“เกิดอะไรขึ้น...” น้ำเสียงในยามเอ่ยถามนั่นสั่นเทา เป็นครั้งแรกที่มาเรียมรู้สึกว่าผู้ชายที่อยู่ข้างๆ นี้ปลอดภัย
เขาไม่ได้ตอบเธอ เพียงแต่เหลือบตามองเล็กน้อยแล้วนิ่งเหมือนกำลังตั้งใจสังเกตอะไรบางอย่าง เมื่อเขาเงียบเธอก็เงียบจนได้ยินเสียงลมหายใจของกันและกันท่ามกลางลำเนาไพร
“มึงจะยิงทำไมกูบอกแล้วให้จับตัวให้ได้ก่อน!!” เสียงห้าวตวาดขึ้นจนมาเรียมเบิกตาโพลง เธอไม่คิดว่าจะมีใครอื่นนอกเหนือจากพวกของแดนสรวงในป่าแห่งนี้
“มันไวยังกับลิง ร้ายยิ่งกว่าเสือ...คิดว่าจะจับมันได้ง่ายๆ งั้นเหรอ” อีกฝ่ายตอบกลับ เสียงเดินสำรวจใกล้เข้ามาโดยไม่อาจประเมินจำนวนคนได้
มาเรียมหันมองแดนสรวงที่บัดนี้กุมปืนสั้นพร้อมใช้งานเอาไว้ในมือเรียบร้อยแล้ว เขายกนิ้วขึ้นจุ๊ปากส่งสัญญาณบอกให้เธอเงียบให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้
หัวใจของหญิงสาวเต้นระทึก เธอรู้สึกเหมือนตัวเองหลุดเข้ามาในอีกโลกหนึ่งซึ่งเต็มไปด้วยอันตรายสารพัด แตกต่างกับโลกที่เธอเคยใช้ชีวิตอยู่อย่างสิ้นเชิง
ทุกวินาทีลมหายใจของเธอเหมือนแขวนอยู่บนเส้นด้าย และพร้อมจะสิ้นดับไปได้ทุกเมื่อ...
“แสดงว่าพวกมันกบดานอยู่แถวนี้แน่ๆ ถึงได้เจอร่องรอยมันตั้งแต่เมื่อวาน แหม่...อีกนิดเดียวจะได้ตัวมันแล้วเชียวดันหายไปเฉยเลย”
“มึงอย่าพูดมากรีบหาเถอะ...ปล่อยให้มันหนีไปได้มันต้องรู้ตัวแล้วย้ายไปที่อื่นอีกแน่ๆ”
เสียงสนทนายังได้ยินเป็นระยะ มาเรียมพยายามจับใจความสำคัญ เพราะมันอาจเป็นช่องทางให้เธอหนีไปจากที่นี่ก็ได้
“ผู้หญิงที่อยู่กับมันล่ะพี่...ท่าทางไม่น่าจะใช่คนในหมู่บ้าน เสื้อผ้าที่พวกเราพบเมื่อวานมันเป็นของคนเมืองชัดๆ”
“จะเป็นใครก็ช่าง คนที่เราต้องการมีแต่ไอ้แดนเท่านั้น กำจัดมันได้สักคนงานของนายก็ง่ายขึ้น”
“...” ดวงตาของมาเรียมวาบวับอย่างมีความหวังกับประโยคพูดคุยของกลุ่มชายแปลกหน้าที่เธอยังคาดคะเนจำนวนไม่ได้แต่ไม่น่าต่ำกว่าสามหรือสี่คน
แดนสรวงยังนิ่งงัน...เสียงหัวใจของเขาก็สงบเยือกเย็นไม่ได้เต้นระส่ำอย่างเธอซึ่งเพราะกายที่ชิดใกล้กันมันทำให้เธอรู้สึกได้
มาเรียมตัดสินใจเด็ดขาดอาศัยจังหวะเผลอที่จอมโจรหนุ่มคอยระวังสังเกตกลุ่มผู้บุกรุก เธอผลักเขาแล้วลุกขึ้นพร้อมตะโกนขอความช่วยเหลือเสียงดัง
“ช่วยด้วย!! ช่วยฉันด้วย!!”
