เพลงขวัญเดินทางมาถึงสนามบินด้วยความตื่นเต้นเพราะนี่ถือเป็นการเดินทางออกนอกประเทศเป็นครั้งแรก
หญิงสาวทำตามคำแนะนำของภูริตทุกขั้นตอนจนกระทั่งตอนที่ขึ้นเครื่อง หัวใจดวงน้อยก็ยังเต้นโครมครามไม่เลิก
“ตื่นเต้นจัง” ดวงตาคู่สวยมองออกไปนอกหน้าต่าง เห็นเครื่องบินกำลังเทคออฟขึ้นสู่น่านฟ้าจนมองเห็นวิวเมืองหลวงจากมุมสูง “สวยจังเลย”
“เก็บอาการหน่อย อายคนอื่นเขา” เสียงบิดากระซิบบอกจากที่นั่งข้าง ๆ ทำให้เพลงขวัญต้องระงับความตื่นเต้นนั้นไว้ด้วยการจดจ่ออยู่กับวิวนอกหน้าต่างแม้จะมองเห็นแค่เมฆสีขาวในตอนที่เครื่องขึ้นสู่ความสูงคงที่ เธอก็ยังคงตื่นเต้นไม่หาย
“ท้องฟ้าสวยจังเลยนะคะพ่อ...” หญิงสาวชะงักกึก เมื่อรู้ตัวว่าเธอเผลอเรียกคำต้องห้ามออกมา “ขอโทษค่ะ หนู...เอ่อ...หนูตื่นเต้นไปหน่อย”
“ฉันบอกแล้วไงว่าให้นั่งเงียบ ๆ ไม่ต้องตื่นเต้นขนาดนั้นก็ได้” ภูริตตำหนิด้วยสีหน้าบึ้งตึง เพลงขวัญจึงต้องละสายตาจากเมฆสีขาวข้างนอกหันมาจดจ่ออยู่ที่หน้าจอตรงหน้าแทน
เวลาผ่านไปเกือบสิบสามชั่วโมงที่ต้องนั่งอยู่บนเครื่อง จนในที่สุด เครื่องบินก็แลนด์ดิ้งลงสู่สนามบินปารีสออร์ลี่ เป็นการเดินทางที่ยาวนานที่สุดแต่ก็ตื่นเต้นที่สุดจนเธอแทบจะข่มตาหลับไม่ลงเลยสักนิด
“เพลงขวัญ ทางนี้” เสียงบิดาเอ่ยเรียกหลังจากที่หอบหิ้วกระเป๋าเดินทางออกมาด้านนอกก็พบว่ามีรถมารอรับอยู่แล้ว หลังจากใช้เวลาเดินทางจากสนามบินมาอีกชั่วโมงเศษ ในที่สุดก็มาถึงโรงแรมที่จัดงาน
ภูริตใช้เวลาทักทายเพื่อนสมัยเรียนมหาวิทยาลัยที่นี่อยู่ครู่ใหญ่ ก่อนที่พนักงานจะพาเขาและเพลงขวัญขึ้นไปบนห้องพักที่จัดเตรียมไว้ ซึ่งต้องนอนแยกห้องกันเป็นสองห้อง ตามที่เขาแจ้งเปลี่ยนไปก่อนหน้าเพราะนุชรีไม่สามารถเดินทางมาด้วยได้
“นี่ห้องสี่ศูนย์เจ็ด ห้องของแก วันนี้พักผ่อนก่อน ตอนค่ำจะออกไปเดินเล่นข้างนอกก็ได้ แต่ห้ามออกไปนอกเขตของโรงแรมเด็ดขาด แล้วพรุ่งนี้ตอนบ่ายฉันจะมารับไปงานเลี้ยง” เขากำชับกับลูกสาวอีกครั้ง หลังจากนั้นจึงแยกไปพักผ่อนที่ห้องของตัวเอง
เพลงขวัญจึงรีบเปิดประตูเข้าไปในห้อง ทิ้งตัวนอนลงบนเตียงกว้าง จ้องมองความหรูหราด้วยรอยยิ้มกว้างราวกับว่าตัวเองกำลังฝันไป
“ฝรั่งเศสครั้งแรกในชีวิต ต้องถ่ายรูปไปอวดพี่ทับทิมกับป้าบุปผาสักหน่อยดีกว่า” หญิงสาวหยิบมือถือขึ้นมา กดถ่ายรูปไปรอบ ๆ ห้องด้วยความตื่นตาตื่นใจ ใช้เวลาอยู่พักใหญ่ ๆ คิดว่าจะเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วนอนพักเอาแรงสักงีบแต่พนักงานก็ดันนำอาหารมาเสิร์ฟเสียก่อน
“คุณภูริตห้องสี่ศูนย์หก สั่งเป็นอาหารไทยไว้ค่ะ” พนักงานบอกเธอเป็นภาษาอังกฤษก่อนจะนำอาหารมาจัดเตรียมไว้ให้ถึงห้อง เป็นครั้งแรกที่เธอได้รับการบริการเป็นอย่างดีในชีวิต อดที่จะรู้สึกดีเสียไม่ได้
“ขอบคุณค่ะ”
หลังจากกล่าวขอบคุณกลับไปเป็นภาษาฝรั่งเศสตามที่ฝึกทำการบ้านมาก่อนหน้า เธอก็ใช้เวลาจัดการกับอาหารต่อจนกระทั่งเผลอหลับไปด้วยความอ่อนเพลีย รู้สึกตัวอีกทีก็ตอนที่เข็มนาฬิกาบอกเวลาเกือบจะห้าโมงเย็นจึงรีบเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วนำมือถือลงไปเก็บภาพที่ชั้นล่าง
ครืด...
