กว่าหนึ่งสัปดาห์แล้วที่เธอได้ใช้ชีวิตเกือบเป็นปกติโดยไม่ต้องคอยระแวงว่าจะถูกทำร้าย แต่กระนั้นก็ยังไม่อาจหาทางออกไปจากดินแดนลึกลับแห่งนี้ได้อยู่ดี เธอยังคงถูกควบคุมโดยคนของเขาแทบทุกฝีก้าว
แดนสรวงจากไปตอนไหนเธอไม่รู้ด้วยซ้ำ หลังจากค่ำคืนอันเร่าร้อนที่เธอหลับไปด้วยความอ่อนเพลีย เมื่อตื่นขึ้นมาในตอนเช้าก็พบว่าตัวเองพำนักอยู่เดียวดายบนเตียง ไม่มีวี่แววชายผู้ซึ่งฝากตราบาปเอาไว้ให้
มารู้อีกทีก็ตอนที่อูซากลับมาและเล่าให้ฟังว่าเขา...และลูกน้องอีกสิบกว่าคนได้เดินทางเข้าไปในป่าลึกเพื่อทำธุระบางอย่าง
มาเรียมเดาว่าคงเป็นการออกปล้นทรัพย์เหมือนอย่างเคย มันเป็นสิ่งที่เธอรับไม่ได้ เพราะเคยเห็นแดนสรวงกับพวกฆ่าคนฝังไว้ในป่าอย่างไม่รู้สึกรู้สามาแล้ว
เธอคิดว่าเหยื่อผู้เคราะห์ร้ายคนอื่นๆ ก็คงมีชะตากรรมไม่ต่างกัน แดนสรวงโหดเหี้ยม ใจทมิฬเกินกว่าที่เธอจะทนอยู่ในสภาพนี้ได้ ไม่วันใดก็วันหนึ่งเธออาจต้องจบชีวิตลงอย่างทรมานด้วยเงื้อมมือของเขา
ซึ่งที่ผ่านมามันก็ทารุณกันเกินพออยู่แล้ว หากต้องพบพานความเจ็บปวดวิปริตมากกว่านั้น ก็ตัดสินใจปลิดชีวิตตัวเองเสียตั้งแต่ตอนนี้คงดีกว่า
“พี่เรียม พี่เรียมคะ...” เสียงอูซาดังแว่วมาแต่ไกลพร้อมๆ กับร่างของเจ้าตัววิ่งลิ่วๆ ใกล้เข้ามา
“รีบไปไหนเดี๋ยวก็หกล้มอีกหรอก” อูซาเป็นเด็กที่ค่อนข้างกระฉับกระเฉงว่องไว แต่ก็ทโมนจนขาดความระมัดระวัง หลายครั้งที่เธอประสบอุบัติเหตุเล็กๆ น้อยๆ ให้ได้รอยแผลรอยฟกช้ำอยู่ร่ำไป
“พี่หมอมาแล้ว” เด็กสาวยิ้มร่าโบกไม้โบกมือชี้ไปทางด้านหลัง
“อ๋อ...ดีจัง วันนี้คุณหมอว่างแล้วเหรอ” หญิงสาวตอบรับ สายตานั้นมองไปตามทางเดินที่ทอดยาวเข้าไปในหมู่บ้าน เธอนั่งอยู่ใต้ต้นไม้ใกล้ๆ กับแปลงผักเหมือนทุกๆ วัน
“ใช่ค่ะ พี่หมอเพิ่งกลับจากหมู่บ้านทางโน้น หนูรีบบอกให้เลยว่าพี่เรียมมาอยู่ที่นี่ อยากคุยกับพี่หมอจะได้เป็นเพื่อนกัน” อูซาอธิบายปนหอบ
ในขณะที่ร่างเล็กแบบบางของหญิงสาวในชุดชาวเขาสีขาวคล้ายๆ กับชุดที่เธอมีเดินมาถึงพอดี คุณหมอสาวยิ้มให้อย่างเป็นมิตร
“คุณหมอ เอ่อ...สวัสดีค่ะฉันชื่อมาเรียม
“ดิฉันชื่อพอวาค่ะ เรียกพอวาดีกว่า ดีใจที่ได้พบคุณนะคะ” สำเนียงของหมอประจำเผ่านั้นออกเสียงภาษาไทยชัดเจน จนมาเรียมรู้สึกแปลกใจเล็กน้อย
และเริ่มรู้สึกสนใจที่มาที่ไปของหญิงสาวว่าเหตุไหนหนอผู้ที่มีความรู้ความสามารถและรูปโฉมที่หมดจดถึงได้มาตั้งหลักทำงานในพื้นที่ห่างไกล ตัดขาดจากโลกภายนอกแห่งนี้
และทำได้อย่างไร...
