บทที่ -๖- ล่อลวง
“ฮ่องเต้ !!”
“ถวายพระพรฮ่องเต้ ขอทรงพระเจริญหมื่นปี หมื่น หมื่นปี” ทุกคนต่างถวายพระพรอย่างพร้อมเพรียงกัน
“ตามสบาย เจิ้นมาที่นี่ เพื่อมาตามคนของเจิ้นกลับ เจ้าจะกลับได้หรือยังพระสนม” ถามหมิงไป่ลู่สุรเสียงราบเรียบ
“กลับเพคะ” โล่งอกที่ผู้เป็นใหญ่มาทันเวลา นางกำลังจะถูกสูบวิญญาณแล้ว
“เช่นนั้นก็กลับกันเถิด เจิ้นหิวนัก” ตรัสกับคนตัวเล็ก อีกทั้งสายตาจับจ้องนางในดวงใจอยู่อย่างนั้น จนทุกคนขัดใจและชิงชังหมิงไป่ลู่เท่าทวีคูณ
“ถ้าพระองค์ทรงหิว ทานข้าวที่ตำหนักของหม่อมฉันก็ได้เพคะ” กุ้ยเฟยยิ้มหวานจัด ดวงตาหยาดเยิ้มเพราะเจ้าของหัวใจมาเยือนถึงที่ แม้จะรู้ว่ามาเพราะนังสนมขี้เหร่นี่ก็เถอะ
“เจิ้นจะไปทานกับพระสนม เร็วสิพระสนมหมิง” เร่งยิก ๆ
“เพคะ” หันมาทางสตรีผู้สูงศักดิ์ทั้งหลาย จากนั้นจึงเอ่ยขึ้น “หม่อมฉันไม่อาจอยู่จิบชาตามที่กุ้ยเฟยต้องการได้ เพราะว่าฝ่าบาทเสด็จมารับแล้ว วันหน้าถ้ามี หม่อมฉันคงได้มาดื่มชาที่พระตำหนักส่วนพระองค์นะเพคะ หม่อมฉันคงต้องขอตัว” พระสนมก้มศีรษะให้ ผู้เป็นใหญ่จับมือนุ่มมากอบกุมเอาไว้ จากนั้นจับจูงคนตัวหอมเดินออกจากศาลาสวนดอกไม้ส่วนพระองค์ ตามหลังด้วยขันทีคนสนิทและนางกำนัล ราชองครักษ์
หมิงไป่ลู่เดินด้วยท่าทีกระฉับกระเฉง แฝงไปด้วยความมั่นใจในตัวเอง อีกทั้งยังหัวเราะราวกับสดใสมีความสุขเสียเต็มประดา
‘เจ็บใจนัก ฝ่าบาททรงทำกับหม่อมฉันเช่นนี้ได้อย่างไร ไม่รักหม่อมฉันแล้วหรือเพคะ’
ท่าทีของกุ้ยเฟย ซูเฟย เสียนเฟยและเต๋อเฟย มีความไม่พอใจในตัวของพระสนมคนใหม่เป็นอย่างมาก เหมือนคนที่อยากลองของ ต้องการแย่งผู้เป็นดั่งสุดดวงใจของพวกพระนางไป เช่นนี้แล้ว คงปล่อยให้มีชีวิตอยู่ต่อไปไม่ได้เป็นอันขาด
ทุกพระนางอยากจะกำจัดพระสนมหมิงให้พ้นทาง เพราะดูแล้วสนมคนใหม่คงแรงใช่เล่น
“เจ้าส่งข่าวไปให้ท่านแม่ทัพเจียงที บอกว่าเปิ่นกงอยากพบ” กุ้ยเฟยสั่งความกับนางกำนัลคนสนิท
“เพคะกุ้ยเฟย” นางกำนัลยอบกายลง ก่อนจะออกจากศาลาไป เพื่อทำงานตามที่ได้รับมอบหมายมา
“ดูท่าแล้ว พระสนมคนใหม่คงมั่นใจว่าเป็นคนโปรดของฮ่องเต้กระมัง ไม่เช่นนั้นฝ่าบาทไม่เสด็จมารับถึงที่แน่” ซูเฟยกล่าวออกมา ทว่า กลับแฝงไปด้วยความอิ่มน้ำ
“มันคงถึงเวลาที่กุ้ยเฟยตกอันดับแล้วกระมัง เอ๊ะ หรือว่าไม่มีอันดับให้ขึ้นกันนะ” เต๋อเฟยกล่าวขึ้นมา ทำให้ซูเฟยยิ้มนิด ๆ แววตาชอบใจ
“หึหึ ข้าเองคงต้องขอลากุ้ยเฟยกลับพระตำหนักเช่นกัน”
ซูเฟยค้อมศีรษะลงเพียงนิดแล้วเยื้องย่างออกจากศาลาเพื่อกลับตำหนักของตน
รวมทั้งเต๋อเฟยและเสียนเฟย ที่ลากุ้ยเฟยกลับพระตำหนัก เพราะหมดเวลาเล่นสนุกแล้ว
“หมิงไป่ลู่ มันช่างกล้าที่จะเป็นปรปักษ์กับข้า เจียงกุ้ยเฟยผู้นี้ ข้าจะให้มันลิ้มรสแห่งความตายให้ดู!” เจียงกุ้ยเฟยทั้งเกลียดชังและแค้นใจในตัวของพระสนมคนใหม่ยิ่งนัก