เสียงข้อความจากกอหญ้า เพื่อนสนิทสมัยเรียนมหาวิทยาลัยเด้งขึ้นมาทันทีที่เห็นว่าเธออัพโหลดรูปลงโซเชียล
กอหญ้า : อย่าลืมหิ้วผู้มาฝากเพื่อนด้วยนะ
เพลงขวัญ : ผู้ชายที่นี่สู้ผู้ชายที่ไทยไม่ได้หรอก
พอตอบกลับข้อความนั้นเสร็จ เพลงขวัญก็เลื่อนเปิดกล้องเพื่อเก็บภาพต่อ
“มองเห็นหอไอเฟลด้วยแฮะ” รอยยิ้มแห่งความสุขปรากฏบนใบหน้าอีกครั้งก่อนจะถ่ายภาพไว้ เธอเดินสำรวจไปรอบ ๆ โรงแรม ดื่มด่ำกับบรรยากาศเพียงลำพังอย่างมีความสุข โดยที่ภูริตเองก็แอบมองดูภาพนั้นจากมุมสูงบนห้องด้วยรอยยิ้มบนใบหน้าเช่นกัน
“ถือซะว่าเป็นของขวัญในโอกาสที่แกเรียนจบก็แล้วกัน ถึงยังไงแกก็ยังเป็นลูกสาวของฉันอีกคน”
เขาเอ่ยออกไปผ่านสายลมในขณะที่ยังจ้องมองร่างบอบบางกำลังเพลิดเพลินอยู่ในสวนดอกไม้ของโรงแรมอย่างมีความสุข
งานเลี้ยงถูกจัดขึ้นในตอนค่ำของวันถัดมา ภูริตลงทุนจ้างช่างแต่งหน้าที่ให้เพื่อนจัดหามาให้เพื่อเปลี่ยนโฉมเพลงขวัญ เพราะเธอไม่คุ้นชินกับการแต่งตัวออกงานเสียเท่าไหร่
หลังจากอดทนนั่งหลังขดให้ช่างแต่งหน้าทำผมอยู่นานเป็นชั่วโมง ผู้เป็นพ่อก็มาเคาะประตูเรียกเพื่อไปร่วมงานที่ห้องโถงของโรงแรมด้วยกัน
เพลงขวัญพยายามข่มความตื่นเต้นเอาไว้จนถึงขีดสุด เมื่อเหลือบเห็นผู้คนมากมายที่เดินทางมาร่วมงานในค่ำคืนนี้ ถึงแม้ว่าแขกส่วนใหญ่เธอจะไม่รู้จัก แต่เห็นการแต่งตัวและใบหน้าที่ดูดีของหลาย ๆ คนเธอก็อดที่จะชื่นชมเสียไม่ได้
“มีแต่คนสวย ๆ หล่อ ๆ ทั้งนั้นเลย”
“อะแฮ่ม” เสียงภูริตกระแอมบอกเป็นนัย ๆ ว่าให้เธอเก็บอาการในขณะที่กำลังจะเดินเข้างาน
“หนูขอโทษค่ะ”
“เรามาตกลงอะไรกันก่อนดีไหม” เขาว่าพลางแยกตัวเดินไปอีกทางซึ่งเหมือนจะเป็นทางแยกไปด้านหลังของโรงแรมทำให้เพลงขวัญต้องรีบเดินตามไปอย่างว่าง่าย
“คุณพ่อ...เอ่อ...คุณท่าน...มีอะไรเหรอคะ”
“อยู่ที่นี่แกห้ามเรียกฉันว่าพ่อหรือคุณท่านเด็ดขาด ให้เรียกฉันว่าคุณลุง เพราะฉันบอกทุกคนไปแล้วว่าแกคือหลานสาวของฉัน” อีกฝ่ายเน้นย้ำถึงข้อตกลงซึ่งเพลงขวัญเองก็เข้าใจดี
“ค่ะ”