อูซาและคนในหมู่บ้านพูดถึงพอวาบ่อยๆ แต่เธอกลับไม่เคยได้พบสักทีเนื่องจากช่วงที่เธอมาอยู่คุณหมอสาวต้องเดินทางไปรักษาคนป่วยในอีกหมู่บ้านหนึ่ง
“เช่นกันค่ะ คุณ...เป็นชนเผ่าเหมือนกับอูซาเหรอคะ ขอโทษที่ถามแต่ฉันแปลกใจเล็กน้อย”
“ไม่เป็นไรค่ะถามได้ นานๆ ฉันจะมีเพื่อนต่างแดนสักที” อูซาฉวยโอกาสจูงมือพอวาลากไปนั่งใกล้ กับมาเรียม ส่วนตัวเองก็หย่อนตัวลงข้างๆ บ้าง มองสองสาวซ้ายทีขวาทีด้วยความอยากรู้อยากเห็นตามประสาเด็กที่ไม่เคยได้ออกไปสู่โลกภายนอก
แต่แล้วพอวาก็พยักหน้าเป็นสัญญาณให้เด็กสาวลุกไปเล่นที่อื่นก่อน ในระหว่างที่ผู้ใหญ่คุยธุระกัน
“ฉันไม่ใช่ชาวเผ่าเหมือนกับคนที่นี่หรอกค่ะ ฉันเป็นคนไทย...แต่ฉันก็ผูกพันกับที่นี่มาก เพราะคุณพ่อเป็นหมอรักษาชาวเขามาก่อน ตอนเด็กๆ ฉันก็ติดสอยห้อยตามไปทั่ว พอเรียนจบก็เลยกลับมาทำงานอย่างที่เห็นนี่แหละค่ะ”
“ยังไงคะ...ก็ที่นี่ไม่มีทางออก ถูกตัดขาดจากโลกภายนอกไม่ใช่เหรอคะ แล้วคุณเอายา เอาอุปกรณ์การแพทย์มาจากไหน แล้วมาได้ยังไง”
“ฮึ ฮึ...” พอวาลอบขำ อันที่จริงสิ่งที่มาเรียมเข้าใจก็ไม่ผิดสักเท่าไหร่หรอก
“จริงทุกอย่างนั่นแหละค่ะ แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะถูกตัดขาดเสียทีเดียว เพียงแต่ห่างไกลจนไม่แตกต่างจากคำว่าตัดขาดเลยสักนิด เพราะถ้าจะเข้าไปในตัวอำเภอที่ใกล้ที่สุดก็ต้องเดินเท้าสามวันเต็มๆ แล้วเส้นทางก็เป็นป่าทึบอย่างที่คุณเห็น เต็มไปด้วยสิงสาราสัตว์และอันตรายจากพวกโจรป่า ไหนจะพวกก่อการร้ายอีก ถ้าไม่จำเป็นไม่มีใครอยากลงจากดอยนี่หรอกค่ะ คนที่ลงไปก็ต้องชำนาญเส้นทาง รู้ทางหนีทีไล่จริงๆ ไม่งั้นไม่รอดกลับมาสักคน”
“...” มาเรียมมองตาปริบๆ กลืนน้ำลายลงคอด้วยความระทึกเมื่อได้ยินได้ฟังเรื่องดังกล่าว จากปากของพอวา
“ฉันพอจะรู้เรื่องของคุณมาบ้าง เสียใจด้วยนะคะที่ต้องจากบ้านมา”
“หมอรู้...แสดงว่าคงพอเดาออกว่าทำไมฉันถึงอยากพบคุณ”
