บทที่ 11 โดนทิ้ง
ร้านกาแฟ
ฉันก้าวขาเข้ามายังด้านในร้านกาแฟเล็กๆ ก่อนที่จะทักบอกคนในแชทว่าตอนนี้ฉันได้มาถึงจุดนัดหมายระหว่างเราเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ซึ่งเธอคนนั้นที่เป็นคนนัดให้ฉันมาก็ได้ตอบกลับมาทันทีว่าเธอเองก็มาถึงได้สักพักแล้ว และตอนนี้เธอก็กำลังนั่งรอฉันอยู่ที่โต๊ะ
มือเล็กขยับแว่นสีชาลงเล็กน้อยเพื่อมองให้แน่ใจว่าคนที่ฉันเห็นอยู่นั้นเป็นยัยเอวาจริงๆ และเมื่อดูจนมั่นใจแล้วฉันจึงดันแว่นกลับเข้าไปสวมดังเดิมก่อนที่จะสับขาเดินเข้าไปที่โต๊ะของยัยเอวา
“หวัดดีญดา นั่งก่อนสิ” เธอเอ่ยทักทายฉันอย่างเป็นมิตรพร้อมกับเชิญชวนให้นั่งลงตามมารยาท ฉันก็เลยพยักหน้ารับและยอมนั่งลงบนเก้าอี้ตรงข้ามกับเอวา
“อืม ดี” ฉันตอบกลับเพียงสั้นๆ
ถึงแม้ว่าฉันจะยอมมาเจอตามคำขอของเธอก็จริง แต่ก็ไม่ได้แปลว่าฉันจะต้องไว้ใจคนอย่างเธอหรอกนะ ยัยนี่ภายนอกอาจจะดูใสๆ เหมือนไม่มีอะไร แต่ข้างในใครจะไปรู้ว่าคิดอะไรอยู่ อาจจะวางแผนไม่ดีกับฉันก็เป็นได้
“สั่งอะไรก่อนมั้ย พอดีฉันไม่รู้ว่าเธอจะทานอะไรก็เลยนั่งรอเธอก่อนน่ะ”
“กิน”
“หือ? เธอว่าไงนะ”
“ไม่ต้องใช้คำทางการกับฉันหรอก มีอะไรอยากคุยก็ตรงๆ ได้เลย” ฉันเปล่าหาเรื่อง แต่ที่ฉันยอมมาเจอเอวาก็เพราะแค่อยากรู้ว่าเธอมีเรื่องอะไรจะคุยกับฉันแค่นั้น
“ว้าว เธอนี่เจ๋งจังเลย”
แทนที่จะไม่พอใจที่ถูกฉันเสียมารยาทใส่ แต่คนตรงข้ามกลับฉีกยิ้มกวางก่อนที่จะออกปากชื่นชมฉัน ซึ่งมองตาเปล่าฉันอ่านไม่ออกจริงๆ ว่าสิ่งที่ยัยนี่พูดหล่อนชมจากใจหรือว่าแค่พูดประชด
“เจ๋ง?”
“ใช่ ทีแรกฉันก็เกร็งๆ ไม่กล้าพูดตรงๆ อันที่จริงยังแอบคิดอยู่เลยว่าควรเริ่มยังไงดี เพราะเราเพิ่งเคยเจอกันแบบตัวต่อตัวครั้งแรกนี่เนอะ”
“อือ”
“ฉันก็เลยประหม่านิดหน่อยน่ะ น่าแปลกเพราะหลังจากที่เธอพูดประโยคนั้นฉันก็หายเกร็งทันที”
“เธอเป็นอะไร” ฉันถึงกับงงเป็นไก่ตาแตก เพราะเอวาเอาแต่พูดไม่ยอมหยุดทั้งที่ปกติเวลาเราเจอกันผ่านๆ ฉันก็มักจะเห็นเธอทำตัวเงียบๆ อยู่เสมอ ผิดกับวันนี้โดยสิ้นเชิง
ผู้หญิงคนนี้เดาใจยากเหมือนกันนะเนี่ย
“ฉันไม่ได้เป็นอะไร แต่ที่ขอเจอเธอวันนี้ฉันแค่อยากมาเตือนน่ะ”
“เตือนฉันเหรอ”
“เธอรู้ใช่มั้ยว่าช่วงนี้ที่ล่ามมาตามรังควานเธอเพราะเรื่องอะไร?”
