไมไม่มาหาเองล่ะ
DAN : เดี๋ยวสาวกรี๊ด...
ฉันแทบโก่งคออ้วก หลังอ่านข้อความที่ ‘แดน’ ส่งเข้ามาในแชตไลน์ช่วงเก้าโมงเช้า
จริงอย่างที่เขาว่า...ตอนนี้เพิ่งเก้าโมงครึ่ง ฉันมีเรียนสิบโมง กว่าจะถึงเวลาก็อีกสักพัก เพราะแบบนี้เลยนัดไปเจอที่คณะสินะ แต่เหตุผลไม่ไหวจะเคลียร์เลย โคตรน่าหมั่นไส้
แม้จะรู้สึกพะอึดพะอมในความหลงตัวเองของเขา ทว่าฉันก็ไม่ได้เพิกเฉยปล่อยให้อีกฝ่ายรอเก้อ รีบลุกจากม้านั่งหน้าคณะ ไม่มีอะไรทำพอดี วันนี้ยัยเอยลาป่วยด้วย คุยกับแดนคงพอฆ่าเวลาระหว่างรอเรียนได้บ้าง
แดนคือเพื่อนต่างคณะของฉัน เรารู้จักกันช่วงปฐมนิเทศน์ปีหนึ่ง จำได้ราง ๆ ว่าเขาหาคณะของตัวเองไม่เจอ บังเอิญพบฉันเข้าพอดีจึงขอความช่วยเหลือ แน่นอนว่าตัวฉัน ณ ตอนนั้นไม่คุ้นชินกับเส้นทางในมหาวิทยาลัยเช่นกัน จึงพากันงมเข็มในมหาสมุทร เหลอหลาทึ่มทื่อไปด้วยกันนานนับชั่วโมง
เราคุยกันบ่อยขึ้นตั้งแต่นั้นมา ทว่าระดับความสนิทสนมยังเรียกได้ว่าครึ่ง ๆ กลาง ๆ เพราะส่วนใหญ่ฉันมักขลุกอยู่ที่คณะของตัวเองกับยัยเอย จะบังเอิญเจอเขาในโรงอาหาร หรือนอกรั้วมหาวิทยาลัยมากกว่า
ในส่วนของโซเชียล มีพูดคุย แลกเปลี่ยนเรื่องราวกันบ้าง เฉลี่ยแล้วคงสัปดาห์ละสองถึงสามครั้งมั้ง
อย่างวันนี้ เจ้าตัวคงมีเรื่องอยากคุยจริง ๆ นั่นแหละเลยส่งแชตมาหาแต่เช้า
ใช้เวลาไม่นานนัก ฉันก็พาตัวเองมาถึงตึกคณะวิศวกรรมศาสตร์ คณะที่มีผู้ชายประมาณแปดสิบเปอร์เซ็นต์จากทั้งหมด พอฉันปรากฏตัวจึงถูกจับจ้องบ้างเป็นธรรมดา
ความตั้งใจแรกเริ่มของฉันคือกะขึ้นลิฟต์จากชั้นแรก แต่พอถูกสายตาหลายคู่เพ่งเล็งนานเข้าจึงทนความอึดอัดต่อไปไม่ไหว เลยยอมขึ้นบันไดไปรอลิฟต์ที่ชั้นสองแทน
ประมาณครึ่งนาทีประตูลิฟต์พลันเปิดกว้าง ซึ่งก็ช่างตลกร้ายสิ้นดี เมื่อพบว่าในลิฟต์ตัวดังกล่าว มีใครบางคนยืนกอดอกทำหน้าเหม็นเบื่อตรงมุมสุดเพียงลำพัง
ความบังเอิญอันน่าขันนี่ ส่งผลให้เราสบตากันอย่างเงียบเชียบ ฉันไม่ขยับเท้า เช่นเดียวกันกับเขา...ที่นิ่งค้างอยู่ครู่หนึ่ง ทว่าสุดท้ายเขาก็เลือกเบือนหน้าหนี ประหนึ่งว่าการจ้องมองฉันนาน ๆ มีผลเสียอย่างรุนแรงต่อชีวิตเขา
คราม...