ในยามที่รัตติกาลมาเยือน ขันทีคนสนิทของกุ้ยเฟยก็เข้ามาถวายงานตามปกติ เมื่อแต่งองค์หวีพระเกศาให้กับกุ้ยเฟยเสร็จแล้ว ขันทีวัยฉกรรจ์ก็ถอยหลังออกจากห้องไปพร้อมกับปิดประตูอย่างแน่นหนา ช่วงสามสี่ราตรีกาลมานี้ ตนและนางกำนัลไม่ได้รับคำสั่งให้เข้ามานอนในห้องนอนอีกแล้ว แม้ไม่อยากจะทำ แต่เป็นคำสั่ง ตนเป็นเพียงขันทีจะกล้าขัดได้อย่างไร จำต้องทำตามที่พระนางต้องการอยู่แล้ว
“ท่านไม่คิดเหลียวแลข้าเลย ไม่มาหาข้า ไม่นำพาความสุขมาให้ข้า และไม่คิดมาร่วมสังวาสกับข้าแม้เพียงนิด ทำให้ข้าต้องร่วมเสพสังวาสกับบุรุษอื่น ท่านเป็นพระสวามีที่แย่มาก” เจียงกุ้ยเฟยดวงตาคั่งแค้น
“รอถึงวันนั้นก่อนเถิดหนา วันที่บิดาและพี่ชายของข้าทำการสำเร็จ ข้าอยากให้ถึงวันนั้นโดยเร็ว เมื่อข้านั้นยิ่งใหญ่ขึ้นมา ท่านจะต้องคลานเข่ามาหาข้า แต่ข้านี่แหละจะทำให้ท่านรู้ว่าแม้ไม่มีท่าน ข้าก็มีบุรุษมามอบความสุขให้ ทุก ๆ ราตรี เหล่าบุรุษทั้งหลายสามารถทำหน้าที่แทนท่านได้อย่างดีเลิศ ข้านั้นมีความสุขยิ่ง” เจียงกุ้ยเฟยรำพัน มือเรียวสวยกอบกุมหน้าอกที่มีดอกปทุมถันอวบใหญ่ซุกซ่อนอยู่ พระนางก็ขยำแรง ๆ
“อาส์ ซี้ดด ข้าหิวแท่งหยกของท่าน ฮ่องเต้เพคะ ถ้าทุกค่ำคืน บุรุษที่มาเป็นท่าน เหมือนยามแรกเข้าห้องหอข้าคงมีความสุขยิ่งกว่านี้ ข้านั้นอยากกินมังกรทองของท่านนัก” กุ้ยเฟยคร่ำครวญถึงวันวาน
ทันใดนั้นเงาร่างสูงใหญ่ก็เคลื่อนเข้ามาทางหน้าต่าง ก่อนที่จะดึงตัวของ สตรีวังหลังไปประกบจูบดูดดื่ม
เจียงกุ้ยเฟยเองก็จำจูบและกลิ่นกายบุรุษผู้นี้ได้ ว่าเป็นผู้ที่นำความสุขมาให้กับพระนาง และคืนนี้ไม่ได้มีแค่คนเดียว แต่กลับมีถึงสามคน ดวงตาคู่งามของกุ้ยเฟยเปล่งแสงออกมาด้วยความพึงพอใจ
จากที่เคยดิ้นรนขัดขืน ก็กลับกลายเป็นอ่อนระทวย แอ่นอกอวบอัดให้กับฝ่ามือใหญ่คลึงเค้น พร้อมกับครางอย่างเสียวซ่าน เมื่อถูกบุรุษปริศนาโอ้โลม
“อาส์ ข้าเสียวนัก” พระนางครวญครางอย่างสุขสมในใจ เมื่อเหล่าบุรุษต่างโอ้โลมจนเสียวซ่าน ริมฝีปากอีกดูดดมซอกคองามของหญิงสูงศักดิ์อย่างหื่นกระหาย ลิ้นดูดเลียอย่างคนหิวโหยต่อกามอารมณ์ มือใหญ่ขยี้ขยำอกอวบของกุ้ยเฟยอย่างรุนแรง แต่กลับสร้างความพึงพอใจให้แก่พระนางยิ่งนัก จนต้องแอ่นอก เด้งความโหนกนูนเข้าบดเบียดกับแท่งลำร้อนนั้น อย่างสุดจะฝืนอีกต่อไป
ร่างสูงใหญ่ของบุรุษปริศนาอีกคนนั่งลงกับพื้น เลิกชุดนอนตัวในที่บางเบานั้นขึ้น ก่อนที่จะฝังจมูกลงที่ความโหนกนูนของกุ้ยเฟยคนงาม
“อาห์ ซี้ด เจ้าช่างเก่งเหลือเกิน ข้าเสียว” กุ้ยเฟยครางลั่นตำหนัก เหล่าขันทีและนางกำนัลสะดุ้งเมื่อได้ยินเสียงครางเสียวของผู้เป็นนาย พวกตนนั้นได้ยินแบบนี้เป็นหนที่สองแล้วแม้จะตกใจ แต่นั่นเป็นเรื่องของพระนางหาเกี่ยวข้องกับพวกตนไม่ !