“แล้วก็ช่วยเก็บอาการ ระวังคำพูดด้วย ถึงเราจะอยู่ต่างประเทศ แต่แขกจำนวนไม่น้อยก็มาจากไทยเพราะฉะนั้นอย่าให้ใครรู้เด็ดขาดว่าเราเป็นพ่อลูกกัน”
“ค่ะคุณ...เอ่อ...คุณลุง” เป็นอีกครั้งที่เพลงขวัญรับปากอย่างว่าง่าย เมื่อตกลงกันเรียบร้อยแล้ว ภูริตจึงพาเธอกลับเข้าไปในงานโดยที่ทั้งสองไม่ทันได้สังเกตเห็นใครอีกคนที่กำลังสะกดรอยตามและแอบฟังบทสนทนานั้นเลยสักนิด
ภายในงานถูกจัดเป็นงานเลี้ยงหรูหรา มีแขกทั้งในและต่างประเทศมาร่วมแสดงความยินดี รวมถึงสื่อท้องถิ่นของฝรั่งเศสที่เดินทางมาทำข่าวเพราะที่นี่ถือเป็นโรงแรมหรูอันดับ ต้น ๆ เลยก็ว่าได้
เพลงขวัญพยายามเก็บอาการความตื่นเต้นตามที่บิดากำชับไว้ เธอเดินตามภูริตไปยังที่นั่งที่ถูกจัดไว้ให้ ในระหว่างทางเดินก็ทักทายคนรู้จักในนามหลานสาวของเขาไปด้วย
“สวัสดีครับคุณกิตติ มาถึงตั้งแต่เมื่อไหร่ครับ” ผู้เป็นพ่อหันไปทักทายแขกที่ได้รับเชิญมาจากประเทศไทยที่รู้จักกันเป็นอย่างดีเพราะทำธุรกิจเดียวกัน
“ผมมาถึงอาทิตย์นึงแล้วล่ะ พอดีว่าคุณหญิงเขาอยากมาเที่ยวด้วยน่ะ”
“อากาศที่นี่ดีมากเลยนะครับ ผมเองก็ว่าจะพาเพลงขวัญไปเที่ยวอยู่เหมือนกัน” เขาว่าพลางผายมือไปยังร่างเล็กที่ยืนอยู่เบื้องหลัง ทำให้คนถูกกล่าวถึงต้องหันมากระพุ่มมือไหว้คนอาวุโสกว่าอย่างรู้งาน
“สวัสดีค่ะคุณลุง”
“นี่ใครเหรอครับคุณภู ผมว่าผมคุ้นหน้าเธอนะ เหมือนเคยเห็นที่ไหน” กิตติเอ่ยถามด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม
“หลานสาวผมเองน่ะครับ ทำงานอยู่ที่โรงแรมนั่นแหละ” ภูริตตอบก่อนจะแนะนำทั้งสองให้เพลงขวัญรู้จัก “ขวัญ...นี่คุณกิตติแล้วก็คุณหญิงนภาเพื่อนของลุง”
“สวัสดีค่ะ” หญิงสาวยิ้มตอบจนรู้สึกว่ากรามเธอเริ่มค้างเพราะยิ้มมาตลอดตั้งแต่ทางเข้าก็ยังไม่ถึงที่นั่งสักที
“เออ จริงด้วย ผมอยากจะแนะนำใครอีกคนให้คุณรู้จักหน่อยน่ะ” กิตติว่าพลางชะเง้อมองไปรอบงานทำให้เพลงขวัญอดไม่ได้ที่จะมองตามจนกระทั่งสายตาไปสะดุดเข้ากับร่างสูงกำลังเดินผ่านแขกเหรื่อเข้ามาทางนี้ “นั่นไง มาพอดีเลย”