บทที่ 12 ความใกล้ชิด
ปรี้น ปรี้น!
ร่างฉันสะดุ้งโหยงเมื่อได้ยินเสียงบีบแตรที่ดังมาจากหน้าถนน แล้วเมื่อหันไปมองก็พบว่าเป็นรถกะบะซิ่งทรงแต่งโหลดต่ำแบบจัดเต็มรวมทั้งมีไฟหลากที่ติดอยู่หน้ารถอย่างเด่นหรา แถมคนที่บังอาจบีบแตรเรียกฉันก็คือพวกวันรุ่นอายุราวๆ สิบแปดสิบแปดสามถึงสี่คนที่นั่งกันอยู่บนรถ
ไม่ต้องให้สาธยายพวกคุณก็น่าจะเดาออกใช่มั้ยว่าสภาพของแต่ละคนมันเป็นยังไง
ให้สามคำ น่า กลัว ฉิบ!!
“เฮ้! คนสวย มีอะไรให้พวกเราช่วยมั้ย?” หนึ่งในแก๊งค์โจ๋ตะโกนถามพร้อมใบหน้าที่แสนไม่น่าไว้ใจอย่างแรง จนฉันถึงกับต้องรีบหยัดตัวบุกขึ้นตั้งท่าจะใส่เกียร์หมา
“อ่าว เงียบทำไม หรือว่าคุยกันแบบนี้ไม่ได้ยิน ให้พวกเราลงไปพูดใกล้ๆ ดีมั้ย?”
“ไม่ต้อง! ฉันไม่มีอะไรให้ใครช่วย แค่มารอเพื่อนน่ะ” เห็นท่าไม่ดีฉันจึงรีบตะโกนตอบพวกมันไปทั้งที่ตอนนี้กลัวจนขนแขนลุกตั้งไปหมดแล้ว ทำไมคนอย่างญดาต้องมาเจออะไรเฮงซวยแบบนี้ด้วยนะ
ทั้งหมดเป็นเพราะล่ามคนเดียว!!
“รอเพื่อนเหรอ ให้รอเป็นเพื่อนรึเปล่า หรือว่าจะติดรถไปลงบ้านเพื่อนก็ได้นะ”
สายตาไอ้พวกนั้นเริ่มส่อแววหื่นกามมากขึ้นทุกที ไอ้ฉันก็หัวเดียวกระเทียมลีบซะด้วย หันซ้ายทีขวาทีแทบไม่มีทางรอดเหลือเลย
“มะ ไม่เป็นไร เพื่อนใกล้ถึงแล้ว เป็นเพื่อนผู้ชายน่ากลัวด้วยนะ พวกนายรีบไปเถอะ”
ฉันว่าจบก็ตั้งท่าเพื่อจะเดินหนีแต่เดินได้เพียงไม่กี่ก้าวก็ชะงักเพราะไอ้ขาโจ๋ทั้งสองมันได้เดินมาดักหน้าฉันอย่างรวดเร็วจะหันหลังกลับเดินไปทางอื่นก็ดันมีพนกมันอีกคนนึงที่ยืนขวางไว้อยู่ แย่แล้วสิ!
วินาทีนั้นความหวาดกลัวเริ่มครอบงำฉันเต็มอัตรา ขาน้อยๆ ค่อยๆ ถอยหลังจนเกือบจะชนไอ้คนนั้น จนฉันหยุดถอย
“อย่าเข้ามานะ พวกแกจะทำอะไร!!”
“เสียงสั่นเชียว กลัวอะไรพวกฉันเหรอ?”
“ถอยไปนะ ฉันจะไปหาเพื่อน”
“คุยกันก่อนสิ มาอยู่อะไรแถวนี้ ไม่รู้รึไงว่าแถวนี้น่ะถิ่นพวกเรา”
“ว่าไงนะ!”
“สวยๆ แบบนี้ ได้คุยกันยาว ฮ่าๆ” ไอ้หัวหน้าแก็งค์มันว่าจบก็ระเบิดเสียงหัวเราะซะน่าสยอง หยาดน้ำใสๆ เริ่มไหลซึมออกมาจากหางตา ไม่ไหวแล้ว ฉันกลัว กลัวจนตัวเนื้อสั่นเทิ้มไปหมดแล้ว!!!
เป็นไงเป็นกัน!
พรึ่บ!
“เห้ย! ตามไป!”
เสียงดุดันตะโกนไล่หลังมาติดๆ หลังจากที่ฉันตัดสินใจที่จะวิ่งหนีพวกป่าเถื่อนนี่ เท้าเล็กออกแรงเร่งฝีเท้าอย่างเต็มกำลัง จังหวะการเต้นของหัวใจเต้นรัวราวกับแทบจะหลุดออกมาจากอก ขอให้พ้นทีเถอะ!
“กรี๊ดดดดด!!! ช่วยด้วย!!!!”
ฉันพยายามตะโกนขอความช่วยเหลือถึงแม้ว่ามันจะริบหรี่มากก็ตาม แต่โชคดันไม่เข้าข้าง เพราะวิ่งอยู่ดีๆ รองเท้าส้นสูงที่ฉันสวมอยู่ก็เกิดไปสะดุดเข้ากับบางอย่างจนฉันเสียผลักล้มตึงส่งผลให้หัวเข่ากระแทกเข้ากับพื้นฟุตบาทอย่างเต็มแรง
“โอ้ย!”
น้ำตาฉันไหลออกมาโดยห้ามไม่ได้ ไม่ไหวแล้ว ฉันทั้งเหนื่อย ทั้งกลัว ทั้งไม่รู้ว่าจะหนีไปทิศทางไหน ไอ้พวกโจ๋ทั้งสามเมื่อเห็นว่าฉันล้มลงพวกมันก็ปรี่เข้ามาหมายจะจับตัวฉัน นาทีนั้นฉันได้แต่หลับตาปี๋เพราะความหวาดกลัวสุดขีด ถ้าถูกพวกมันจับไปไม่รู้ฉันจะต้องเจออะไรบ้าง ไอ้บ้าล่ามจำไว้เลยนะทั้งหมดนี่มันเป็นเพราะนายคนเดียว!!
“ไม่หนีแล้วเหรอ?”
“อย่า…อย่าเข้ามา”
“ฮ่าๆ”
“ไม่นะ!”
ผั๊วะ!
“อั่ก!!”
“เห้ย! ใครวะ!”
ทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วมาก เมื่อลืมตามาดูเหตุการณ์ตรงหน้าอีกครั้ง ฉันก็เห็นว่าไอ้พวกโจ๋นั่นมีคนนึงล้มลงไปกองกับพื้นเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ส่วนอีกสองคนที่เหลือก็จ้องมองไปยังร่างสูงที่เพิ่งปรากฎตัวขึ้นอย่างงงๆ
“พวกมึงทำเหี้ยไรกัน!!!” เสียงคำรามดังก้องจนฉันเองยังแอบสะดุ้ง แววตาดุดันแฝงไปด้วยอารมณ์ที่กำลังเดือดดาลทำให้ตอนนี้ล่ามดูน่ากลัวมากกว่าไอ้พวกเดนมนุษย์นี่เป็นไหนๆ
เขากลับมางั้นเหรอ
“แล้วมึงเป็นใคร เสือกไรด้วยวะ!”
ไอ้คนที่เพิ่งลุกขึ้นมายืนตะโกนถามล่ามพลางสาวเท้าเข้าใกล้ร่างสูงราวกับต้องการจะหาเรื่อง แต่ยังไม่ทันที่คนพวกนะ้นจะได้ถึงตัวเขา มือหนาก็ควักปืนที่แหนบอยู่ที่เอวด้านหลังขึ้นมาจ่อไปที่หน้ามันทั้งสามจนมันพากันชะงักด้วยสีหน้าตื่นๆ
“มึงเข้ามา!!”