“คุณมาเรียมคะ...ฉันคงช่วยอะไรคุณไม่ได้หรอกนอกจากอาการเจ็บไข้ได้ป่วย ฉันเป็นแค่หมอบนดอย” พอวากล่าวพร้อมรอยยิ้มให้กำลังใจหญิงสาวตรงหน้า
“มันต้องมีทางสิ คุณแค่บอกฉัน...ต้องมีคนเอายา เวชภัณฑ์ อุปกรณ์การแพทย์ส่งมาให้คุณใช้รักษาคน แค่บอกสถานที่ เวลาก็พอแล้ว คุณหมอฉันจำเป็นต้องกลับไป ฉันอยู่...”
“คุณมาเรียมคะพอเถอะ...” พอวาจับมืออันสั่นเทาของมาเรียมแล้วกำบีบเบาๆ แลบลิ้นเลียริมฝีปากด้วยความลำบากใจ
“พวกเราถูกทิ้งคุณเข้าใจไหม ไม่มีใครสนใจชาวเขาที่อพยพมาสร้างภาระเพิ่มให้กับประเทศหรอกค่ะ หรือถ้ามีก็น้อยมาก พวกเราต้องดิ้นรนกันเองเพื่อเอาชีวิตรอดไปวันๆ ไม่มีใครช่วยคุณได้จริงๆ เชื่อฉันเถอะ แดนคือพระเจ้าของคนที่นี่ เขาคือคนที่หยิบยื่นต่อลมหายใจให้กับทุกคน พวกยา ของใช้ต่างๆ ที่คุณเห็นได้มาเพราะเขาทั้งนั้น คุณเข้าใจไหม...คำสั่งของเขาคือบัญชา” คุณหมอสาวถอนหายใจโล่งอกเมื่อได้อธิบายบางอย่างออกไป
มาเรียมมองหน้าเธอนิ่งเหมือนกำลังสับสนปนผิดหวังเต็มประดา
“หมายความว่ายังไง ถ้างั้นที่ฉันสงสัยว่าแดนเป็นกองโจรดักปล้นชิงทรัพย์ก็เป็นความจริงใช่ไหม”
“ใช่ค่ะ...แต่ฉันเชื่อว่าคุณเข้าใจถูกแค่ครึ่งเดียวแน่ๆ”
“เข้าใจผิด หึ...คุณจะบอกว่าเขาเป็นโจรคุณธรรมอย่างนั้นเหรอ ฉันเห็นเขาฆ่าคนตายกับตาแล้วยังเอาไปฝังอำพรางอีก เขาฉุดฉันมาข่มเหงเหมือนไม่ใช่คน ฉันไม่คิดว่าฉันจะเข้าใจอะไรผิดในพฤติกรรมชั่วๆ ของเขา” ยังมีความป่าเถื่อนอีกมากมายที่เธอไม่อาจปริปาก ได้แค่กลืนความเจ็บช้ำจุกอกลงคอด้วยความฝืดฝืน
“เพราะถ้าเราไม่กำจัดพวกนั้น เราก็จะถูกพวกมันกำจัดไงล่ะคะ แดนถึงต้องชิงลงมือก่อน”
“...” สิ่งที่พอวาเล่าดึงสายตาของมาเรียมให้มองเธอด้วยความอยากรู้อย่างจริงจังมากขึ้น
“ฉันจะเล่าให้ฟังก็ได้ แต่คุณต้องอดทนนะคะ แดนไม่ใช่คนเลวร้ายอะไร สิ่งที่เขาทำกับคุณก็เพราะเขาถูกความแค้นครอบงำเท่านั้น ฉันเชื่อว่าสักวันหนึ่งเขาจะปล่อยคุณให้เป็นอิสระแน่ๆ แล้วฉันจะช่วยพูดอีกแรง”
