เวลาต่อมา
ฉันเพิ่งแชตไปบอกแดนว่ากลับหอแล้วเพื่อไม่ให้เขาเป็นกังวล ทั้งที่ความจริงยังติดแหง็กอยู่หน้าทางเข้าสนามแข่ง
ก่อนหน้านี้ลองใช้แอปฯ แกร็บเหมือนตอนขามา แต่ปรากฏว่าไม่สามารถค้นหาคนขับได้ สุดท้ายฉันจึงต้องมายืนรอแท็กซีท่ามกลางผู้คนที่ชุกชุมจนน่ากลัว
จำนวนแท็กซีไม่ได้น้อย แต่คนต่างหากที่เยอะ ส่งผลให้ปริมาณคนรอไม่สอดรับกับบริการ แน่นอนว่าหนึ่งในผู้เผชิญชะตากรรมนั้นมีฉันอยู่ด้วย
เอาไงดี หรือจะกลืนน้ำลายตัวเอง แล้วโทร.ไปขอร้องให้แดนไปส่งที่หอ?
ตอนนี้ค่อนข้างดึกมากแล้ว หากรอต่ออีกชั่วโมง หรืออาจสองชั่วโมง มีหวังกลับถึงหอเกินเที่ยงคืนแน่
นอกจากอุณหภูมิที่ลดต่ำลงเรื่อย ๆ ยังมีเรื่องความปลอดภัยเข้ามาเกี่ยวข้อง คิดดู...ขนาดจุดที่ฉันยืนพลุกพล่านไปด้วยผู้คน แต่ตลอดเวลาที่ยืนอยู่ตรงนี้ ฉันกลับรับรู้ถึงสายตาหลากคู่ สัญชาตญาณร่ำร้องอยู่ภายในว่าความรู้สึกร้อน ๆ หนาว ๆ นี้คือสัญญาณเตือนภัย
“คนสวย ไม่มีคนไปส่งเหรอคะ” พูดไม่ทันขาดคำ...
ฉันเคลื่อนสายตาไปยังต้นตอของเสียง เมื่อพบว่าเป็นหนุ่มขี้เมาคนหนึ่งที่ตรงเข้ามาหยุดยืนอยู่ข้างกันอย่างเปิดเผย จึงเขยิบถอยเพื่อรักษาระยะห่าง
“...” แน่นอนว่าฉันไม่แม้แต่จะปริปาก
“ให้พี่ไปส่งดีกว่า รถพี่จอดอยู่ตรงโน้น โอ๊ย”
ตุ๊บ
ถึงกับชะงัก เพราะอยู่ดี ๆ ดันมีวัตถุอะไรสักอย่างลอยลิ่วมากระแทกศีรษะไอ้ขี้เมาอย่างแม่นยำจนเซไปอีกทาง ตามด้วยเสียงเข้มคุ้นหู “มานี่” ...จากทิศทางที่วัตถุดังกล่าวลอยมา
ฉันหันกลับไปมอง พบครามจอดบิ๊กไบค์อยู่ไม่ไกลจากตรงนี้มากนัก และเพราะไม่สวมหมวกกันน็อกนั่นแหละ จึงเห็นชัดถนัดตาว่าเขาใช้สายตาแบบไหนจับจ้องกัน
ผ่านไปเป็นชั่วโมงแล้วนับตั้งแต่เหตุการณ์ล่าสุดที่เราเจอกัน นึกว่ากลับไปแล้วซะอีก ทำไมถึง...
“...” แม้คำตอบประจักษ์ชัดว่าเจ้าชายขี่ม้าขาวคือคนที่เพิ่งสาดวาจาหยามเหยียดกันอย่างร้ายกาจ ฉันจึงทำเพียงมอง ไม่ได้ก้าวเท้าเข้าไปหาตามที่เขาต้องการ
พรึ่บ!
“ใส่ซะ” รู้อีกที ครามก็ขับเจ้าบิ๊กไบก์มาจอดตรงหน้าฉัน ไม่รอให้หยิบยื่นคำปฏิเสธก็มัดมือชกด้วยการโยนหมวกกันน็อกใส่กัน กดเสียงออกคำสั่งเหมือนตัวเองคือความหวังที่ฉันต้องไขว่คว้า
“ฉันจะกลับเอง” ดังนั้น...หลังรับหมวกกันน็อกเอาไว้โดยสัญชาตญาณ จึงไม่รอช้าที่จะยื่นมันคืนเจ้าของ ทั้งยังย้ำเตือนให้ครามรู้ว่าฉันไม่มีความจำเป็นต้องทำตามคำสั่งของเขา
หมับ!
ทว่าคนสารเลวก็ยังสารเลวอยู่วันยันค่ำ ครามไม่รับหมวกกันน็อกคืน ทั้งยังคว้าหมับเต็มข้อมือ ซึ่งเป็นคนละข้างกับที่ได้แผล ออกแรงกระชากให้ฉันถลาเข้าไปใกล้
ผีเข้าหรือไง!