เสียงเหี้ยมพูดรอดไรฟันพร้อมกับลั่นไกปืนตั้งท่าที่จะยิงพวกนั้นจริงๆ ฉันเห็นท่าไม่ดีจึงรีบตั้งสติก่อนจะลุกขึ้นและวิ่งไปห้ามล่ามเอาไว้ ขืนทำอะไรบุ่มบ่ามในที่สาธารณะแบบนี้เขาต้องแย่แน่ ฉันไม่อยากซวยไปด้วยหรอกนะ!!!
“ล่ามอย่า!” มือเล็กแตะไปที่ลำแขนข้างที่ล่ามใช้ถือปืนไว้อย่างกล้าๆ กลัวๆ แต่ล่ามกลับทำเพียงตวัดสายตาคมมามองฉันแว๊บเดียว ก่อนจะหันไปจ้องสามคนนั้นดังเดิม
“กูบอกให้เข้ามา!” น้ำเสียงดุดันเริ่มตะคอกเสียงดังขึ้น เล่นเอามันทั้งสามตัวสั่นรีบถอยหนีเป็นเป็นพัลวัน
“เอ่อ…คือ ใจเย็นๆ ก่อนนะครับ ค่อยๆ คุยกันก็ได้พี่”
“ใจเย็นเหี้ยไร เมื่อกี้พวกมึงจะทำอะไรยัยนี่!!!”
“คือผม…”
“ตอบช้ากูยิง”
“พะ พวกผมไม่ได้ตั้งใจครับพี่ ปล่อยผมไปเถอะครับ” ไอ้ตัวหัวหน้าแก็งค์รีบพูดเอาตัวรอดพร้อมกับดึงไอ้สองคนที่เหลือมาบังร่างของตัวเองไว้
“ฉันไม่เป็นอะไรแล้ว เรากลับกันนะ” ฉันเปล่าช่วยพวกมันนะ แต่แค่ไม่อยากให้มามีเรื่องกันตรงนี้ต่างหาก
“ไม่ได้!! มึงขอโทษเดี๋ยวนี้” ล่ามสั่งเสียงเข้มพวกมันจึงรีบยกมือขึ้นมาไหว้ขอโทษขอโพยล่ามกันยกใหญ่เชียว
“ขอโทษครับพี่ พวกผมจะไม่ทำแบบนี้อีกแล้ว”
“ไม่ใช่กู ขอโทษยัยนี่!!”
“ครับๆ ผมขอโทษนะพี่สาว พี่สาวอย่าเอาเรื่องพวกเราเลยนะครับ ขอโทษจริงๆ ครับ”
“กราบ”
“ว่าไงนะ!” ชายฉกรรณ์ทั้งสามต่างก็หันไปมองหน้ากันเลิกลั่ก ก็ล่ามเล่นสั่งให้พวกมันกราบฉันเลยนะ ฉันที่เป็นแค่ผู้หญิงตัวเล็กๆ
“จะกราบมั้ย!”
พรึ่บ!
