ตอนที่ 5 เอกสารสำคัญ

1482 คำ
เอกสารได้ถูกนำมาส่งให้แก่สิริญญาที่ร้านอาหาร ตอนที่เธอกับธีรดลกำลังจะแยกย้ายกัน หญิงสาวรับเอกสารจากคนขับรถของที่บ้านด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้ม จากนั้นก็เดินไปส่งรุ่นพี่ที่แสนดีถึงที่รถของเขา ในขณะที่คนขับรถของที่บ้านกลับออกไปแล้ว “ขับรถดี ๆ นะคะพี่ดล ถึงแล้วอย่าลืมส่งข้อความมาบอกนะคะ” น้ำเสียงนั้นเต็มไปด้วยความห่วงใยจากใจจริง “ครับ เอื้องเองก็ดูแลตัวเองดี ๆ นะ แล้วถ้ามีอะไรก็โทรหาพี่ได้ตลอด เพื่อน้องสาวที่น่ารักพี่จะบึ่งรถจากใต้มาหาที่กรุงเทพฯ แบบทันทีเลย” เขาพูดแล้วอยากเอื้อมมือไปลูบศีรษะนั้นเหลือเกิน แต่ก็ทำได้เพียงหักห้ามใจและห้ามมือของตนเองเอาไว้ “ขอบคุณพี่ดลมากนะคะที่เป็นห่วง” พูดจบเธอก็ยืนยิ้มให้เขาพร้อมกับโบกมือลา มองดูธีรดลที่ขับรถออกไปจนลับตา ก่อนที่จะเดินกลับไปยังรถของตัวเองพร้อมกับวางเอกสารไว้ข้าง ๆ เบาะนั่ง สายตาที่เต็มไปด้วยความสงสัยมองซองสีน้ำตาลนั้นด้วยความรู้สึกที่เป็นกังวลใจเล็กน้อย ทำไมเขาไม่ให้คนอื่นเอาไปให้ ทำไมต้องเป็นเธอ หรือว่าเขาจะหาเรื่องทำอะไรให้เธอขายหน้าต่อหน้าพนักงานในบริษัทของเขาอย่างนั้นหรือไม่ เมื่อไปถึงที่บริษัท สิริญญาที่อยู่ในชุดเดรสกระโปรงยาวที่สุภาพ ก็สวมเสื้อคาดิแกนคลุมทับอีกชั้น เพื่อให้ดูเป็นทางการและสุภาพมากยิ่งขึ้น “สวัสดีค่ะคุณเอื้อง วันนี้มาถึงบริษัทเลยมีธุระอะไรหรือเปล่าคะ” พนักงานประชาสัมพันธ์ยิ้มถามอย่างกระตือรือร้น ไม่ใช่ว่าสิริญญาไม่เคยมาที่นี่เสียเมื่อไหร่ ตอนที่คุณปู่ยังบริหารงานอยู่เธอก็มาที่นี่ในฐานะผู้ช่วยและผู้ติดตาม เทอมก่อนตอนที่จะเรียนจบเธอก็เคยฝึกงานที่นี่ในฐานะผู้ช่วยเลขานุการ “มาส่งเอกสารให้คุณปั้นน่ะค่ะ” เธอตอบแล้วยิ้มให้ จากนั้นจึงเดินไปยังลิฟต์ที่อยู่ด้านหลัง บริษัทแห่งนี้มีทั้งหมด 4 ชั้น แต่ละชั้นก็กว้างขวางสมกับเป็นบริษัทซื้อขายอสังหาติดอันดับ 1 ใน 10 ของประเทศ เมื่อไปถึงชั้น 3 ซึ่งเป็นห้องทำงานของผู้บริหาร เธอก็เดินตรงไปยังห้องทำงานของสามี พร้อมกับเอกสารสำคัญที่เขาให้นำมาส่งให้ หญิงสาวยิ้มให้แก่เลขานุการที่นั่งอยู่ด้านหน้า เธอรีบลุกขึ้นยืนต้อนรับ แล้วสิริญญาที่อายุน้อยกว่าก็เป็นฝ่ายไหว้ทักทายก่อน “สวัสดีค่ะพี่ผึ้ง เอื้องเอาเอกสารมาให้พี่ปั้นค่ะ จะให้ฝากไว้กับพี่ผึ้งเลยหรือว่าจะให้เอื้องเอาเข้าไปให้เขากับมือดีคะ” หญิงสาวถามอย่างไม่แน่ใจนัก “คุณปั้นไม่ได้สั่งพี่เอาไว้ค่ะ นึกว่าคุณเอื้องจะมาหาคุณปั้นด้วยความคิดถึงเสียอีก” พี่ผึ้งเลขาสาววัยสามสิบตอนปลายพูดหยอกเย้าด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้ม เพราะคุ้นเคยกันดีมาก่อนหน้านี้แล้ว สิริญญาได้แต่ยิ้มรับไม่ได้ตอบรับหรือปฏิเสธอะไร เธอกับเขาเพิ่งแต่งงานกันได้ไม่นาน คนส่วนใหญ่ที่ไม่รู้อะไรก็คงจะคิดว่ากำลังอยู่ในช่วงข้าวใหม่ปลามันก็คงไม่ผิดนัก “งั้นเอื้องขอตัวเข้าไปก่อนนะคะ” พูดจบหญิงสาวก็เดินไปเคาะประตูห้องด้วยตนเอง จากนั้นก็เปิดประตูเข้าไป พบว่าปัญวิชญ์กำลังนั่งดูเอกสารอยู่ด้วยใบหน้าที่ค่อนข้างเคร่งเครียด พอเธอเดินเข้าไปเขาก็เงยหน้าขึ้นมาจากเอกสาร คิ้วที่ขมวดยุ่งอยู่ก็คลายออกเล็กน้อย แต่สายตาที่มองมานั้นก็ยังคงเต็มไปด้วยความหงุดหงิดที่ตนเองถูกขัดจังหวะอยู่ดี “เอกสารที่พี่ปั้นบอกให้เอื้องนำมาให้ค่ะ” หญิงสาวยื่นเอกสารนั้นให้เธอไม่ได้คิดจะนั่งลง เพราะตั้งใจมาส่งให้เขาแล้วก็จะกลับไปเลยทันที สายตานั้นยังคงต้องมองใบหน้าของภรรยาตน ไล่มองชุดที่เธอสวมใส่ในวันนี้ ก่อนที่จะผายมือให้เธอนั่งโดยไร้เสียง “มีอะไรหรือเปล่าคะ” เธอนั่งลงแล้วถามด้วยน้ำเสียงที่เป็นปกติ สงสัยว่าเขามีอะไรจะพูดกับเธอนอกเหนือจากการนำเอกสารมาส่ง “คนที่บ้านบอกว่าเธอไม่อยู่ ออกไปไหนมา” “ฉันนัดกินข้าวกับคนรู้จักน่ะค่ะ” เธอไม่ได้กล่าวถึงธีรดล เพราะครั้งที่แล้วเขาก็ค่อนข้างที่จะไม่พอใจที่รุ่นพี่หนุ่มมาหาเธอถึงบ้าน วันนี้จึงเลี่ยงที่จะทะเลาะกัน “คงไม่ใช่ไอ้รุ่นพี่หน้าขาวที่มาหาเมื่อวันก่อนหรอกนะ” “พี่ปั้นพูดธุระของตัวเองมาเถอะค่ะ” “ทำไม รีบเหรอ หรือว่านัดใครเอาไว้อีก” “เอื้องไม่รีบหรอกค่ะ แต่ว่าไม่อยากจะมารบกวนเวลาทำงานของพี่ปั้นต่างหาก” “ฉันอยากให้เธอลงนามในเอกสารเอาไว้” “เอกสารอะไรเหรอคะ” เธอทำสีหน้างุนงง หรือเขาจะหมายถึงเอกสารคำร้องขอหย่า แต่นั่นมันต้องเซ็นต่อหน้าเจ้าหน้าที่พนักงานไม่ใช่หรืออย่างไร จะเซ็นเอกสารล่วงหน้าให้เขาออกไปส่งเองได้เสียที่ไหนหากไม่ใช่เป็นคำสั่งศาล หรือว่าเป็นกรณีพิเศษที่อนุโลมให้ทำได้ “เอกสารที่บอกว่าเธอจะไม่ยุ่งเกี่ยวกับทรัพย์สินของศิวาภพ” ในส่วนของสินสมรสนั้นได้สลักหลังเอาไว้ตอนที่จดทะเบียนสมรสแล้ว ว่าจะไม่มีการแบ่งสินสมรสใด ๆ กันทั้งนั้น แต่ในทรัพย์สินส่วนที่คุณปู่ยกให้แก่เธอนั้น เขาไม่ต้องการให้เธอใช้เล่ห์เหลี่ยมในการที่จะช่วงชิงวันไปในภายหลัง “นี่พี่ปั้นกลัวเอื้องจะเอาทรัพย์สมบัติของพี่ไปมากขนาดนั้นเลยเหรอคะ ถ้าเอื้อง อยากได้จริง ๆ เรื่องก็คงไม่แต่งงานกับพี่ปั้นหรอกค่ะ ในเมื่อคุณปู่ก็จะยกมรดกครึ่งหนึ่งให้ตกเป็นของเอื้องเสียด้วยซ้ำ” หญิงสาวพูดด้วยน้ำเสียงที่โกรธเคือง เขาพูดแบบนี้ก็เหมือนดูถูกเธอ หาว่าเธอต้องการทรัพย์สินของเขา ทั้งที่หากเธอไม่แต่งงานกับเขาเธอจะได้มากกว่าที่ควรได้ด้วยซ้ำ แววตาของสิริญญาที่จ้องมองอย่างตัดพ้อเจือโกรธเคืองนั้น ทำให้ปัญวิชญ์รู้สึกผิดเล็กน้อย แต่ก็ไม่ได้เอ่ยคำพูดขอโทษที่แสดงความสำนึกผิดออกมา “เอื้องเข้าใจนะคะว่าทรัพย์สินทุกอย่างมันเป็นสิ่งที่คุณปู่และครอบครัวของพี่ปั้น สร้างขึ้นมาด้วยความยากลำบาก ก็เพราะเอื้องรู้ไงคะถึงไม่เคยคิดที่จะอยากได้ของที่ไม่ใช่ของของตัวเอง” เธอไม่ได้ประชด เธอเข้าใจจริง ๆ ใครล่ะอยากจะเสียมรดกที่ครอบครัวหามาด้วยความลำบากให้กับคนนอก เพียงแต่เขาควรจะขอร้องให้เธอเซ็นดี ๆ ไม่ใช่เรียกมาแล้วใช้คำพูดในทำนองที่เห็นแก่ตัว แต่ก็นี่แหละความเป็นมนุษย์ ความโลภ เงินทอง ทรัพย์สินมันไม่เข้าใครออกใคร เขาเปิดซองเอกสารแล้ววางต่อหน้าเธอ ที่แท้เอกสารในซองนั้นก็คือเอกสารสัญญาว่าจะไม่ยุ่งเกี่ยวกับทรัพย์สินของศิวาภพ หญิงสาวเตรียมจะลงนาม เมื่อปลายปากกากำลังจรดลงที่แผ่นกระดาษ เธอก็หยุดชะงักเอาไว้แล้วเงยหน้าขึ้นมองเขา “ทำไมล่ะ หรือว่าเธอเปลี่ยนใจอยากจะได้มันแล้ว” “ถ้าพี่ปั้นต้องการที่จะให้เอื้องเซ็นสละทรัพย์สินส่วนนี้ ถ้าอย่างนั้นพี่ปั้นเองก็ต้องเซ็นเอกสารบางอย่างให้เอื้องด้วยเช่นกัน” หญิงสาวมีข้อต่อรอง น้ำตาเริ่มเอ่อที่ขอบตาแต่ก็พยายามสะกดกันเอาไว้จนตอนนี้ดวงตาเริ่มแดงก่ำ “ว่ามาสิ” “ถ้าเกิดว่าเอื้องตั้งท้องลูกของเราขึ้นมาจริง ๆ ตอนที่เราหย่าเด็กที่เกิดมาจะต้องอยู่ในความปกครองดูแลของเอื้องแต่เพียงผู้เดียว และพี่จะต้องจ่ายค่าเลี้ยงดูเด็กตามความเหมาะสม” “ได้ไม่มีปัญหา อย่างไรเด็กที่เกิดมาก็ไม่ได้เกิดจากความรัก เธอเอาไปเลี้ยงนั่นแหละถูกแล้ว” เขาพูดโดยที่ไม่ต้องคิดเลยสักนิด แววตานั้นดูเย็นชา สำหรับเขาแล้วนอกจากทรัพย์สมบัติก็คงไม่มีอะไรสำคัญไปกว่านี้แล้ว แม้กระทั่งเลือดเนื้อของตนเอง “ได้ค่ะ ตกลงตามนี้” สิริญญากล่าวด้วยน้ำเสียงที่สะกดความเจ็บปวดเอาไว้ หวังว่าเมื่อเธอตั้งครรภ์และให้กำเนิดลูกออกมาแล้ว เขาจะไม่เสียใจกับสิ่งที่ทำลงไปในวันนี้ก็แล้วกัน ************************
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม