กลิ่นอายดินลอยเข้ามาแตะจมูกในตอนที่สายฝนตกลงมาปรอย ๆ เกลียวคลื่นในทะเลเป็นสีขาวซัดกระหน่ำเข้าฝั่งลูกแล้วลูกเล่า ทำให้เรือที่จอดเทียบท่าโคลงเคลงไปด้วย
เพลงขวัญจ้องมองภาพนั้นพร้อมกับรอยยิ้มจาง ๆ เพราะตั้งแต่เกิดมาเธอยังไม่มีโอกาสได้เห็นทะเลเลยสักครั้ง
“สวยจัง”
“หนูเพลง รีบไปกันเถอะ ฝนตกเดี๋ยวก็ไม่สบายหรอก” เสียงวิไลเอ่ยเรียกทำให้หญิงสาวหลุดออกจากภวังค์เพิ่งรู้ว่าตัวเองกำลังยืนตากฝนอยู่
เป็นเพราะเธอมัวแต่มองวิว กว่าจะเดินกลับถึงห้องก็ตัวเปียกชุ่มไปหมด
“น้องเพลงเลิกงานแล้วเหรอจ๊ะ” เสียงเขตต์เอ่ยถามเมื่อเห็นหญิงสาวกลับมาที่หอพัก หลังจากที่ลงทุนมาดักรอพร้อมกับเพื่อนอีกสามคน
“เลิกแล้วค่ะ”
“น่ารักเหมือนที่มึงบอกจริง ๆ ด้วย” ทินกรเพื่อนอีกคนสะกิดบอก
“ไม่ได้นะเว้ย กูเห็นก่อนกูต้องได้”
“หยุดเลย ไม่มีใครได้ทั้งนั้นแหละ รีบไสหัวกลับไปเลย ที่นี่มันหอพักหญิงนะเว้ย หรือพวกแกจะให้ฉันไปบอกคุณราเมศร์ จะได้โดนไล่ออกกันทั้งแผนก” วิไลตวาดกร้าว พอพูดถึงราเมศร์พวกของเขตต์จึงหน้าเจื่อนลง รีบวางผลไม้ที่ตั้งใจซื้อมาฝากให้เพลงขวัญลงบนโต๊ะแล้ววิ่งออกไปเพราะไม่อยากโดนไล่ออก
“พี่ซื้อผลไม้มาฝาก ทานได้นะไม่ได้ใส่ยา”
“ไอ้พวกนี้จริง ๆ เลย พนักงานใหม่มากี่คน มันก็จีบทุกคนนั่นแหละ” คนสูงวัยส่ายหน้าอย่างเอือมระอา แล้วรีบหันมาปลอบเพลงขวัญ “หนูอย่าไปถือสาพวกมันเลยนะ ไอ้พวกนี้มันก็ทำได้แค่เห่านั่นแหละ ไม่มีใครกล้าเอาจริงหรอก พวกมันกลัวคุณราเมศร์กันทั้งนั้นแหละ”
“เขาดูน่ากลัวขนาดนั้นเลยเหรอคะป้า”
“ไม่หรอก เธอออกจะใจดีด้วยซ้ำ แต่คนเป็นผู้น้ำน่ะมันต้องเด็ดขาด เคยมีพนักงานขโมยเงินถูกคุณราเมศร์สั่งสอนไปชุดใหญ่ พนักงานที่เหลือก็ไม่มีใครกล้าทำผิดอีกเลย” วิไลตอบพลางหันไปหยิบถุงมะม่วงที่เขตต์วางไว้ “หนูเอาไปกินเถอะ ไอ้เขตต์มันคนซื่อมันไม่ใส่อะไรลงไปหรอก”
“ค่ะป้า” เพลงขวัญลอบกลืนน้ำลายทันทีที่เห็นมะม่วงน้ำปลาหวานในถุง เธอรีบหยิบมันมาแล้วกัดเข้าปากด้วยความอยาก “หืม...อร่อยมากเลยค่ะป้า ลองกินไหมคะ”
“ไม่ล่ะ ป้าไม่ชอบของเปรี้ยวเห็นแล้วขนลุก”
“งั้นหนูทานหมดเลยนะคะ” ว่าแล้วมือเรียวก็หยิบขึ้นมากัดเข้าปากอีกคำอย่างเอร็ดอร่อยจนวิไลหน้าเหยเกรู้สึกเปรี้ยวแทน
“กินเถอะ แต่อย่ากินเยอะล่ะ เดี๋ยวท้องเสียจะไปทำงานไม่ไหว ป้ากลับห้องก่อนก็แล้วกันนะ” พูดจบอีกฝ่ายก็เดินเข้าห้องตัวเองที่อยู่อีกตึกหนึ่ง ถึงตอนนั้นเพลงขวัญจึงรีบนำผลไม้เข้าไปนั่งกินต่อในห้องอย่างมีความสุขทั้งที่ยังไม่เปลี่ยนเสื้อผ้า
“รู้สึกดีขึ้นเยอะเลยแฮะ” หญิงสาวยิ้มกว้าง พลางก้มลงมองหน้าท้องของตัวเอง นึกขอบคุณที่เธอไม่ได้แพ้ท้องหนักเหมือนแต่ก่อนแล้ว สิ่งเดียวที่น่าเป็นห่วงคือเธอต้องทำยังไงไม่ให้คนอื่นรู้ว่ากำลังตั้งครรภ์เพราะท้องมันก็เหมือนจะเริ่มโตขึ้นทุกที
“เราต้องรีบลงมือก่อนจะถูกจับได้” เธอหันไปให้กำลังใจตัวเองผ่านเงาสะท้อนในกระจกเงา มือเรียวโอบอุ้มท้องไว้ด้วยความรัก “แม่ไม่รู้นะว่าหนูเป็นผู้หญิงหรือผู้ชาย รู้แต่ว่าหนูต้องน่ารักมากแน่เลย ช่วยเป็นกำลังใจให้แม่ด้วยนะ”
ริมฝีปากบางคลี่ยิ้มจาง ๆ ได้แต่ภาวนาขอให้ภารกิจที่ได้รับครั้งนี้มันผ่านพ้นไปได้ด้วยดีเธอจะได้กลับไปกรุงเทพฯ เพื่อใช้ชีวิตเรียบง่ายกับลูกแค่สองคน
หนึ่งสัปดาห์ผ่านไป เพลงขวัญก็ยังหาโอกาสเข้าไปรื้อหาเอกสารในห้องของราเมศร์ไม่ได้สักที ถึงจะเห็นตำแหน่งที่น่าสงสัยแต่ก็ยังไม่รู้ว่าเขาเก็บกุญแจและใส่รหัสอะไรล็อกไว้
“วันนี้ต้องเข้าไปทำความสะอาดห้องคุณราเมศร์ไหมคะ” เธอหันไปถามวิไลในขณะที่กำลังนั่งทานมื้อเช้าด้วยกันในห้องอาหารพนักงาน
“ทำสิ คุณราเมศร์น่ะเธอรักความสะอาด วันไหนไม่เข้า ป้าโดนบ่นตายแน่”
“งั้น...วันนี้ให้หนูเข้าไปทำแทนนะคะ” เพลงขวัญขันอาสาตามแผนที่วางไว้
“ได้สิ ต่อไปเราก็ต้องทำคนเดียวอยู่แล้ว ป้าน่ะแก่ตัวขึ้นทุกวัน คิดว่าอีกไม่นานก็ต้องลาออกไปแล้วล่ะ”
“ค่ะ เอ่อ...ป้าคะ” หญิงสาวกระซิบบอกบางอย่างด้วยเสียงแผ่วเบา
“มีอะไรอีกล่ะ”
“อย่าเพิ่งลุกได้ไหมคะ หนูขอไปตักข้าวต้มอีกสักถ้วยนะ”
“ไปสิ ยังไม่ถึงเวลานี่ กินให้อิ่มจะได้มีแรงทำงาน” คนสูงวัยกว่ายิ้มตอบ มองตามอีกฝ่ายที่กำลังลุกไปตักข้าวต้มด้วยความแปลกใจ “ตัวเล็กแค่นี้แต่กินจุเหมือนกันนะเรา”
“ก็งานมันต้องใช้พลังงานเยอะนี่คะป้า” เพลงขวัญให้เหตุผล อันที่จริงอาจเป็นเพราะเธอกำลังตั้งครรภ์กระมัง พอหายจากอาการแพ้ท้อง เลยกินทุกอย่างที่ขวางหน้าได้อร่อยถึงขนาดนี้
“เพลง เพลง...” เสียงหนึ่งเอ่ยเรียกขึ้นพร้อมกับเจ้าตัวที่วิ่งมานั่งข้าง ๆ
“มีอะไรเหรอ” เธอหันไปถามน้ำขิงเพื่อนร่วมงานในแผนก
“ได้วันหยุดหรือยัง”
“เห็นพี่นิภาบอกว่าวันเสาร์นี่แหละ มีอะไรหรือเปล่า”
“เราหยุดตรงกันเลย งั้นวันเสาร์นี้ไปตลาดบนฝั่งด้วยกันนะ พอดีฉันต้องขึ้นไปซื้อของใช้น่ะ ไปด้วยกันสิ” น้ำขิงเอ่ยชวน ซึ่งเพลงขวัญเองก็ตอบรับในทันที
“งั้นเจอกันวันเสาร์นะ”
“จ่ะ” หญิงสาวรับปากอีกครั้งก่อนจะรีบกินข้าวที่ตักมาจนหมด จากนั้นจึงตามวิไลเข้าไปทำความสะอาดออฟฟิศ
มือเรียวค่อย ๆ ไขกุญแจประตูห้องทำงานของราเมศร์เบา ๆ รีบควานหากุญแจลิ้นชัก จนเห็นว่าเขาซ่อนมันไว้ใต้เอกสารกองใหญ่ด้านหลัง เธอจึงไขมันด้วยมือที่สั่นเทาเพื่อมองหาเอกสารที่พอจะเป็นประโยชน์ได้บ้าง
“อยู่ไหนกันนะ ไม่มีเลยแฮะ” เธอบ่นอย่างหัวเสีย ทำท่าก้ม ๆ มอง ๆ อยู่ครู่ใหญ่จนกระทั่งได้ยินเสียงฝีเท้าเดินเข้ามาในห้องพร้อมกับเสียงพูดคุย
เสียงนั้นทำให้เพลงขวัญชะงัก มือที่กำลังควานหาเอกสารอยู่จึงต้องหยุดแล้วรีบดันลิ้นชักให้ปิดลงทันที แต่ก็ยังไม่กล้าจะออกไปจึงเลือกที่จะแทรกตัวเข้าไปนั่งห่อตัวใต้โต๊ะด้วยความหวาดกลัวว่าจะถูกจับได้
“นี่ค่ะ กาแฟเข้ม ๆ ที่สั่งไว้”
“ขอบคุณนะครับพี่พลับพลึง พี่นี่ยังรู้ใจผมไม่เปลี่ยนเลยนะ” ราเมศร์กล่าวขอบคุณอีกฝ่ายพลางเข้ามาทรุดกายนั่งลงบนเก้าอี้ทำงาน ทำให้เพลงขวัญต้องดันตัวเองเข้าไปหลบด้านในสุดด้วยความตกใจเพราะขาที่ยาวของเขามันเกือบจะพาดอยู่บนคออยู่รอมร่อ
“แล้วเมื่อไหร่ภัทรจะกลับมาล่ะคะ พี่ไม่มีคนให้บ่นเลยเหงาปากจะแย่”
“คงอีกสักพักแหละครับ ผมให้ภัทรเขานั่งตำแหน่งผู้จัดการที่โน่นเลย อยู่ใกล้บ้านเขาด้วย เขาจะได้สบายใจ ถ้าพี่พลับพลึงจะบ่นก็บ่นผมแทนก็ได้ครับ ผมยินดีรับฟัง” ชายหนุ่มหัวเราะแผ่วเบาพลางขยับตัวเข้าไปใกล้โต๊ะเพื่อตรวจดูเอกสารที่อีกฝ่ายนำมาให้เซ็น