“มาเรียม!!” แดนสรวงกัดฟันกรอดเรียกชื่อเธอด้วยความโกรธจัด ดีดตัวขึ้นยืนแล้วเข้าตะครุบร่างเล็กเอาไว้โดยไว แต่ก็สายเกินกว่าจะหลบหลีกภัยจากอริศตรูที่หมายหัวเขาอยู่
“มันอยู่ตรงนั้น!!!” สิ้นเสียงตะโกน ผืนป่าก็เปลี่ยนสภาพจากความเงียบสงบเป็นสมรภูมิทันที คมกระสุนสาดเข้าหาสองร่างที่อยู่ตรงพงหญ้ารกสูง
แดนสรวงดึงมาเรียมมาไว้ใกล้ตัวแล้วก้มต่ำพาหญิงสาวไปอีกทางด้วยความว่องไว แรงมือที่กระชากแขนเล็กกำแน่นจนกระดูกของเธอแทบแหลก ร่างของเธอโซซัดโซเซล้มลุกคลุกคลานไปกับเขาอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้
เสียงปืนยังคงดังสนั่นรอบด้าน...มาเรียมไม่รู้ตัวเองคิดผิดไหมที่เลือกตะโกนออกไปอย่างนั้น ดูเหมือนฝั่งที่ตามล่าแดนสรวงจะไม่ได้สนใจสิ่งได้อื่นนอกเหนือจากการกำจัดเขา ไม่ได้สนใจเธอ...
“เธอนี่มันชอบหาเรื่องตายจริงๆ!” เขาตะคอกใส่ร่างเล็กที่ถูกลากมาจนหอบเหนื่อย พร้อมกันนั้นก็ยิงปืนต่อสู้กับศัตรูที่กรูตามกันมาติดๆ
ชายหนุ่มไม่ได้นำทางไปยังที่หลบซ่อนตัว แล้วพาห่างออกไปเพื่อลวงให้หลงในเส้นทางที่รกร้างอยู่แล้ว เสียงปืนจะเรียกหาคนอื่นๆ ให้รู้ถึงภัยที่กำลังไล่ล่าเขาและจะรีบมาช่วยเหลือในไม่ช้า
แต่สิ่งที่ต้องทำแข่งกับความตายในตอนนี้ก็คือต้องล่อให้อริร้ายออกห่างจากที่พักไกลที่สุดพร้อมทั้งรักษาชีวิตทั้งของเขาและมาเรียมเอาไว้ให้จนถึงที่สุดด้วย
จากการประเมินคร่าวๆ ผู้บุกรุกน่าจะมีประมาณห้าคนและทุกคนมีอาวุธ แต่กระนั้นเขาก็สามารถยิ่งตอบโต้และจัดการไปได้หนึ่งคน
“ไอ้กล้าตายแล้วพี่! มันถูกยิง!” เสียงตะโกนบอกกล่าวของเพื่อนคนตายยืนยัน
“ไอ้ห่า...มีคนตามมาทางนี้”
“พวกมันแน่ๆ เลย ฉิบหายแล้วโว้ย!!” กัมปนาทสงบเสียงลงแทนที่ด้วยความอลหม่านอึกทึก
แดนสรวงหยุดฝีเท้าและลากมาเรียมหลบอยู่หลังต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่ง ปืนในมือเล็งตรงไปยังศัตรูคนหนึ่งที่วิ่งตรงมา ลักษณะในตอนนี้เหมือนจะหนีอะไรบางอย่างเสียมากกว่าตามล่าเขา
“กรี๊ด!!” มาเรียมกรีดร้องตัวสั่น เธอหลับตาปี๋เอามือปิดหูเมื่อชายหนุ่มลั่นไกปืนพร้อมๆ กับร่างหนึ่งล้มลงชักดิ้นชักงอ และสิ้นใจไปต่อหน้าเธอซึ่งอยู่ห่างไม่ถึงเมตร รู้สึกเหมือนลมหายใจของเธอหยุดไปชั่วขณะ ทั้งตกใจ หวาดกลัวสุดขีด
เสียงปืนดังกระหึ่มขึ้นอีกครั้ง เสียงร้อง...เสียงโอดครวญกึกก้องหลอกหลอนโสตประสาทของมาเรียม
แล้วทุกอย่างก็เงียบเลือนราง เธอค่อยๆ ผ่อนลมหายใจอีกครั้ง กะพริบตา แล้วความมืดก็ครอบงำสะกดทุกอย่างให้ดิ่งลึกเกินกว่าจะแหวกว่ายเข้าหาแสงสว่าง...
“คุณแดนไม่ได้บาดเจ็บแน่นะครับ” ลุงแสงถามด้วยความเป็นห่วงหลังจากที่ทุกอย่างจบสิ้นลงแล้ว และพวกเขาก็พากันกลับมายังที่พำนัก
มาเรียมตกใจจนเป็นลมและนอนพักอยู่ในห้องของกระท่อมหลังเดิม
“ผมไม่ได้เป็นไร จัดการกับศพพวกมันเรียบร้อยแล้วใช่ไหม”
“เรียบร้อยครับคุณแดน รับรองว่าไม่มีใครตามกลิ่นเจอแน่ๆ” เพิกรายงาน ทุกคนมาชุมนุมล้อมกันอยู่ที่กระท่อมของชายหนุ่มซึ่งเป็นผู้นำ
“มันต้องตามมาแน่...ก็คนที่ส่งมาหายไปไร้ร่องรอยแบบนี้ เราพลาดอะไรไปพวกมันถึงสะกดรอยตามมาเสียจนเกือบถึงค่ายได้ ทั้งที่ก่อนหน้าเราก็หาข้อมูลมันอยู่แต่กลับเงียบ”
“คุณแดนสงสัยคนในหมู่บ้านเหรอครับ...” ลุงแสงถาม
“ไม่...ถ้าเป็นคนในหมูบ้านมันต้องรู้รายละเอียดมากกว่านี้ ไม่ใช่งมหาแล้วบังเอิญเจอ”
“จะเกี่ยวกับผู้หญิงที่คุณแดนพามาหรือเปล่าครับ”
“ไม่น่าเกี่ยวหรอกไอ้ยันต์ ก็คุณแดนบอกว่ามันพูดถึงผลประโยชน์ของงานนายมัน ก็แสดงว่าเป็นพวกฝั่งโน้นที่เราไปขัดแข้งขัดขามันอยู่นั่นแหละ” ลุงแสงไขข้อกระจ่างแทน ซึ่งทุกคนก็มีท่าทีเห็นด้วย
“แบบนี้เราต้องย้ายค่ายอีกไหมครับ...เพราะยิงกันสนั่นป่าขนาดนั้นมีหวังพวกพรานที่เข้ามาหาของป่าคงสงสัยกันบ้างล่ะ” คนอื่นๆ เริ่มกระตือรือร้น
“ไม่มีใครรู้ฐานของเรา...จัดคนออกไปเฝ้าเวรยามรอบๆ เขตก็คงพอ เพราะมันอาจส่งข่าวให้คนอื่นๆ รู้ว่ามันตามกันมาถึงไหนก่อนที่มันจะตาย พอข่าวเงียบไป
คนหาย...มันจะผิดปกติ แบบนี้ก็ดีเหมือนแสดงว่าพวกมันก็ไม่ได้นิ่งนอนใจแต่เคลื่อนไหวงานใหญ่อยู่เงียบๆ เพราะระวังเราอยู่”
“แต่สายของเราไม่ได้รายงานเรื่องนี้เลยนะครับคุณแดน”
“มันก็ไม่แปลก สายของเราก็ใช่ว่าทำงานกันง่ายนัก เอาเป็นว่าระยะนี้เราต้องระวังตัวกันให้มาก ถ้าไม่จำเป็นก็อย่าเข้าไปในหมู่บ้านเด็ดขาด ผมคิดว่าอีกไม่นานเราคงมีอะไรสนุกๆ ได้ทำกันหายคันมือแน่” สายตาของแดนสรวงหลุบต่ำนิ่ง เหมือนกำลังคิดการใดอยู่ซึ่งไม่อาจคาดเดาได้
แต่ทุกคนก็เคารพในการตัดสินใจของเขาเสมอ
เมื่อมีการพูดคุยตกลงกันพอเข้าใจต่างก็แยกย้ายกันไปทำหน้าที่ของตนเอง ระยะนี้มีปัญหาเริ่มแทรกแซงเข้ามาทำให้พวกเขาต้องกระตือรือร้นยิ่งกว่าเดิม
เพราะไม่เช่นนั้นอาจถูกโจมตีได้ทุกเมื่อ นั่นหมายถึง...หากพ่ายแพ้ก็ต้องจบชีวิตลงด้วย