“ฉันไม่มีทางออกอื่นอีกแล้วใช่ไหม...พอวา ฉันต้องทนอยู่กับโจร เป็นเมียโจรไปจนถึงเมื่อไหร่กัน”
“ถ้าเลือกได้ไม่มีใครอยากเป็นคนเลวหรอกค่ะ แดนก็เหมือนกัน และที่เขาออกปล้นก็ไม่ได้ปล้นประชาชน ไม่ได้ปล้นคนทำมาหากินหรือชาวบ้าน แต่เป้าหมายคือพวกกองกำลังติดอาวุธของประเทศเพื่อนบ้านต่างหาก”
“นี่...นี่มันอะไรกัน ฉันกำลังอยู่ท่ามกลางสงครามแบ่งแยกดินแดนหรือยังไง” สิ่งที่ได้รับรู้หลายๆ อย่างจากปากของพอวามันอยู่เหนือความคาดหมายของมาเรียมโดยสิ้นเชิง ราวกับว่าเธอหลุดเข้ามาอยู่ในอีกโลกหนึ่งจากชีวิตจริงเลยทีเดียว
“พวกมันก็ไม่ต่างจากโจรหรอก ร้ายแรงกว่านั้นคือมันฆ่าคนไม่เลือก ผลิตยาเสพติดส่งขายไปทั่วโลกหาเงินเข้ากลุ่มเพื่อจัดซื้ออาวุธสงครามไว้ต่อสู้กับรัฐบาลของพวกมัน ประเทศไทยเป็นทางผ่านในการขนยาเสพติด ชายแดนแถบนี้อันตรายยิ่งกว่าอยู่กลางสนามรบ คุณคิดว่าจะมีใครอยากมาอยู่เหรอถ้าหากมีที่อื่นให้ไป”
“...”
“เรื่องส่วนตัวของแดนฉันไม่รู้มากนักหรอก รู้แต่ว่าตอนที่เขาเข้าป่าไปท่องเที่ยวกับกลุ่มของพรานแสงเมื่อห้าปีก่อนเขาถูกกองกำลังติดอาวุธโจมตี ตายไปหลายคน เหลือแต่เขากับพรานแสงที่รอดออกมา แล้วชาวบ้านที่นี่ช่วยเอาไว้ ฉันเป็นคนรักษาให้เขาเอง หลังจากนั้นเขาก็กลับไป แล้วก็กลับมาอีกทีในสภาพไม่เป็นผู้เป็นคน พรานแสงเล่าว่าแดนสูญเสียคนในครอบครัว เลยเสียใจอย่างหนัก แล้วแดนก็อยู่กับพวกเราที่นี่นับตั้งแต่นั้น ความรู้ความสามารถของเขาช่วยให้ชาวบ้านมีชีวิตที่ดีขึ้น พึ่งพาตัวเองได้ แดนยังทำหน้าที่รักษาความสงบสุขให้พวกเราไม่ต้องอยู่อย่างขลาดๆ กลัวๆ โดยการรวมกลุ่มคนในหมู่บ้าน และพรานป่าหลายคนต่อต้านอำนาจของกลุ่มว้า”
มาเรียมนั่งฟังด้วยความทึ่งในวีรกรรมของแดนสรวง เธอไม่แปลกใจเลยว่าทำไมชาวบ้านที่นี่ถึงจงรักภักดีต่อเขานัก