บทที่ ๕ ยั่วยุ

1906 คำ
บทที่ ๕ ยั่วยุ หมิงไป่ลู่ในชุดสีชมพูเข้ม ปักดิ้นดอกบัวเหลือง ดูแล้วให้ความรู้สึกทะนุถนอมยิ่งนัก พระสนมคนใหม่มีผิวพรรณที่ขาวนวลอมชมพู ยามเยื้อย่างก็งามงดดั่งเทพธิดามาจุติบนพื้นพิภพ เมื่อมาถึงศาลาก็ชะงักเท้า เพราะที่นั่นมีสตรีผู้มียศสูงศักดิ์นั่งกันอยู่ เสียงหัวเราะและพูดคุยมีจริตจะกร้าน ยิ่งทำให้พระสนมไม่อยากเข้าไปด้านในเลยสักนิดเดียว “พระสนมเข้าไปสิขอรับ” ขันทีฟงเหอเอ่ยเตือนผู้เป็นนาย “ข้าไม่อยากเข้าไปเลย” พระสนมหน้ามุ่ย “ถ้าไม่เข้าไป พระสนมอาจถูกทำโทษนะขอรับ” ขันทีคนสนิทเอ่ยเตือน คนงามพยักหน้า จำต้องกัดฟันก้าวเท้าเรียวไปที่ศาลาสวนดอกไม้ส่วนพระองค์ของกุ้ยเฟย เจียงฉีหลิงหรือเจียงกุ้ยเฟย เป็นบุตรีของเจียงเหอเจ้ากรมคลังที่มีอำนาจมาก ทำให้ฮ่องเต้จำต้องรับนางมาเป็นกุ้ยเฟยเพื่อคานอำนาจของฮองเฮาฮุ่ยหลันหลิน ซึ่งในครานั้นฮุ่ยฮองเฮามีพระยศเป็นพระชายาเอกของพระองค์ ส่วนเต๋อเฟยและเสียนเฟยที่สกุลเดิมมีอำนาจพอสมควร เพื่อการคานอำนาจไม่ให้ตกอยู่ในฝั่งใดฝั่งหนึ่งมากเกินไป ฮ่องเต้จึงต้องรับสตรีทุกคนที่มีสกุลยิ่งใหญ่หนุนหลังเข้าวังหลัง ในเมื่อครั้งที่ยังเป็นหวงไท่จื่ออวี๋ตี้เฟิ่ง ราชบัลลังก์ของฮ่องเต้พระองค์เดิม ที่เป็นพระบิดาของหวงไท่จื่อ ได้พระราชทานสมรสให้แก่อวี๋ตี้เฟิ่งกับฮุ่ยหลันหลินบุตรีพระกรมกลาโหม ฮุ่ยหวง แม้ไม่รักใคร่ ถึงจะถูกใจในบุตรีของท่านราชครูหมิงลี่ฉูมากเพียงใด แต่จำเป็นต้องมีพระชายาเอกและพระชายารองเพื่ออำนาจและการครองบัลลังก์ ก่อนได้ครองบัลลังก์ทอง หวงไท่จื่อจำต้องมีจำต้องมีหวงไท่จื่อเฟย และภายในสองเดือนหวงไท่จื่อก็ได้รับพระราชทานสมรสอีกครั้ง นั่นคือเหลียงตี้[กุ้ยเฟย]และหรูจื่อ[ซูเฟย] และเมื่อพระองค์เสด็จขึ้นครองราชย์แล้ว หวงไท่จื่อเฟย ฮุ่ยหลันหลินก็ได้รับการสถาปนาเป็นฮุ่ยฮองเฮา ส่วนเหลียงตี้ได้รับการอวยยศเป็นกุ้ยเฟย หรือเจียงกุ้ยเฟย หรูจื่อก็ถูกอวยยศเป็นซูเฟย ตามลำดับ และเมื่อพระองค์ครองบัลลังก์ทองมาได้หนึ่งปี ก็ได้รับพระชายามาอีกสองพระองค์ นั่นคือ เต๋อเฟยและเสียนเฟย กว่าจะมาถึงวันนี้ได้ ฮ่องเต้ก็ผ่านความทุกข์หฤทัยอย่างแสนสาหัสมาแล้ว ทั้งการแย่งชิงอำนาจ ทั้งการวางแผนฆ่า ทุกสิ่งทุกอย่าง กว่าจะยิ่งใหญ่จนต่างแคว้นล้วนเกรงขาม ล้วนผ่านคราบน้ำตามาแล้วทั้งนั้น ท้องพระโรง ไคเฟ่อมาตามคำสั่งของผู้เป็นนาย แต่ท หารที่เฝ้าพระทวารไม่ให้เข้า ไล้อี้หัวหน้าราชองครักษ์เห็นเช่นนั้นจึงเป็นคนเดินมาถาม เพื่อที่จะไปรายงานเจ้าชีวิต “มีอันใดหรือ…เจ้า นางกำนัลของพระสนมหมิง ?” จำได้ดี เพราะฮ่องเต้ทรงประทับที่พระตำหนักเล็กทุกยามราตรี “เจ้าค่ะ ท่านไล่อี้…” ไคเฟ่อเองก็ดีใจที่เห็นอีกคน เนื่องจากตนนั้นห่วงพระสนม อยากไปอยู่ดูแลใจแทบขาดแล้ว “ไยเจ้าถึงมาที่นี่ แล้วพระสนมเล่า ไยถึงไม่ดูแล” ถามเสียงเรียบ ไคเฟ่อหน้าตาตื่น รีบเล่าอย่างรวดเร็ว “ข้ามาที่นี่ย่อมเกี่ยวกับพระสนม กุ้ยเฟยส่งเทียบเชิญให้พระสนมไปดื่มชาที่พระตำหนักส่วนพระองค์ พระสนมจึงให้ข้ามาแจ้งข่าวนี้กับองค์ฮ่องเต้เจ้าค่ะ” รวดเดียวจบ มีแต่เนื้อไร้น้ำ จึงค่อนข้างฝืดคอไปนิด “เช่นนั้น พระสนมคงอยู่ที่สวนส่วนพระองค์แล้วสิ” เลิกคิ้วเข้มถาม “เจ้าค่ะ…” “เจ้าไปดูแลพระสนม ข้าจะไปแจ้งเรื่องนี้กับฝ่าบาท” หันหลังเดินกลับไปอย่างรวดเร็ว นางกำนัลไม่รอช้า รีบกลับไปทำหน้าที่ของตนเหมือนกัน วรกายสูงใหญ่ประทับบนบัลลังก์ทอง ทอดพระเนตรเหล่าขุนนางที่ถกเถียงกันเรื่องการเก็บภาษีก็ให้รำคาญใจ ไยคนเหล่านี้ถึงชอบทำเรื่องเล็กให้เป็นเรื่องใหญ่ ทั้ง ๆ ที่วิธีแก้ปัญหามันมีอยู่แล้ว กลับไม่ยอมทำ แก่แล้วยังไร้ความคิดสร้างสรรค์ เอาแต่เถียงกัน ไม่ยอมให้บัณฑิตรุ่นใหม่ทำงาน อวดดี ไร้การพัฒนา น่าเอาไปเก็บจริง ๆ “พวกท่านจะเถียงกันอีกนานหรือไม่ ถ้ายังเป็นเช่นนี้ ข้าจะปลดพวกท่านออก และให้ไปนั่งนอนกินเงินเดือนที่จวน ปล่อยให้ขุนนางรุ่นใหม่มาทำงานแทนพวกท่าน ทุกคนแก่กันมากแล้ว ไยถึงไม่ฟังกันบ้างเลย” “คิดแต่ว่าตนเองถูก ตนเองเก่ง แต่คนอื่นไม่เก่งเท่าตนเอง ถ้าคิดเช่นนี้ ไปนอนดูเหลน ๆ วิ่งเถอะ อย่ามาทำงานให้เปลืองภาษีประชาชนเลย” เงียบกริบราวกับอยู่ในสุสาน “บัณฑิต ขุนนางรุ่นใหม่ ต่างร่ำเรียนมาจากสถานศึกษาที่พวกท่านเรียนกันทั้งนั้น ไม่ว่าจะตำรา ที่ศึกษาล้วนเป็นอันเดียวกัน ยกเว้นแต่ ซือฝุ ที่ต้องเปลี่ยนไป เนื่องจากชรา แล้วไยพวกท่านถึงเอาแต่ความคิดของตนเล่า ไยไม่ให้โอกาสคนรุ่นใหม่ที่มีแนวคิดดี ๆ เป็นประโยชน์ต่อแคว้นอวี๋ของเราบ้าง จะได้หรือไม่” มีทั้งพระเดชและพระคุณ “เอาล่ะ ประชุมกันเพียงแค่นี้ เรื่องภาษี ไปคิดไตร่ตรองกันให้ดืๆ ก่อนจะมาเสนอเจิ้นอีกครั้งในวันพรุ่งนี้ ถ้ามันไม่ดีพอ เจิ้นจะยกเลิกการเก็บภาษี ประชาชนจะได้ไม่ต้องเหน็ดเหนื่อยในการทำงานเช่นนี้ เลิกประชุม” “ทรงพระเจริญ หมื่นปี หมื่น