“รู้ เพราะเธอไง”
“ส่วนหนึ่งก็ใช่ แต่อีกส่วนก็เพราะว่าเขาต้องการให้เธอเลิกยุ่งกับพี่เจโรมใช่มั้ยล่ะ”
“ก็ใช่ แล้วไงต่อ”
“ที่ฉันอยากเตือนก็คือ ล่ามเขาไม่ใช่คนที่เธอจะรับมือกับเขาได้ง่ายๆ เขามีอิทธิพล มีเพื่อนอย่างนายอสูรที่ขึ้นชื่อเรื่องความร้ายกาจพอๆ กัน เพราะงั้น…ฉันแค่อยากให้เธออยู่ห่างจากล่าม”
“ฉันไม่เคยอยากอยู่ใกล้คนแบบนั้นอยู่แล้ว”
“แต่ถ้าเธอยังไม่ยอมหยุดเรื่องพี่เจโรม เธอต้องได้ใกล้กับเขามากกว่านี้แน่ๆ”
“เธอคิดว่าฉันกลัวงั้นเหรอ คนเลวๆ อย่างล่ามเอาชนะฉันไม่ได้หรอก”
“เธอมั่นใจแค่ไหน?”
“เต็มร้อย”
“งั้นก็ขอให้เธอทำได้แบบนั้นจริงๆ เพราะไม่อย่างงั้นเธอตกที่นั่งลำบากแน่ญดา ที่ฉันมาบอกก็เพราะว่าหวังดีในฐานะผู้หญิงด้วยกัน”
“….”
“ส่วนเรื่องระหว่างฉัน เธอ และพี่เจโรม ไม่ว่าสุดท้ายเขาจะสนใจใครฉันก็เคารพการตัดสินใจของเขา” ใบหน้าสวยเนียนไม่มีวี่แววของการพูดเท็จปรากฎอยู่เลย ราวกับว่าสิ่งที่เธอเพิ่งพูดออกมามันออกมาจากใจจริงของเธอทั้งหมด
ไม่ว่าฉันพยายามจะจับผิดหรือสังเกตสิ่งแปลกปลอมยังไงก็หาไม่เจอในตัวเอวาเลย ตกลงว่าเธอหวังดีกับฉันที่เป็นคู่แข่งของเธอจริงๆ อย่างงั้นหรอกเหรอ?
จะเชื่อได้แค่ไหนกันนะ
“ฉันก็เหมือนกัน ถ้าคนที่พี่โรมเลือกคือเธอ ฉันก็จะเป็นคนถอยให้เอง”
“เธอมีสิทธิ์มากกว่าฉันเยอะญดา”
“เกมยังไม่จบ อย่าเพิ่งด่วนสรุปสิ”
“ฉันมีเรื่องอยากขอเธออีกอย่าง”
“อะไร”
“ถ้าล่ามมาทำเรื่องไม่ดีกับเธอช่วยบอกฉันได้มั้ย ฉันไม่อยากให้เขาทำร้ายผู้หญิง มันไม่ดีต่อตัวเธอและเขาเลยสักนิด”
สีหน้าและแววตาของเอวาดูกังวลทุกครั้งที่พูดเรื่องของล่าม ไม่บอกก็รู้ว่าเธอคงต้องแคร์ผู้ชายคนนั้นมากแน่ๆ ไม่แปลกใจแล้วว่าทำไมล่ามถึงได้ปกป้องยัยนี่ขนาดนั้น
เขาสองคนต่างคนก็ต่างห่วงใยกันมากนี่เอง
“อืม ถ้าไม่ไหวฉันจะบอกแล้วกัน”
“ขอบคุณนะ ทั้งเรื่องที่มาเจอกันแล้วก็เรื่องล่าม”
ตกลงว่าเอวานี่จะมาดีหรือว่ามาร้ายกับฉันกันแน่ แต่เท่าที่สังเกตมาหลายครั้งทุกครั้งที่ล่ามเข้ามาหาเรื่องฉันเธอก็จะคอยห้ามไว้ตลอด ฉันควรมองเธอใหม่ดีมั้ยนะ
10 นาทีต่อมา
หลังจากที่พูดคุยกับเอวาจบเราก็แยกย้ายกันกลับทันที ฉันจึงพาตัวเองลงมายังโรงจอดรถเพราะว่าวันนี้ขับรถมาเอง อันที่จริงฉันแค่ไม่อยากให้ใครรู้เรื่องที่ฉันแอบมาเจอเอวาวันนี้เพราะขี้เกียจตอบคำถามเพื่อนเฉยๆ หรอกนะ
ครืดดดด ครืดดดด
เบอร์แปลกงั้นเหรอ?
ฉันขมวดคิ้วงงทันทีเมื่อเห็นเบอร์แปลกๆ โทรเข้ามาในเครื่อง แต่ในที่สุดก็ยอมกดรับเพราะเผื่อว่าจะเป็นเบอร์ของลูกค้าที่โทรหาคิรินไม่คิดเลยโทรมาหาฉัน
“ฮัลโหลค่ะ”
[รับช้าจังนะ] น้ำเสียงทุ้มๆ ที่ลอยเข้ามาทำเอาฉันขนลุกซู่แบบไม่ทันได้ตั้งตัว ฟังแค่ประโยคเดียวฉันก็จำได้ขึ้นใจทันทีว่าเจ้าของเบอร์นี้มันเป็นใคร
“นาย…ให้ตาย! ไปเอาเบอร์ฉันมาจากไหน!”
[ก็หาไม่ยากนี่]
“เมื่อไหร่จะเลิกยุ่งกับฉัน แล้วโทรมาไม่ทราบว่ามีใครตายงั้นเหรอ” ฉันกัดฟันพูดอย่างพยายามสะกดอารมณ์ตัวเองซึ่งคนปลายสายก็ตอบกลับมาด้วยประโยคที่กวนๆ ทันที
[ไม่มีใครตาย แต่มีคนกำลังใกล้ตายเพราะกล้ามายุ่งกับเพื่อนฉัน]
“พูดบ้าอะไร”
[เธอมาหาเอวาทำไม ขู่อะไรเธออีกงั้นสิ!!!]
“เหอะ! สมองคิดได้แค่นี้เหรอ คนที่ขอเจอฉันคือยัยนั่นต่างหาก อย่ามาปัญญาอ่อนได้ป่ะ!” ฉันก็สุดจะทนแล้วเหมือนกันกับการที่ล่ามชอบยัดเยียดข้อหาบ้าบอต่างๆ มาให้ฉันเลยเผลอฟิลขาดด่าทอปลายสายไปซะยาว
[ไม่ยอมรับใช่มั้ย รอฉันอยู่ที่นั่น ได้เคลียร์ยาวแน่!]
“แล้วทำไมฉันต้องทำตามคำสั่งนาย นายเป็นจ้าวชีวิตฉันรึไง”
[ถ้าไม่อยู่ ฉันตามถึงห้อง เลือกเอา]
“นี่!!! นายไม่มีสิทธิ์บุกรุกห้องฉันนะ”
[ก็มาเคลียร์กันให้จบ อย่าหนีปัญหาที่ตัวเองเป็นคนก่อไว้!!] ปลายสายว่าจบก็วางไปโดยที่ไม่เปิดโอกาสให้ฉันได้เถียงเขาเลย บ้าที่สุด!!!
เขามันบ้า เกินเยี่ยวยา ไร้สำนึก!
ทั้งที่เพื่อนเขาเป็นฝ่ายอยากเจอฉันเองแท้ๆ แต่สุดท้ายฉันกลับต้องมารับจบเนี่ยนะ โคตรยุติธรรมเลย
เอี๊ยด!
รอเพียงไม่นานรถหรูก็ถูกขับมาจอดเทียบหน้าฟุตบาทในขณะที่ฉันกำลังยืนรอเขามาอย่างหงุดหงิดและหัวเสียสุดๆ ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าตอนนี้หน้าฉันยุ่งเบอร์ไหน แต่ดูเหมือนตัวต้นเหตุอย่างล่ามจะแทบไม่สะทกสะท้านเลยที่ทำให้ฉันต้องตกอยู่ในสถานการณ์แบบนี้
“ขึ้นมา” คนเอาแต่ใจตะโกนเรียกหลังจากลดกระจกรถลงมาครึ่งนึง ก่อนจะปิดมันทันที
ถึงไม่อยากขึ้นแต่ฉันคิดว่าถ้าฉันต้องมาทะเลาะกับหมอนี่ตรงนี้ข่าวคงไม่ออกมาดีเท่าไหร่ จึงเลือกที่จะยอมขึ้นไปบนรถพร้อมกับสีหน้าไม่พอใจเช่นเดิม
“ไม่เชื่อใช่มั้ยว่าเพื่อนนายเป็นคนอยากเจอฉัน งั้นดูนี่!” ฉันว่าจบก็เปิดแชทที่เอวาทักมาขอเจอเมื่อวานนี้ให้ล่ามดูอย่างเต็มตา เขาจะได้เลิกมาโทษฉันสักที
“เธอปลอมขึ้นมาเองรึเปล่า?”
“จะบ้ารึไง ไม่ได้ว่างขนาดนั้นนะ ให้โทรหาเลยมั้ยจะได้จบ!”
