อาหารกลางวันถูกจัดวางบนโต๊ะอาหาร ปัญวิชญ์ที่ยังอยู่ในชุดนอนเดินมานั่งที่หัวโต๊ะ ในขณะที่สิริญญานั่งอยู่ด้านขวามือของเขา
เธอก้มหน้าก้มตารับประทานอาหารตรงหน้าโดยที่ไม่พูดจาอะไร เพราะรู้ว่าประโยคที่เขาจะพูดตอบกลับมาจะต้องทำให้เธอรู้สึกแย่จนรับประทานอาหารใด ๆ ไม่ลง
“ผู้ชายคนนั้นเป็นใคร” คำถามนั้นทำให้สิริญญาเงยหน้าขึ้น ไม่คิดว่าเขาจะสนใจเรื่องของเธอ
“รุ่นพี่ที่มหา’ลัยค่ะ” เธอตอบเพียงแค่นั้นแล้วก็รับประทานอาหารของตนต่อไป แอบรู้สึกดีที่เขาใส่ใจเรื่องของเธอ แต่จะให้ดีกว่านี้หากจะใช้น้ำเสียงที่น่าฟัง
ปัญวิชญ์ไม่ถามอะไรต่อ เขากินอาหารตรงหน้าไปได้อีกหลายคำด้วยสีหน้าที่ครุ่นคิด จากนั้นก็ตัดสินใจถามเธออีกคำถาม
“แน่ใจเหรอว่าแค่รุ่นพี่ แววตาที่เขามองเธอน่ะมันมากกว่านั้นนะ”
“พี่ปั้นกำลังจะสื่อว่าอะไรคะ” หญิงสาววางช้อนและส้อมลง มองหน้าสามีที่ถามเธอเหมือนตั้งใจจะหาเรื่องกัน
เขาไม่ตอบ มีเพียงสายตาและรอยยิ้มที่เย้ยหยันบ่งบอกว่ากำลังดูถูกเธออย่างเปิดเผย ทำให้สิริญญาต้องสะกดอารมณ์โกรธเคืองนั้นเอาไว้ในอก เพราะหากเธอแสดงออกก็จะเหมือนว่าเธอร้อนตัว
“ดูไม่ออกจริง ๆ หรือว่าแกล้งทำเป็นไม่รู้กันแน่ ว่าไอ้รุ่นพี่นั่นมองเธอด้วยสายตาแบบไหน ผู้ชายมันมองกันออก ฉันดูปราดเดียวก็รู้ว่ามันชอบเธอ” เขาพูดแล้วจ้องหน้าเธอ
สิริญญาไม่หลบสายตา หากแต่ตัดพ้อเขาผ่านสายตา ธีรดลจะรู้สึกอย่างไรกับเธอแล้วมันเป็นความผิดของเธอหรืออย่างไร ในเมื่อเธอคิดกับเขาแค่พี่น้องเท่านั้น ในเมื่อบริสุทธิ์ใจแล้วทำไมจะต้อนรับเขาในฐานะแขกของบ้านไม่ได้
ปัญวิชญ์ไม่พูดอะไรต่อ เขาลงมือกินอาหารตรงหน้า จากนั้นไม่นานโทรศัพท์ของเขาก็ดังขึ้นจึงวางช้อนลงแล้วล้วงหยิบโทรศัพท์มือถือที่อยู่ในกระเป๋ากางเกงออกมา
เมื่อเห็นว่าสายโทรเข้าคือใครเขาก็รีบกดรับสายโดยไม่เกรงใจภรรยาของตนเลยแม้แต่นิด
“ครับ เคท โอเคครับเดี๋ยวผมจะรีบไป”
พูดจบเขาก็ไม่ได้สนใจอาหารตรงหน้า รีบลุกขึ้นยืนด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความสุขจนสิริญญารู้สึกทั้งใจหายและหมั่นไส้
ภาวนาให้ตนเองรีบตั้งครรภ์ จะได้หาเรื่องเหม็นขี้หน้าสามีแล้วแยกห้องนอนออกไป ไม่อยากนอนร่วมห้องกับคนที่ไร้หัวใจ แต่งงานกับเธอแล้วทนรอสักหน่อยให้หย่าก่อนไม่ได้เลยหรือ
ในระหว่างนี้ ความดีของเธอคงไม่สามารถเอาชนะใจของเขา เพราะจิตใจของปัญวิชญ์หยาบกว่าหยาบกระด้างและเย็นชากว่าที่คิด อีกทั้งเขาก็ตั้งแง่รังเกียจเธอยิ่งกว่าสิ่งใด หากไม่ติดว่าต้องมีทายาทเพื่อรับมรดกเขาอาจจะไม่แตะต้องตัวเธอด้วยซ้ำ
ไม่นานนักกินน้ำหอมบุรุษก็โชยมาติดจมูก สิริญญาที่รับประทานอาหารเสร็จพอดีหันไปมองสามีที่เปลี่ยนชุดเตรียมออกไปข้างนอก พร้อมกับใบหน้าที่สดชื่นของเขา แค่มองเธอก็รู้แล้วว่าเขาจะออกไปหาผู้หญิงคนนั้น คงจะไปพลอดรักกันโดยที่ไม่มีใครรู้เห็น
“จะทำอะไรก็ระวังหน่อยก็แล้วกันนะคะ อย่าให้มันประเจิดประเจ้อนัก อย่าลืมว่าพี่ปั้นแต่งงานแล้ว” หญิงสาวพูดเตือนสติเขา
“หึงเหรอ เธอไม่มีสิทธิ์มาหึงหวงฉันเลยแม้แต่นิดเดียว แล้วไม่ต้องอ้างสิทธิ์ภรรยานะ เมียที่แต่งเข้ามาเพราะฉันถูกบังคับให้แต่ง ไม่มีสิทธิ์มารู้สึกอะไรกับฉันทั้งนั้น”
สิริญญารู้สึกหน้าชาเมื่อสิ่งที่เขาพูดนั้นเสียดแทงหัวใจของเธอ เพราะว่าเธอถูกปักธงให้แต่งงานกับเขาตั้งแต่แรก ที่ผ่านมาจึงมอบหัวใจให้ไปแล้ว... สมเพชตัวเองเหลือเกินที่คิดว่าการแต่งงานมันจะสามารถทำให้ทุกอย่างดีขึ้นมาได้
“เอื้องไม่ได้หึงค่ะ แต่เอื้องเตือนเพราะเป็นห่วงชื่อเสียงของตระกูลศิวาภพของคุณปู่ต่างหาก ถ้าหากพี่ปั้นไม่ได้ใช้นามสกุลนี้ มีหรือว่าเอื้องจะกล้าเตือนสติพี่” เธออธิบายด้วยน้ำเสียงที่สั่นเล็กน้อย
เขาหรี่ตามองเธอด้วยสายตาที่เย็นชา จากนั้นก็กระตุกยิ้มมุมปากเล็กน้อย ไม่อยากเสียเวลาเสวนากับภรรยาที่ถูกบังคับแต่งตรงหน้า รีบเดินออกไปโดยไม่หันกลับมามอง
ภรรยาสาวที่ถูกต้องตามกฎหมายมองตามแผ่นหลังกว้างนั้นไป เธอไม่โทษหรอกที่เขาจะไม่ชอบเธอและไม่อยากจะแต่งงานด้วย เธอเข้าใจดีว่าหัวใจคนเรามันบีบบังคับกันไม่ได้
แต่แค่ปีสองปีก็รอไม่ได้เลยหรือ แค่ทำทุกอย่างให้ถูกต้องมันยากนักหรืออย่างไร ทำไมจะต้องรีบร้อนอยากจะเจอกันขนาดนั้น หรือว่าเขารักผู้หญิงคนนั้นมากจนทนแยกจากกันไม่ไหวแล้ว
ร้านอาหารในโรงแรม คัทลียานั่งรออยู่ก่อนแล้วด้วยใบหน้าที่ค่อนข้างเศร้า ยิ่งเมื่อเจอหน้าปัญวิชญ์ที่เพิ่งแต่งงานไป เธอก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกเจ็บปวด เมื่อคิดถึงภาพตอนที่เขาอยู่กับภรรยาของเขา