หมื่นปี” หลังจากขุนนางทุกคนออกไปกันหมดแล้ว ไล่อี้จึงกราบทูล “ฝ่าบาทพะย่ะค่ะ กุ้ยเฟยส่งเทียบเชิญมาให้พระสนมพะย่ะค่ะ กระหม่อมเกรงว่า กุ้ยเฟยจะทำเรื่องไม่ดีแก่พระสนมพะย่ะค่ะ” “อืม เจิ้นก็คิดเช่นเจ้า เช่นนั้น ไปที่พระตำหนักของกุ้ยเฟยกันเถิด” ขยับวรกายสูงใหญ่ลุกขึ้น “ที่สวนส่วนพระองค์นะพะย่ะค่ะ…” “อืม” พระบาทแกร่งก้าวย่าง ตามหลังด้วยราชองครักษ์ ในศาลาส่วนพระองค์ของเจียงกุ้ยเฟย ที่พระสนมหมิงย่างเท้าเข้าไปนั้น ก็ได้ยินเสียงประจบสอพลอดังเล็ดลอดออกมาเป็นระยะ ๆ เมื่อได้ยินหมิงไป่ลู่ก็อดจะขำไม่ได้ “พระสนมหมิงมาถึงแล้ว” นายทหารเฝ้าศาลาขานนาม ทำให้สตรีสี่นางหยุดชะงัก สบตากันโดยมิได้นัดหมาย เท้าเรียวงามก้าวเข้ามาในศาลา เมื่อเจอเป้าหมาย หมิงไป่ลู่ก็ตรงเข้าไปทันที “หม่อมฉันหมิงไป่ลู่ ถวายพระพรกุ้ยเฟย ซูเฟย เสียนเฟยและเต๋อเฟยเพคะ” พระสนมตัวน้อยทำความเคารพพระชายาทั้งสี่เป็นที่เรียบร้อยอย่างสละสลวยงดงาม ตามที่สกุลเดิมอบรมสั่งสอนมา “อ้อ พระสนมหมิง นั่งเสียสิ” กุ้ยเฟยอนุญาตให้พระสนมนั่งที่เก้าอี้ หมิงไป่ลู่ก้มศีรษะให้เพียงนิดก่อนจะนั่งลง “ขอบพระทัยกุ้ยเฟยเพคะ” ด้วยความที่หมิงไป่ลู่เป็นบุตรีท่านเจ้ากรมพิธีการ การถูกอบรมให้เชื่อมั่นและมั่นใจมาโดยตลอด ทำให้พระสนมคนใหม่ไม่มีทีท่าเคอะเขินหรือก้มหน้าก้มตา ให้เสื่อมเสียถึงวงศ์ตระกูล เหล่าพระชายาเห็นคอเชิดดูหยิ่งผยองของพระสนมคนใหม่ ใคร่ไม่พอใจเท่าใดนัก แต่จำต้องเก็บเอาไว้ก่อน หน้าที่แรก เป็นของกุ้ยเฟย เพียงเพราะอยากสั่งสอนผู้ที่ตนชิงชัง “ชาของตำหนักเปิ่นกงนี่เป็นชาที่ดียิ่งนัก ได้ข่าวว่า ได้มาจากทางเหนือ ซึ่งจะต้องเก็บในช่วงเช้าตรู่ ยอดน้ำค้าง ถึงจะได้ชาอร่อยและมีคุณภาพ เจ้าได้ชิมหรือยังล่ะพระสนม” กุ้ยเฟยถามพระสนมคนงามยิ้ม ๆ ‘หึ คงมีวาสนาได้จิบหรอกนะ’ “ยังไม่เคยได้จิบชาที่กุ้ยเฟยกล่าวมาเลยเพคะ” พระสนมยิ้มละมุนละไมตอบกลับไป พลางก้มศีรษะเล็กน้อย จึงไม่เห็นว่า สตรีทั้งห้าต่างก็ยิ้มเยาะ ๆ ที่ตนนั้นยังไม่มีโอกาสดื่มชาดีเหมือนกับพวกพระนาง “ถ้าเช่นนั้นเจ้าลองจิบดูสิ เจ้าจะได้รู้ว่าชาดีมันเป็นอย่างไร” นางกำนัลรีบมารินน้ำชาให้พระสนมหมิง “ขอบพระทัยกุ้ยเฟยเพคะ” พระสนมคนใหม่กล่าวขอบพระทัยกุ้ยเฟย พลางยิ้มละมุนไปให้ “เปิ่นกงเชิญพระสนมคนโปรดของฮ่องเต้มาชิมชา พระองค์คงไม่ว่าอันใดกระมัง” กุ้ยเฟยตรัสขึ้น “ฮ่องเต้พระทัยดี พระองค์ไม่ว่าแน่นอนเพคะ หม่อมฉันสนมหมิงขอฝากเนื้อฝากตัวกับกุ้ยเฟย ซูเฟย เสียนเฟย และเต๋อเฟย ด้วยนะเพคะ โปรดเอ็นดูหม่อมฉันด้วย” ก้มศีรษะให้อย่างฝากเนื้อฝากตัว “ไม่เป็นอันใด เราเป็นพี่น้องกัน ย่อมรักกันและดูแลกันใช่หรือไม่เต๋อเฟย” เสียนเฟยกล่าวพลางยิ้มไปให้เต๋อเฟย “เป็นเช่นนั้นเพคะ” เต๋อเฟยเองก็ยิ้มรับคำพูดนั้น “เจ้ามาได้กี่เดือนแล้วนะพระสนม” ซูเฟยถาม “สองเดือนแล้วเพคะ ทุกคืนนี้หม่อมฉันไม่ค่อยสบายกายเท่าใดนัก ปวดไปทั้งกายเลยเพคะ” หมิงไป่ลู่ได้ทีก็เอ่ยกระมิดกระเมี้ยนขึ้นมา เหล่าพระชายาต่างอยากจะรู้ “อันใดหรือ” กุ้ยเฟยถามขึ้น “คือ เอ่อ ฮ่องเต้เพคะ” เสียงขาดหายไปดั่งไม่กล้าที่จะเอ่ยออกมา “อันใดของเจ้า” เสียนเฟยและเต๋อเฟยตรัสถามขึ้นมา เพราะอยากจะรู้เต็มที แต่พระสนมกลับไม่ยอมเอื้อนเอ่ยออกมาสักที “ว่าอย่างไร จะตอบเปิ่นกงหรือไม่” เสียนเฟยชักจะหงุดหงิดที่พระสนมคนใหม่อิดออดเหลือเกิน “ก็ฮ่องเต้เพคะเสียนเฟย ที่คอยรบกวนหม่อมฉันพระองค์เสวยจุมาก จับหม่อมฉันกินทั้งคืน อ้อนวอนขอให้เบา ๆ แต่พระองค์กลับกระแทกหนักเหลือเกิน จนหม่อมฉันนั้นปวดเมื่อยไปทั้งตัวเลยเพคะ” คำพูดนั้นมีความเขินอายแต่แฝงไปด้วยความยโสซ่อนอยู่ในน้ำเสียง ขันทีคนสนิทก้มใบหน้าลงซุกซ่อนความพึงพอใจเอาไว้อย่างมิดชิดที่พระสนมของตนก็แรงใช่เล่น “…..” พระชายาทั้งสี่ต่างไม่พอพระทัย สนมตัวเล็ก ๆ อย่างหมิงไป่ลู่กล้าเยาะเย้ยพวกนาง เห็นทีจะดูเบาบุตรีของท่านราชครูไม่ได้เสียแล้ว แต่ยังไม่ทันที่กุ้ยเฟยจะได้กระทำการอันใด สนมหมิงก็กล่าวขึ้นมาอีกครั้ง “เอ่อ คือ ยามนี้ก็ใกล้เวลาที่ฮ่องเต้จะเสด็จมาแล้ว หม่อมฉันเองเกรงใจกุ้ยเฟยยิ่งนักเพคะ” พระสนมยิ้ม แต่กุ้ยเฟย มองตาวาววับ “ฮ่องเต้เสด็จมาในเวลานี่หรือพระสนม” เต๋อเฟยตรัสถามขึ้น “เพคะ หม่อมฉันต้องอภัยที่จะต้องกลับพระตำหนักแล้ว” เอ่ยด้วยเสียงที่ขลาดกลัว “วันนี้กุ้ยเฟยส่งเทียบเชิญหม่อมฉันมาดื่มชา ทั้งที่หม่อมฉันเป็นเพียงสนมตัวเล็ก ๆ ต่ำต้อยด้อยค่ายิ่งนัก จึงเพียงแค่รับน้ำใจแต่ไม่อาจรับน้ำชาได้ ต้องขออภัยกุ้ยเฟยด้วยเพคะ” หมิงไป่ลู่ก้มหัวให้เล็กน้อย “พระสนมจะกลับแล้วหรือ" ซูเฟยถาม “เพคะซูเฟย หม่อมฉันต้องขออภัยด้วยเพคะ” ก้มศีรษะเพียงนิด “ไม่เป็นอันใดหรอก” ซูเฟยกล่าวยิ้ม ๆ แต่แล้วทุกอย่างกลับหยุดนิ่ง เมื่อคนที่อยากเจอมาถึงที่นี่แล้ว “เจิ้นมารับเจ้าแล้วพระสนม” “ฮ่องเต้ !!”
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม