ครามชะงักกึก หันขวับอย่างฉุนเฉียว พอคำตอบประจักษ์ชัดว่าเจ้าของการกระทำเป็นฉัน คลื่นอารมณ์ในแววตาคล้ายขุ่นมัวเป็นเท่าตัว มิหนำซ้ำยังสลัดมือฉันทิ้งอย่างไม่ใยดี
ประหนึ่งว่า...สัมผัสของฉันช่างน่ารังเกียจ
“อย่ามายุ่ง”
ขยับปากเป็นเสียงดุกร้าวเสร็จก็เตรียมเดินหนี ทว่าฉันที่หน้าด้านหน้าทน อีกทั้งยังไร้ยางอายกลับวิ่งไปดักหน้าเขา ดันทุรังทั้งที่รู้ดีว่าการกระทำนี้มีแต่จะทำให้ครามไม่พอใจ
“หน้าไปโดนไรมา” จุดประสงค์หลักคือเรื่องนี้ ดังนั้นฉันจะไม่ปล่อยผ่านโดยเด็ดขาด “พ่ออีกแล้วใช่ไหม”
“ไม่ใช่ธุระของเธอ” ครามตัดฉับด้วยฝีปากที่คมดุจกรรไกร
ถึงอย่างนั้นฉันกลับไม่ถอยห่าง ไม่หลีกทาง ดื้อรั้นกว่าครั้งไหนเพราะเป็นห่วงความรู้สึกของเขา
ใต้ความแข็งกระด้าง มีเพียงฉันที่เข้าถึงความบอบช้ำในหัวใจเขา และด้วยเหตุผลนั้น แม้ถูกผลักไสด้วยวาจาห่างเหิน ฉันจึงไม่อาจปล่อยผ่านยังไงล่ะ
สุดท้ายเมื่อครามไม่พูดอะไรฉันจึงคว้าข้อมือเขาอีกครั้ง จับจูงอยู่เกือบนาทีกระทั่งหามุมที่คนไม่ค่อยพลุกพล่านได้สำเร็จ
ครามหลุบมองข้อมือตัวเองด้วยสายตาว่างเปล่า ซึ่งคราวนี้เป็นฉันเองที่คลายออก เพราะหากถูกสลัดทิ้งเป็นหนที่สอง...ฉันคงฝืนยิ้มได้ยากกว่าเดิมแน่
“มันบวม ทำไมไม่ทำแผลดี ๆ ก่อนลงแข่ง”
ไม่รอช้า ฉันเอ่ยถามพลางมองเลือดแห้งกรังบนริมฝีปากหยักบาง ก่อนย้ายสายตาไปยังผิวแก้มแดงเถือกอันปรากฏรอยนิ้วมือขนาดใหญ่
นี่ไม่ใช่ครั้งแรก เดือนหนึ่งฉันเห็นเขาได้แผลประดับกายไม่ต่ำกว่าสามครั้ง หนึ่งในผู้ปองร้ายคือคนในครอบครัว คือผู้ปกครองเพียงคนเดียวในชีวิตเขา
“อย่ามาสงสารฉัน” เขากดเสียงต่ำ “จะไปไหนก็ไป”
“ฉันไม่ได้สงสาร อย่างี่เง่า” ครามมักคิดว่าคนที่ห่วงใยเขา แท้ที่จริงแล้วสมเพชเวทนา ไม่เข้าใจเลยว่าทำไมชอบคิดไปเอง “ที่นี่มีรถพยาบาลนี่ ไปทำแผล”
กล่าวเสียงดุแล้วเตรียมเดินนำไปยังรถพยาบาลเคลื่อนที่ ทว่าครามกลับคว้าข้อมือฉันไว้ทันควัน ก่อนออกแรงกระชากเข้าตัวเหมือนหงุดหงิดเต็มทน!
“โอ๊ย...” เสียงร้องผะแผ่วดังขึ้นโดยอัตโนมัติ เพราะครามบีบโดนแผลสดใหม่ตรงข้อมือฉันอย่างจัง
แน่นอนปฏิกิริยานั้นส่งผลให้เขารีบปล่อยมือ ตามด้วยหลุบมองรอยถากที่ปริมาณเลือดปริ่มมากกว่าเดิมจากแรงบีบของเขา
พรึ่บ!
“ก่อนมายุ่งเรื่องคนอื่น เอาชีวิตตัวเองให้มันรอด”
ค่อนขอดเสร็จก็ล้วงเอาผ้าเช็ดหน้าออกจากกระเป๋ากางเกง ก่อนเขวี้ยงใส่หน้าฉันเหมือนไปโกรธใครมาสิบชาติ
หมับ!
ฉันรับมันไว้ ก้มพิจารณาผืนผ้าสีดำสนิทไม่นานนักก็เงยหน้าขึ้นอีกครั้ง
ครามได้แผลบ่อย อีกทั้งยังขี้ร้อน เพราะแบบนั้นจึงต้องพกผ้าเช็ดหน้าไปไหนมาไหนตลอด ที่สำคัญ...เขาไม่ชอบใช้ของร่วมกับใคร แต่กลับให้สิ่งนี้กับฉัน
“คราม” เสียงฉันแหบแห้งไปชั่วขณะ ภายในว้าวุ่นและสับสน อยากยิ้มสักนิดทว่าร่างกายเหมือนจดจำแค่ว่าต้องไม่ระริกระรี้ยามอยู่ต่อหน้าเขา
“ให้ ไม่ต้องเอามาคืน”
“...”
“ของที่เธอสัมผัสแล้ว ฉัน 'ไม่สะดวกใจ' จะใช้ต่อ”
อ้อ...ฉันมันน่ารังเกียจขนาดนั้นเลยใช่ไหม
สกปรกโสมมถึงขนาดต้องพูดจารุนแรงใส่กันแบบนี้เลยสินะ
“แล้วฉันอ้อนวอนนายเหรอคราม? ฉันกราบตีนนายเพื่อจะขอไอ้ผ้าโง่ ๆ นี่หรือไง” โดนเหยียดหยามหนักเข้า...ฉันจึงทนทำตัวน่าสมเพชต่อไปไม่ไหว ดังนั้นผ้าเช็ดหน้าที่เขาเขวี้ยงใส่หน้ากันอย่างไร้ค่า จึงถูกฉันปาลงพื้น เจตนาให้เห็นเต็มสองตาว่าเศษเดนความสงสารที่มาพร้อมคำดูถูก...ฉันเองก็ไม่ได้กระสันจะครอบครองนัก ถ้าทำได้ก็อยากใช้เท้าขยี้ซ้ำ ติดตรง...ระดับความใจแข็งยังไม่มากพอ “งั้นก็ไม่ขอรับไว้เหมือนกัน”
“แล้วแต่...” เจ้าของผ้าเช็ดหน้าเฉยเมยต่อการกระทำของฉัน จากนั้นหมุนตัวเดินจากไป
ทำไมไอ้หัวใจเฮงซวยถึงเอาแต่จมปรักกับเขา ไปรักคนอื่นที่ดีกว่านี้ไม่ได้หรือไง?