“เคทรอนานหรือเปล่า” เขาถามด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความห่วงใย เพื่อนคนเดียวที่เขาสนิทและช่วยเหลือกันจนเรียนจบมหาวิทยาลัยที่ต่างประเทศ พวกเขาคบหากันเป็นเพื่อนมานานกว่าสิบสองปีแล้ว
เธอยังไม่ได้พูดคำใดออกมาเพราะเหมือนมีก้อนจุกอยู่ที่ลำคอ เกรงว่าหากพูดออกมาแล้วน้ำตาจะร่วงเผาะลงมาอีกจนทำให้อีกฝ่ายไม่สบายใจ
“พรุ่งนี้เคทจะต้องบินกลับไปภูเก็ตแล้วนะคะ ทำธุระที่นี่เสร็จแล้วก็เลยอยากจะมาลาคุณ”
“เสียดายที่เราไม่ได้พูดคุยกันเลย กว่าเคทจะว่างขึ้นมากรุงเทพฯ เอาไว้ผมจะหาโอกาสไปเที่ยวที่นั่นนะ” เขาบอกเอด้วยรอยยิ้มที่จริงใจ
คัทลียาพยักหน้าเบา ๆ ก่อนหน้านี้เขาจะให้เธอไปพักที่บ้านของเขา แต่หญิงสาวก็ปฏิเสธไม่อยากไปเจอภรรยาของเขา ไม่อยากเห็นภาพของทั้งคู่ที่อยู่ใกล้ชิดกัน
“แล้วกับภรรยาคุณ เป็นยังไงบ้างคะ เข้ากันได้ดีไหม” หญิงสาวรู้ว่าเขาแต่งงานด้วยเหตุผลอะไร ปัญวิชญ์เล่าเรื่องราวให้เธอฟังตั้งแต่แรก ตามพินัยกรรมบอกว่าเขาต้องมีทายาทจึงจะได้รับมรดกครบถ้วน แต่การที่จะมีทายาทเขาก็จะต้องร่วมหอกับภรรยา ยิ่งคิดก็ยิ่งปวดหนึบในอก
ยิ่งรู้ว่าผู้หญิงอีกคนนั้นเป็นคนที่ถูกหมั้นหมายมาตั้งแต่เด็ก มันก็ยิ่งเหมือนตอกย้ำว่าหากเธอเข้าไปแทรกกลางก็จะกลายเป็นมือที่สามที่เข้ามาทำลายสายสัมพันธ์ของทั้งสองคน จึงไม่ได้สารภาพรักออกไป อยู่ในสถานะเพื่อนแบบนี้มานานทั้ง ๆ ที่ใจของเธอคิดเกินกว่านั้น
“ไม่อยากพูดถึงเลย เด็กนั่นบางทีก็เหมือนจะหัวอ่อน บางทีก็เถียงคำไม่ตกฟาก ไม่ได้เชื่อฟังผมเลยสักนิด” เขาบ่นออกมาเมื่อพูดถึงสิริญญาก็อดคิดถึงดวงตาเศร้า ๆ ของเธอไม่ได้
“ให้โอกาสเธอหน่อยสิคะ ปั้นตั้งแง่กับเธอเกินไปหรือเปล่า” คัทลียาพูดเข้าข้างอีกฝ่าย ไม่อยากพูดให้ร้ายเพราะไม่ใช่นิสัยของเธอ
“ไม่รู้สิ จริง ๆ เธอน่าจะปฏิเสธการแต่งงานนี้ได้ แต่กลับไม่ยอมปฏิเสธ ตั้งใจจะเอาใจคุณปู่ชัด ๆ”
“ไม่ใช่ว่าเธอเองก็ถูกคุณปู่บังคับเหรอคะ อีกอย่างในพินัยกรรมก็ระบุว่าหากปั้นไม่ยอมแต่งงานมรดกจะถูกยกให้เธอ การที่เธอยอมแต่งงานกับคุณก็เพราะไม่ต้องการมรดกเอาไว้เองคนเดียวไม่ใช่หรือไงคะ คุณให้โอกาสเธอบ้างเถอะ ลองเปิดใจดูบ้าง อย่างน้อยเธอก็เป็นภรรยาของคุณ”
“ไม่อยากพูดเรื่องนี้แล้ว เดี๋ยวกินข้าวไม่ลง” ปัญวิชญ์พูดด้วยน้ำเสียงที่หงุดหงิดเล็กน้อย ให้โอกาสเธอนะหรือ... ไม่มีวัน!
************************