“พี่จะไปกล้าบ่นคุณเมศร์ได้ไงล่ะคะ พี่ไม่อยากโดนไล่ออกนะ”
“นี่ขนาดไม่กล้านะเนี่ย ทุกวันนี้หูผมยังชาอยู่เลย” เขาเงยหน้ายิ้มกว้างแล้วจึงเอ่ยถามถึงการประชุมในวันนี้ “เอกสารเรียบร้อยแล้วใช่ไหมครับ มีส่วนไหนที่ผมต้องแก้หรือเสริมอีกไหม”
“ระดับพี่พลับพลึงซะอย่างไม่มีอะไรน่าเป็นห่วงหรอกค่ะ”
“นั่นสินะ ไม่เก่งจริงคงไม่อยู่วงการนี้มายี่สิบปีหรอก”
“คุณเมศร์ไม่ได้ว่าพี่แก่ใช่ไหมคะ” พลับพลึงค้อนขวับ ราเมศร์จึงหลุดขำออกมาอีกครั้ง
“แก่ได้ยังไงครับ ยังสาวยังสวยอยู่เลย”
“เอาเถอะค่ะ รีบเซ็นเอกสารเถอะจะได้เข้าประชุม”
“ได้ครับท่านประธาน” ชายหนุ่มยังมิวายเอ่ยแซวคนสูงวัยกว่าอย่างอารมณ์ดี เขาก้มลงตรวจเอกสารในแฟ้มตรงหน้าอย่างละเอียดถี่ถ้วนก่อนจะจรดปากกาตวัดลายเซ็นลงบนนั้น “เสร็จแล้วครับผม”
“ขอบคุณค่ะ จะเข้าห้องประชุมเลยไหมคะ จะได้ไปพร้อมกัน” พลับพลึงตรวจเช็กเอกสารอีกรอบแล้วเงยหน้าถาม
“พี่ไปก่อนได้เลยครับ ผมมีอะไรต้องทำอีกแป๊บนึง เดี๋ยวผมตามไป”
“ได้ค่ะ แต่อย่านานนะคะเดี๋ยวโดนลูกน้องบ่น” อีกฝ่ายกำชับอีกครั้งก่อนจะหมุนตัวออกจากห้องไป
ความเงียบเข้ามาปกคลุมภายในห้องอีกครั้งเมื่อบทสนทนาสิ้นสุดลง เพลงขวัญได้แต่นั่งเงียบไม่กล้าแม้แต่จะหายใจ ดวงตาคู่สวยปิดสนิทแน่น ได้แต่ภาวนาขอให้ราเมศร์ลุกตามพลับพลึงออกไปเร็ว ๆ
“อา...เมื่อยจัง” คนตัวเล็กที่นั่งขดตัวอยู่ใต้โต๊ะสะดุ้งโหยงเมื่อเขาบ่นอุบแล้วเอนศีรษะลงบนพนักเก้าอี้ ทำให้ส่วนกลางของร่างกายขยับเข้ามาใกล้จนแทบจะชนเข้ากับใบหน้า หญิงสาวจึงรีบปิดตาลงอีกครั้ง พยายามขยับตัวออกจากเรียวขาของเขาให้ได้มากที่สุดแต่เพราะเธอกำลังท้องบวกกับสถานที่มันค่อนข้างจะคับแคบจนน่าอึดอัด เธอจึงไม่สามารถขยับไปไหนได้ไกลมากนัก
“เอาล่ะ หายเมื่อแล้วทีนี้เราก็มาคุยเรื่องของเรากันต่อ” อยู่ ๆ เขาก็เอ่ยถามออกมาลอย ๆ ทำให้ดวงตาคู่สวยเบิกกว้างคิดว่าในห้องยังมีใครอีกคนอยู่ด้วย แต่วินาทีที่กำลังสับสนอยู่นั้น ราเมศร์ก็ก้มลงมาจนใบหน้าห่างกับเธอไม่ถึงคืบ สายตาสอดประสานกันเต็ม ๆ จะหลบไปไหนก็ไม่ได้