“ขอโทษครับ ขอโทษที่ทำอะไรไม่คิดนะครับพี่สาว พวกผมผิดไปแล้ว” แต่อย่างว่าแหละ คนกลัวตายอ่ะเนอะ เขาบอกให้ทำอะไรก็ทำได้ทั้งนั้น
“ที่หลังก็อย่าไปทำแบบนี้กับผู้หญิงที่ไหนอีกล่ะ เกิดเขาเป็นอะไรไป พวกนายจะต้องรู้สึกผิดกับพ่อแม่เขาไปตลอดชีวิตเลยนะ ทำอะไรกันก็คิดให้มันดีๆ”
ถึงจะไม่อยากยอมให้อภัยขยะสังคมพวกนี้ แต่ตอนนี้ฉันมีทางเลือกไม่มาก ถ้าไม่รีบเคลียร์ให้จบล่ามต้องเผลอฆ่าใครตายแถวนี้แน่นอน ก็ทั้งสีหน้าทั้งแววตาโหดๆ นั่นเหมือนพร้อมจะลั่นไกได้ตลอดอย่างงั้นล่ะ
“ได้ครับพี่ ผมจะไม่ทำอีกครับ เข็ดแล้ว”
“อืม รีบไปกันได้แล้ว”
“ขอบคุณครับ ขอบคุณจริงๆ พี่คนสวย”
“เออ”
“แล้วอย่าให้กูเห็นมึงรังแกผู้หญิงอีกนะ”
“ครับพี่ พวกเราไป”
ไอ้โจ๊ทั้งสามรีบกุลีกุจอวิ่งขึ้นรถกะบะซิ่งแล้วขับออกไปด้วยความไวแสง ทิ้งไว้เพียงแค่ความใจหายที่ยังอยู่ในอกฉันเมื่อกี้มันเกิดอะไรขึ้น ทำไมทุกอย่างมันถึงผ่านไปไวขนาดนี้ ฉันยังตกใจไม่หายเลย
“ยังไม่ขึ้นรถอีก จะรอให้มันมาฉุดอีกรึไง”
“เพราะนายไม่ใช่เหรอที่ทำฉันเกือบแย่ ยังจะมีหน้ามาพูดอีกนะไอ้คนใจร้าย!!” ฉันทนไม่ไหวจึงระเบิดอารมณ์ใส่ล่ามไปซะเลย ก็เพราะเขาจริงๆ ที่ทิ้งฉันไว้แถวนี้จนฉันเกือบโดนฉุดไปแล้ว
“แค่แหย่เล่น ใครจะคิดว่าเธอจะเนื้อหอมถึงขนาดเตะจมูกพวกไอ้เวรนั่น”
“แหย่กับผีสิ ถ้านายมาไม่ทันป่านนี้ฉันโดนปู้ยี้ปู้ยำไปถึงไหนแล้ว อยู่กับนายนี่มันโคตรซวย!!!”
“ก็มาช่วยแล้วนี่ไง ฉันไม่ปล่อยให้ใครหน้าไหนมาทำอะไรเธอหรอกจำไว้!”
“….”
“เพราะคนที่ทำเธอได้ คือฉันแค่คนเดียว” ว่าจบล่ามก็เก็บอาวุธก่อนที่ขายาวๆ จะสาวกลับไปที่รถ
“ไอ้บ้าเอ้ย!” ฉันด่าไล่หลังล่ามแต่ก็มิวายต้องเดินตามเขาไปที่รถอีกจนได้ ขืนอยู่แถวนี้ต่ออีกหน่อยฉันคงเหลือแค่ชื่อแน่ๆ
ปึง!
ใช่ ฉันจงปิดประตูแรงๆ เพื่อประชดคนที่นั่งอยู่ฝั่งคนขับก่อนที่จะกอดออกมองตรงออกไปยังหน้าถนนไม่แม้แต่จะหันไปมองล่าม ฉันโมโห หงุดหงิด แค่หน้าก็ไม่ต้องการเห็น ถ้ามีทางเลือกอื่นคงไม่มากับไอ้บ้านี่แน่
“เป็นไง”
“อะไรเป็นไง?” ถึงปากจะถามแต่สายของฉันก็ยังมองออกไปเบื้องหน้าอย่างต่อเนื่อง เพราะขี้เกียจหันไปคุยกับคนนิสัยเสีย
“แผลที่เข่า”
จริงด้วย ตอนที่วิ่งหนีพวกไอ้บ้านั่นจนล้มฉันมีแผลตรงหัวเข่านี่ เขาสังเกตเห็นด้วยงั้นเหรอ?
