“บัดซบ เอามีดออกให้ห่างองค์หญิงเก้าเลยนะ”
เฮาตั๋วร้องเสียงตกใจ สีหน้าเขาแสดงออกมาห่วงลู่ซินเหว่ย อีกทั้งสับสนว่าแม่ทัพหนุ่มตาบอดหรืออย่างไร ถึงเห็นสตรีตรงหน้าเป็นผู้อื่นไม่ใช่องค์หญิงเก้า
“แม่ทัพโฮ่ว หากไม่ปล่อยมีดสั้นเล่มนั้น เราคงได้เห็นดีกัน”
ได้ยินคำขู่ พร้อมขันทีเฮาที่หยิบอาวุธลับออกมา แต่โฮ่ว
หรงเข่อไม่ฟัง ทั้งยังรำคาญอีกด้วย เขาจึงใช้ความเร็วกว่า ซัดกระสวยเหรียญใส่หน้าอกขันทีโฉมงาม อีกฝ่ายเลยล้มหงายหลังอย่างไม่ทันตั้งตัว
จากนั้นชายหนุ่มก็เค้นเสียงเหี้ยมถามอีก
“แม่นาง... ตอบคำถามข้ามาเสียที องค์หญิงเก้าอยู่ที่ใด”
ยามนั้น ลู่ซินเหว่ยทั้งโกรธ ทั้งหวาดหวั่น แต่นางเอ่ยไปว่า
“ข้าคือ ลู่ซินเหว่ย อย่าได้กระทำสิ่งใดรุนแรง แม่ทัพโฮ่ว”
ชายตัวสูงนิ่วหน้า และความเครียดแผ่กระจายรอบตัวเขา ก่อนเค้นเสียงเข้มๆ กล่าวว่า
“ยังไม่เลิกเล่นละครอีก หากท่านเป็นองค์หญิงเก้า ไฉนตราเคลื่อนทัพนี้ถึงเป็นของปลอม!”
คราวนี้ลู่ซินเหว่ยหน้าถอดสี ขานางอ่อนแรง เกือบทรุดฮวบลงไปบนพื้น โชคดีที่เฮาตั๋วได้สติทัน รีบเข้ามาประคองไว้
“ไม่ใช่ ทะ ท่านโกหก”
โฮ่วหรงเข่อถอนหายใจแรงๆ ใส่หน้าหญิงสาว และส่งตราเคลื่อนทัพคืนนาง
“ของจริง ย่อมมีสลักพิเศษด้านใน อีกทั้งเคลือบด้วยปีกแมลงที่เรืองแสงในยามค่ำคืน เพื่อสามารถมองเห็นข้อความคำสั่งของฮ่องเต้ แต่ที่แม่นางถือมา เป็นแค่สิ่งทำลอกเลียนขึ้น ไม่ใกล้เคียงด้วยซ้ำ ที่สำคัญจวีหรู มีใบหูใหญ่”
ลู่ซินเหว่ยส่ายหน้าไม่ยอมรับ เรื่องนี้จะเป็นไปได้อย่างไร นางรับมอบตราดังกล่าวมาจากมือของอี้อ๋อง จากนั้นก็รักษาไว้อย่างดี และมีช่วงเวลาเดียวที่อยู่ห่างจากมือ ก็คือ...
เมื่อคิดได้ดังนั้น หญิงสาวพลันสั่นสะท้านไปทั้งร่าง และย้อนถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้น
นางดื่มเหล้าในห้องรับรองไปหนึ่งจอก ก่อนจะถูกซาน
เกอเรียกไปรับใช้ จากนั้นเขาจูบนาง ปลุกเร้าอารมณ์ รู้สึกตัวอีกครั้งนางได้อยู่ในห้องพักใต้เรือ เสื้อผ้าอยู่ครบก็จริง แต่เป็นชุดที่เบาบาง
ภาพต่างๆ วนเข้ามาให้ลู่ซินเหว่ยขนลุกซู่ๆ นางเกลียดตัวเอง เกลียดความอ่อนไหว และแรงสิเน่หาที่ทำให้นางยอมซานเกอ
“ตราเคลื่อนทัพไม่เคยห่างจากตัวข้า”
ลู่ซินเหว่ยย้ำด้วยน้ำเสียงไม่มั่นใจ พลางคิดถึงช่วงเวลาร่วมรักแนบแน่นกับซานเกอ นางพยายามส่ายหน้า เพื่อสลัดความคิดเลื่อนเปื้อน
“องค์หญิงเก้า หากมั่นใจเช่นนั้น ย่อมหมายความว่า ฝ่าบาทส่งมอบของปลอมให้ท่าน” ขันทีเฮ่าเอ่ย
“ยิ่งเป็นไปไม่ได้ ฝ่าบาทไฉนถึงจะให้ข้าเสี่ยงภัย โดยเปล่าประโยชน์!”
กล่าวจบ ลู่ซินเหว่ยจึงยกมือปิดหน้าตน นางจะไม่เสียน้ำตา ทว่าความกลัว ความเสียใจกำลังถล่มใส่ร่างบอบบาง จนน่างแทบหายใจไม่ออก
“เช่นนั้น มันเกิดสิ่งใดขึ้น มีใครลักลอบเปลี่ยนตราเคลื่อนทัพ” ขันทีเฮาถามต่อ
ฝ่ายลู่ซินเหว่ย อับอายเหลือเกิน แต่นางก็ต้องเปิดเผยเรื่องนี้
“อาจจะเป็นเขา คนอำมหิต และเผด็จการที่เปลี่ยนมันไป”
โฮ่วหรงเข่อหายใจแรงๆ เขาไม่อยากคิดว่า หากสิ่งสำคัญตกไปอยู่ในมือฝ่ายตรงข้ามจะเกิดสิ่งใดร้ายแรงขึ้นบ้าง ด้วยการรวบทัพและกำลังของทหารเข้าด้วยกัน สามารถถล่งเมืองหลวง หรือเปิดศึกกับต่างแคว้นได้ หากเป็นเช่นนั้นย่อมมีผู้ล้มตายเป็นจำนวนมาก
โฮ่วหรงเข่อหรี่ตามองหญิงสาว ไม่ได้อยากจับผิด แต่ท่าทางของนางมีพิรุธเหลือเกิน
“ท่านหมายถึงผู้ใดกัน?”
หญิงสาวใช้เวลาอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนเอามือออกจากใบหน้าตน เพื่อเผชิญกับความจริงที่นางกระทำผิดพลาด ด้วยความพลั้งเผลอ
“โจรราคะ เอ๊ย พญายมซานเกอ ย่อมเป็นเขา ที่สับเปลี่ยนตราเคลื่อนทัพของฝ่าบาทไป”
คืนนั้น ลู่ซินเหว่ยแทบจะไร้เรี่ยวแรงเดินกลับเรือนหลังเล็ก เมื่อไปถึงนางก็ปีนเข้าทางหน้าต่าง แล้วนอนเอาแรงด้วยหัวใจที่เหนื่อยล้า
พอเช้ามืด เสิ่นฉุนก็มาปลุก ฝ่ายนั้นแจ้งว่า ช่วงเย็นวันนี้ ให้นางไปรอรับซานเกอที่ท่าเรือ
ได้ยินสิ่งที่อีกฝ่ายบอก นางก็ยากจะเชื่อ เกิดมาคนที่นางไปยืนโบกมือ และส่งยิ้มให้ก็มีแต่องค์ชายต่างแคว้น ไม่ก็แม่ทัพใหญ่ที่ยังโสด
“ทำไม ข้าต้องไป ถิงถิงอยากนอนเล่นที่นี่”
หลายวันที่ผ่านมา ลู่ซินเหว่ยเป็นตัวเองมากขึ้น เรียกได้ว่าท่าทางที่แสดงเป็นคนความทรงจำเสื่อมหายไป ยิ่งรู้ว่าตราเคลื่อนทัพถูกสับเปลี่ยน นางก็โมโหซานเกอ ดังนั้นไม่ว่าจะเกิดสิ่งใดต่อจากนี้ นางไม่หวาดหวั่นแล้ว
“ถิงถิง...อย่าพูดเช่นนั้น อย่างไรเรื่องนั้นเป็นหน้าที่ของเจ้า”
เสิ่นฉุนเอ่ยจบจึงพินิจอีกฝ่าย สีหน้าไม่แจ่มใส แววตาเปลี่ยนไป นางจึงพูดขึ้น
“ยันต์ที่แปะสะดือ และน้ำแกงที่นายท่านให้ข้าต้มให้ดื่ม คงช่วยให้เจ้าอาการดีขึ้น ท่าทางเหมือนจะจดจำหลายสิ่งได้เหมือนเดิมแล้วสินะ”
ได้ยินคำถามดังกล่าว ลู่ซินเหว่ยก็ยิ้มแหยๆ และตอบกลับ
“ขม... และยันต์น่ากลัวนั้นทำให้ข้าท้องอืด”
อันที่จริงลู่ซินเหว่ย ไม่อยากแปะยันต์ที่สะหน้าท้องตนสักนิด ด้วยมันชวนให้รำคาญ และเครื่องรางที่ว่านี้ ก็เป็นซานเกอ
บอกให้นางแปะเอาไว้ เพื่อป้องกันการตั้งครรภ์ เรื่องนี้พิลึกมาก ซึ่งเอาเข้าจริงๆ นางไม่ได้อยากอุ้มท้องลูกของโจรสลัดสักนิด
“ถิงถิงไม่อยากไปไหน” นางแสดงอาการงอแง
“สตรีที่เป็นแม่บ้าน ล้วนออกไปต้อนรับสามี แล้วเจ้า จะไม่คิดแสดงตนให้ผู้อื่นรู้หรอกหรือ โดยเฉพาะรั่วเฟิง หากเจ้ายอมถอยหนึ่งก้าว มิแน่นางจะกระโจนเข้าใส่นายท่าน และจากนั้น รู้หรือไม่ว่าเจ้า คงต้องไปอยู่ท้ายเกาะ”
คำว่าท้ายเกาะสร้างความสยองใจแก่ลู่ซินเหว่ย เนื่องจากสถานที่ดังกล่าว เป็นตรอกสำหรับนางปลอบขวัญ ซึ่งเดินทางมาจากพื้นที่อื่น มีทั้งชายและหญิง คนเหล่านั้นคือโสเภณี และนายโลมที่ครั้งหนึ่งเคยรับใช้ทหารในกองทัพ ยามนี้บ้างก็ป่วย บ้างก็สติไม่สู้ดี
“ข้าจะแต่งตัวให้งาม เพราะนายท่านเป็นสามีถิงถิง”
“ถูกต้อง รีบล้างหน้าล้างตาเสีย ข้าจะช่วยแต่งตัวให้ และเราจะออกไปรับนายท่านกัน”
ก่อนออกจากเรือน ลู่ซินเหว่ยได้ค้นข้าวของในกล่อง และหีบออกมาดู มันมีทั้งเครื่องประดับกับเสื้อผ้าของสตรี อันที่จริงนางกำลังหาจวีหรูอีกส่วนที่ถูกสับเปลี่ยนไปมากกว่า
“ของพวกนี้ ล้วนเป็นของฮูหยินน้อย”
จากนั้น ลู่ซินเหว่ยก็ได้รู้จากปากเสิ่นฉุนว่า ผู้ที่อาศัยอยู่ก่อนหน้านางคือฮูหยินน้อยของซานเกอ
“เซียวฮูหยิน คือชื่อของนาง และจากไปตอนอายุยังน้อย”
เสิ่นฉุนบอกและเล่ารายละเอียดให้ฟังว่า ฝ่ายนั้นป่วยตั้งแต่เด็ก เป็นสตรีที่ตั้งแต่เกิดก็มีสัญญาหมั้นหมายไว้ว่าจะเป็นคู่ชีวิตของซานเกอ ทว่าโชคร้ายถูกไล่ต้อนจากทหาร ให้เข้าไปอยู่ในค่าย และมีป้ายแขวนคอ จึงกลายเป็นนางปลอบขวัญ ถูกตบตี และบังคับให้ทำเรื่องเสื่อมเสียเกียรตินับไม่ถ้วน
“เจ้าอย่าได้ห่วงสิ่งใด หลังจากช่วยอีกฝ่ายออกค่ายทหารสำเร็จ นายท่านได้ดูแล เซียวฮูหยินในวาระสุดท้ายอย่างดี ก่อนที่นางจะจากไปเงียบๆ”
“ตาย... ปะ เป็นผี”
“ใช่ เข้าใจแบบนั้นถูกต้อง อีกอย่างห้ามถามเรื่อง เซียวฮูหยินกับนายท่าน มิเช่นนั้น เจ้าจะเดือดร้อนแน่”
“ผีหลอกไหม” ลู่ซินเหว่ยจงใจถามเพื่อเบี่ยงประเด็น และนางกำลังประเมินว่า เสิ่นฉุนผู้นี้ อยู่ฝ่ายใด และไว้ใจได้สักแค่ไหน
“ถิงถิง บางทีเจ้าก็เหมือนคนปกติ ทว่าความอยากรู้ อยากเห็น ทำให้ข้าเหนื่อยใจ เอาล่ะ ล้างหน้าล้างตาเสีย เจ้าสมควรงามที่สุด เมื่อพบหน้านายท่าน”
ทั้งที่นางโกรธซานเกอเป็นทุน ทว่าไม่รู้เหตุใดลึกๆ นางปรารถนาพบหน้าเขาอย่างที่สุด
“ฮิๆ ๆ ถิงถิงคนสวย เป็นเมีย พะ พี่ซาน!”
คำพูดดังกล่าวพลอยให้ลู่ซินเหว่ยขัดเขิน และคราวนี้นางไม่ได้แสร้งเล่นละครเพื่อตบตาใคร