“อวดดีไม่เข้าเรื่อง” เสียงดุเข้มนั้นแฝงเร้นกลิ่นอายแห่งการตำหนิ “สวมหมวก”
ล็อกแขนไม่ให้ฉันถอยห่างไปไหนได้แล้วก็ออกคำสั่งซ้ำเป็นหนที่สอง
“ทำไมต้องสวม” ฉันเลิกดิ้นรน ทว่าน้ำเสียงที่ใช้ยังจัดว่าดื้อแพ่ง จงใจให้ครามรู้ชัดว่าผู้หญิงหน้าโง่ที่รักเขาอย่างไร้ข้อแม้ไม่ได้เห็นดีเห็นงามกับทุกอย่างที่เขาทำ
เลวคือเลว ต่ำคือต่ำ เหี้ยคือเหี้ย
รับได้บ้างไม่ได้บ้างขึ้นอยู่กับสถานการณ์
“จะอยู่ให้ไอ้เหี้ยนั่นย้อนกลับมาลวนลาม?” นอกจากไม่ตอบคำถามกันแล้ว ครามยังย้อนถามพลางเลิกคิ้ว
คงหมายถึงไอ้ขี้เมาเมื่อครู่นี้ ซึ่งหลังถูกครามปาก้อนหินใส่เต็ม ๆ หัวก็วิ่งหนีหายไปไหนแล้วไม่รู้
ช่างเถอะ ไปแล้วก็ดี
“ถ้าลวนลามแล้วยังไงต่อ” ตอนกล่าวประโยคนี้ ฉันแทบแค่นหัวเราะ “นายเป็นเดือดเป็นร้อนไร”
เป็นฝ่ายเดินหนีไปเอง เป็นฝ่ายเฉยชาเอง แล้วนึกครึ้มอะไรถึงอยากช่วยเหลือกัน
ทำไมต้องตบหัวแล้วลูบหลังด้วย ตลกมากเหรอ
“เห็นแล้วแค่สมเพช”
อ้อ เหตุผลที่แท้จริงคือแบบนี้เองสินะ
อุตส่าห์หยิบยื่นเศษเสี้ยวความปรานีเพียงเพราะสมเพชกัน...ช่างเป็นผู้ชายที่ใจหมาได้คงเส้นคงวาเสียจริง ๆ
“...” ได้ฟังแรงจูงใจชัดเต็มสองหู เส้นเสียงถึงกับถูกแช่แข็งไปชั่วขณะ
“...เร็ว” และพอฉันไม่ตอบสนองเขาทั้งทางกายและวาจา ริมฝีปากหยักบางพลันขยับเป็นคำเร่งเร้า “สวมหมวกซะเพลิง แล้วรีบขึ้นมา”
บางที ฉันอาจเคยเห็นด้านที่ดีที่สุดของเขา เคยเห็นมุมที่อ่อนโยน น่ารัก และน่าหลงใหลที่สุดมาก่อนแล้ว ครั้นถูกทำร้าย ถูกเหยียบย่ำ ถูกบีบให้กลายเป็นของตายในเงามืด แม้ซีกหนึ่งจะอยากปฏิเสธให้รู้ดำรู้แดง แต่อีกซีก...กลับน้อมรับมันเอาไว้เช่นคนเขลา
สุดท้ายแล้ว สิ่งที่จะตัดขั้วความโง่เง่านี้ได้ เห็นทีคงมีแต่ความตายละมั้ง
“...” ฉันเงียบอยู่พักหนึ่งถึงยอมสวมหมวกกันน็อกตามคำสั่งของคราม ก่อนขึ้นคร่อมบิ๊กไบก์คันโตท่ามกลางการจับจ้องของผู้คนจำนวนหนึ่ง
กระทั่งมันเคลื่อนตัวและโลดแล่นอยู่บนท้องถนน ฉันจึงตระหนักรู้อย่างแท้จริงว่าครามขับรถเร็วมากขนาดไหน ฉันพยายามสั่งห้ามไม่ให้ตัวเองแตะเนื้อต้องตัวเขา พยายามรักษาระยะห่างอย่างสุดความสามารถ
แต่ในเมื่อความกลัวแผ่ซ่านเต็มหัวใจ ฉันจึงอดไม่ไหวที่จะขยุ้มมือกับสาบเสื้อเขา เหนี่ยวรั้งพอให้อุ่นใจว่าตัวเองจะไม่ตกลงไปตาย
แน่นอน...ระหว่างทางเราไม่พูดอะไรกันแม้แต่คำเดียว ทั้งฉันและเขา เราต่างปล่อยให้ความเงียบทำหน้าที่ของมันต่อไป