“เออ ครั้งนี้ยอมเชื่อก็ได้” ทำไมยอมง่ายจังวะ ฉันถึงกับแอบงงที่บทจะเชื่อล่ามก็ยอมเชื่ออย่างว่าง่าย
“นายไปกินอะไรมา”
“อะไร ก็เธอมีแชทนี่”
“ก็ดี งั้นฉันกลับล่ะ เหม็นขี้หน้า!”
บรื้นนนน
“อ่าว เห้ย!” ยังไม่ทันที่ฉันจะได้ลงไอ้บ้าล่ามมันก็เหยียบคันเร่งขับรถออกมาจากตรงนั้นหน้าตาเฉย แบบนี้มันตั้งใจจะกวนประสาทกันชัดๆ
“เดี๋ยวไปส่ง” เหมือนจะรู้ว่าฉันต้องการคำตอบร่างสูงจึงชิงตอบมาก่อน ฉันไม่ลืมที่จะส่งค้อนให้วงใหญ่พร้อมกับออกปากปฏิเสธ
“ไม่ต้อง!! กลับเองได้”
“แล้ว?”
“ก็จะกลับเองไง ฉันเอารถมา”
“จอดทิ้งไว้นั่นก่อน”
“ล่าม!!!”
“อะไรอีกญดา อย่าเรื่องมากดิ้!”
“นายสิเรื่องมาก อยู่ๆ ก็โทรมาหาเรื่องแถมยังขู่จะบุกถึงห้องอีกถ้าฉันไม่อยู่รอ แล้วนี่ก็ลากฉันออกมาหน้าด้านๆ นายเป็นบ้าไปแล้วรึไง!”
เอี๊ยด!
“ว้าย!” ให้ตาย หัวฉันเกือบกระแทกเข้ากับคอนโซลรถเลยนะเมื่อกี้ เพราะอยู่ๆ ในขณะที่เรากำลังเถียงกันล่ามก็เหยียบเบรกกะทันหันโดยที่ฉันไม่ทันตั้งตัว
“ลง”
“ห้ะ!!”
“ไม่อยากให้ไปส่งก็ลงไป”
“นี่นาย…”
“จะลงมั้ย หรืออยากไป?”
ปึง!!! ปัง!!!
ฉันตัดสินใจเปิดประตูรถก่อนจะปิดไปอย่างเต็มแรงด้วยความหยิ่งทะนง เรื่องอะไรฉันต้องง้อ ในเมื่อล่ามไล่ให้ลงฉันก็จะลง อย่าหวังว่าคนอย่างญดาจะยอมก้มหัวให้!
บรื้นนนน
“ไปตายซะไป!”
ฉันตะโกนไล่หลังคนใจทรามที่ปล่อยฉันทิ้งลงกลางทางอย่างไร้ความปราณี ขาเล็กค่อยๆ ก้าวเดินไปยังเบื้องหน้าอย่างหาทางเลือกไม่ได้ จริงสิ! มือถือล่ะ ฉันมีมือถือนี่นา เมื่อคิดได้ก็เริ่มคลำหาเครื่องมือสื่อสารตามตัว แต่ทว่าโชคกลับไม่เข้าข้างเพราะมือถือกับกระเป๋าของฉันดันอยู่ในรถล่ามทั้งหมด
โคตรซวยเลยญดา!
สายตาฉันเริ่มมองหาคนที่จะมาช่วย ซึ่งนอกจากรถที่สันจรผ่านไปผ่านมาบนถนนใหญ่ แถวนี้ก็แทบไม่มีบ้านคนตั้งอยู่เลย นี่มันก็เริ่มจะเย็นมากแล้วด้วย ถ้าฟ้ามืดเมื่อไหร่ฉันต้องแย่แน่ๆ
เดินได้ไม่เท่าไหร่ขาน้อยๆ ก็เป็นอันต้องหยุดลงก่อนที่ฉันจะทิ้งตัวนั่งยองๆ ลงบนฟุตบาทอย่างหมดหนทาง แถวนี้ไม่มีแท็กซี่เลย จะให้โบกรถไปมั่วๆ ฉันก็ไม่รู้ว่าใครไว้ใจได้บ้าง แถมตอนนี้ฟ้าก็มืดสนิทแล้วด้วย เมื่อเริ่มหาทางออกไม่เจอดวงตาทั้งสองข้างก็เริ่มมีน้ำใสๆ คลออย่างช่วยไม่ได้
ไอ้ล่าม ไอ้คนเลว!!!