ความกำหนัดที่มีต่อแท่งรัก ทำให้เจียงกุ้ยเฟยหลงลืมไปว่า ตนนั้นลืมที่จะปิดหน้าต่างเสียแล้ว !
“อ๊าส์ ซี้ดด เอาแท่งหยกของเจ้าเข้ามาที่ข้าเถิด ข้าเสียวข้าทนไม่ไหวแล้ว” สตรีวังหลังครวญครางอย่างหนัก ยามชิวหาและเล็มกลีบงาม พระนางแอ่นเด้ง พร้อมส่ายเนินสวรรค์รัวเร็ว ใบหน้างามแดงระเรื่อ เมื่อถูกร่องรอยพิศวาสแต่งแต้ม ยั่วยวนให้ชายหนุ่มต่างหลงใหล
อนิจจา กุ้ยเฟยผู้สูงศักดิ์กลายเป็นสตรีผู้ร่านในราคะ หมดสิ้นความสง่าราศรีและไร้ค่ายิ่งนัก
ในยามรัตติกาลที่มีเพียงแสงจันทร์สาดส่อง พระตำหนักในทั้งห้ามีต่างเสียงครวญครางดังเล็ดลอดออกมา โดยเฉพาะฮองเฮาและกุ้ยเฟย ต่างเร่าร้อนและดุเดือดยิ่งนัก พระนางนั้นหิวอย่างหนัก ร่ำร้องหาแท่งยักษ์ตลอดทั้งคืน จนถึงยามอิ๋น (03.00-04.59) เสียงครวญครางนั้นจึงเงียบไป
บุรุษร่างสูงใหญ่หลายคน ต่างยืนอยู่ที่กิ่งไม้ มองลงไปยังหน้าต่างห้องนอนฮองเฮา กุ้ยเฟย รวมทั้งเหล่าพระชายาทั้งสองนิ่ง ๆ เห็นการเสพสมของพระนางทั้งห้าและบุรุษนับได้เกือบยี่สิบคนได้เป็นอย่างดี ข้างกายของชายสูงใหญ่ มีบุรุษอีกสองคนที่เห็นภาพพวกนั้นด้วย แววตาทั้งสามเปล่งแสงอย่างชอบใจ เมื่อแผนการในครั้งนี้เป็นไปได้ด้วยดี
ส่วนใต้ต้นไม้นั้น มีเหล่าบุรุษขุนนางประมาณยี่สิบคนที่ได้ฟังการร่วมเสพสังวาสของสตรีสูงศักดิ์กับบุรุษปริศนาที่เร่าร้อนชวนมีอารมณ์ยิ่งนัก พวกขุนนางทั้งหลายต่างตกตะลึง ไม่คาดคิดมาก่อนว่า สตรีที่สูงด้วยยศศักดิ์จะทำตัวไร้ค่า ไร้ราคา กล้านอกกายนอกใจฮ่องเต้ได้ถึงเพียงนี้ สงสัยคงไม่อยากจะตายดีกระมัง
ฝั่งหนึ่งของกองทัพ
ท่านแม่ทัพเจียงเหรินได้รับข่าวสารของกุ้ยเฟยก็ตาลุกวาว กุ้ยเฟยผู้น้องสาวมีเรื่องให้ทำ คงต้องรีบจัดการแผนนั้นเสียแล้วสิ !
ฮ่องเต้แคว้นอวี๋นั่งประทับที่ห้องทรงงาน ภายในห้องนั้นมีราชองครักษ์ พระกรมกลาโหม ราชครู เจ้ากรมพิธีการ แม่ทัพประจิม แม่ทัพอุดร และกรมคลังรอง1 และรองเข้ารายงานเหตุการณ์การซุ่มกองพลของผู้ที่คิดคดทรยศต่อบ้านเมือง
พระราชบัลลังก์ทองนี้มีผู้ที่อยากครอบครองในสิ่งที่ไม่ใช่ของตนเสียแล้ว สกุลเจียงของกุ้ยเฟยนั้น เริ่มอยากจะครอบครองแผ่นดินและราชบัลลังก์ของพระองค์
ตอนนี้สกุลเจียงซ่องสุมกองกำลังอย่างลับ ๆ มีกองกำลังเป็นแบบกองโจรอยู่มากโข
ส่วนเสียนเฟย หยูหยางเกอ สกุลหยูนั้นมีคุณต่อแผ่นดินมาหลายชั่วอายุคนแต่กลับคิดกบฏเสียเอง บิดาของหยูหยางเกอหรือหยูเสียนเฟยนั้น เป็นอดีตแม่ทัพใหญ่และได้สิ้นชีพที่สงคราม มีแม่ทัพบูรพา หยูฮ่าวหง หนุนนำน้องสาวจนมีตำแหน่งเสียนเฟย
ความมักใหญ่ใฝ่สูงของสกุลหยูนั้นเพิ่งมาประสบเมื่อรุ่นนี้ ทั้ง ๆ ที่แต่กาลก่อนนั้นบรรพบุรุษได้ร่วมก่อนตั้งบ้านตั้งเมืองมาพร้อมกับตระกูลอวี๋ของพระองค์
เต๋อเฟย เฮ่อไจว๋ชิงนั้นมีบิดาและสกุลเป็นคหบดีใหญ่ในแคว้นอวี๋ มีกิจการมากมายและร่ำรวยที่สุดของแคว้น
ส่วนลี่ซูเฟยหรือลี่เฉิงนั้น ทางตระกูลไม่แสดงท่าทีอันใด ทั้งนี้ทั้งนั้นลี่เฉิงเป็นน้องสาวของลี่ตงผู้เป็นคหบดีใหญ่ และเป็นหลานของแม่ทัพแดนใต้ จึงถือได้ว่ามีอำนาจพอสมควร
การเปิดประตูวังเพื่อให้พวกที่มักใหญ่ใฝ่สูงเข้ามา มันก็เหมือนแมลงเม่าบินเข้ากองไฟเป็นแน่ การวางแผนให้ดี ๆ เพื่อจัดการกับผู้ที่ทรยศมันน่าจะเป็นการดีกว่าที่จะไปจัดการแบบตรง ๆ ที่นำกองกำลังเข้าห้ำหั่นกัน ทำเช่นนี้แล้วมีแต่จะเพิ่มอัตราการสูญเสียมากเท่าทวี
“เจิ้นนั้นมีแนวคิด คือการปิดประตูล้อมวัง ในเมื่อหวังในราชบัลลังก์ของเจิ้น เจิ้นก็จะให้พวกเขาได้นั่งราชบัลลังก์ แต่จัดการให้พวกเขาเข้าประตูวังเป็นเวลาไล่เลี่ยกัน เว่ยเชียง เจ้าเก่งเรื่องมนต์ลวงตา เจ้าจัดการเหล่ากองทัพทุกกองได้เลย ข่าวรั่วข่าวไม่กรองเจ้าจัดไปได้เลยเพื่อให้พวกเขานำทัพมาในวันเดียวกัน”
“พ่ะย่ะค่ะ” เว่ยเชียง รองหัวหน้าราชองครักษ์ รับพระดำริ
“พวกท่านทุกคนนำข่าวกรองแจกไปที่ผู้ทรยศทุกผู้ว่าเจิ้นเหนื่อยไม่อยากยุ่งเกี่ยวกับราชบัลลังก์อีกแล้ว อีกอย่างไม่มีโอรสมังกรสักที จึงไม่อยากนั่งบัลลังก์ทองอีกแล้ว อีกสี่ราตรีจะไปเยี่ยมชมราษฎร จะไม่ว่าราชกิจ ปล่อยให้ฝูงแมงเม่าวนเวียนกับไฟที่สวยงามก่อน แล้วเจิ้นจะให้ไฟที่ร้อนแรงแก่พวกทรยศให้อิ่มหนำกันเลยทีเดียว” ตรัสกับเหล่าขุนนางที่จงรักภักดี