คราแรก ฉันแอบชั่งใจเล็กน้อยว่าจะเข้าไปดีไหม เพราะเหตุการณ์ล่าสุดทิ้งตะกอนความสับสนไว้ในใจฉันจนหาคำตอบไม่ได้ว่าจะวางตัวยังไงยามเจอหน้า แต่ถ้ารอลิฟต์อีกสองตัวก็คงอีกสักพักใหญ่ ๆ เพราะแบบนั้น...ฉันจึงสูดลมหายใจเข้าปอด พรูออกมาจนหมดถึงก้าวเข้าไปด้านในอย่างสง่าผ่าเผย
ทันทีที่ประตูลิฟต์ปิด ความเงียบจากรอบข้างพลันเลือนหายจากประสาทสัมผัส รับรู้เพียงลมหายใจจากคนที่ยืนอยู่ด้านหลัง รวมถึงกลิ่นน้ำหอมคุ้นจมูก...ซึ่งเป็นกลิ่นเดียวกันกับของฉัน
กลิ่นหอมอ่อนจางอบอวลนั่น ทำให้ฉันรู้สึกราวกับว่ามีอีกหนึ่งตัวตนของตัวเองแยกกายออกมา ทำเอาประหม่าจนเผลอเม้มริมฝีปากแน่น
“เพลิงฉีดน้ำหอมอะไร”
“หืม ทำไมเหรอ”
“หอมมาก”
“อ้อ ของแบรนด์นี้น่ะ”
“ขอฉีดด้วยคนสิ”
“อยู่ดี ๆ มานึกอยากฉีดน้ำหอม ผีเข้าเหรอคราม”
“อยากให้กลิ่นติดตัวจนถึงบ้าน”
“...”
“...พอดมกลิ่นจะได้นึกถึงหน้าเพลิงไง”
หลังจากนั้น พอเจอหน้ากัน ฉันจึงมักพรมน้ำหอมกลิ่นนี้ลงบนเสื้อ ข้อมือ หลังหู และตามจุดชีพจรต่าง ๆ ของเขา พอมันกลายเป็นกลิ่นประจำของเรา ครามจึงใช้น้ำหอมแบรนด์นี้มาโดยตลอด
...ไม่เว้นแม้แต่ตอนนี้ ที่ไม่เหลือเรื่องราวดี ๆ ระหว่างเราอีกต่อไป
ติ๊ง!
ฉันหลุดจากภวังค์ความคิดเมื่อประตูลิฟต์เปิดกว้างอีกครั้ง คราวนี้มีกลุ่มนักศึกษาจำนวนหนึ่งทยอยกันเข้ามา ส่งผลให้ฉันต้องถอยไปด้านหลังเพื่อเพิ่มพื้นที่ให้ผู้มาใหม่ ดูจากความเร่งรีบและพยายามยัดตัวเองในพื้นที่คับแคบสุดความสามารถ เดาว่าคงรีบละมั้ง
แต่จากความดันทุรังนั้น คนที่อยู่ลึกสุดอย่างฉันจึงต้องมารับกรรมไง
ให้ตาย...
เมื่อไม่มีทางอื่นให้หลบหนี แผ่นหลังของฉันจึงสัมผัสกับแผงอกกรุ่นร้อนในเวลาต่อมา...ทว่าเหมือนสวรรค์จะยังไม่สาแก่ใจ เพราะคนข้างหน้าเกิดดันกันเข้ามาอีก สุดท้าย...จุดที่เสียดสีกันก็ไม่ได้มีแค่แผ่นหลังกับเรือนกายส่วนหน้า
หากแต่เป็นสะโพกของฉันที่กำลังเบียดชิดกับต้นขาของเขา
ถึงกับต้องสบถว่า ‘บ้าเอ๊ย’ ในใจ หลังค้นพบว่าตัวเองไม่มีพื้นที่ให้เลี่ยงหลบอีกแล้ว ต้องทนแบกรับความประหม่าในสถานการณ์สุดล่อแหลมนี้ต่อไป จนกว่าลิฟต์จะขยับขึ้นไปถึงชั้นหก