“แผลแค่นี้ไม่ตายหรอก รีบออกรถสักที อยากกลับจะแย่”
คนตัวใหญ่ไม่ตอบอะไร เขาถอนหายใจอย่างเอือมๆ ก่อนจะดึงทิชชู่มาแปะที่เข่าให้ฉันโดยที่ฉันไม่ได้เอ่ยปากขอสักคำ
“จะทำอะไรของนาย!”
“ซับเลือดไงยัยบื้อ จะปล่อยให้มันไหลอยู่แบบนั้นรึไง”
“นี่มันตัวฉัน นายยุ่งอะไรด้วย”
“จะแวะคลินิกมั้ย”
“ไม่”
“อวดเก่งเข้าไป”
ฉันไม่ตอบแต่เลือกที่จะเบือนหน้าหนีและไม่คุยกับล่ามอีกจนเขาถอนหายใจแรงๆ หนึ่งทีแล้วจากนั้นก็ขับรถออกมาโดยที่ไม่พูดอะไรอีก เกลียดผู้ชายคนนี้ชะมัด เมื่อไหร่เขาจะไปให้พ้นๆ ชีวิตฉันสักทีจะขอบคุณพนะเจ้าสักล้านครั้ง
5 นาทีต่อมา
ภายในรถถูกปกคลุมไปด้วยความเงียบสงบ ทั้งฉันและล่ามต่างคนต่างนิ่ง ต่างคนต่างมองไปข้างหน้าอย่างไม่วางตาไม่มีใครชวนใครพูดสักแอะ ซึ่งก็ดีแล้วเพราะฉันไม่ได่อยู่ในอารมณ์ที่อยากคุยกับเขา
เอี๊ยด!
อยู่ๆ ล่ามก็เบรกรถก่อนจะเดินลงออกไปจากรถและตรงดิ่งเข้าไปในร้านขายยาที่ตั้งอยู่ข้างทางแถวนี้ สักพักร่างสูงเจ้าของใบหน้าคมคายก็เดินหน้านิ่งกลับมาที่รถ แต่ดันเป็นฝั่งที่ฉันนั่งเนี่ยสิ…
“ยื่นขาออกมา” คนเผด็จการออกคำสั่งหลังจากที่ดึงประตูให้เปิดออกแล้ว แต่ฉันยังคงนั่งกอดอกนิ่งไม่กระดิกตามคำสั่งของเขา
“เยล!”
“จิ้!” ในที่สุดฉันก็ต้องหันไปมองค้อนร่างสูงเพราะเขาจงใจที่จะยั่วโมโหฉันด้วยการเรียกชื่อเล่นจริงๆ ของฉัน
“ได้!”
พรึ่บ!
“นี่!!”
คิ้วทั้งข้างของฉันหมุนเข้ามาชนกันทันทีที่มือหนาถือวิสาสะจับจาของฉันก่อนที่ล่ามจะดึงขาทั้งสองข้างให้หมุนออกไปวางทับไว้บนขาของเขาที่อยู่นอกประตูรถ ส่วนเขาก็นั่งยองๆ โดยใช้เข่าดันพื้นไว้ข้างนึง
“อยู่นิ่งๆ”
“ฉันไม่ทำ”
“จะทำดีๆ หรือต้องบังคับ?”
“ก็ทำเบาๆ แล้วกัน!”
ร่างสูงเอื้อมมือไปหยิบอุปกรณ์ทำแผลที่เขาเพิ่งเดินไปซื้อมาก่อนที่จะคว้าสำลีกับแอลกอฮอล์ออกมาและบรรจงทำแผลที่หัวเข่าฉันอย่างเบามือจนฉันไม่อยากเชื่อสายตาว่าคนเถื่อนๆ อย่างเขาจะมานั่งทำอะไรแบบนี้เป็นด้วย
เหลือเชื่อแบบสุดๆ
“เจ็บมั้ย” เสียงทุ้มเอ่ยถามทั้งที่มือก็ยังวุ่นอยู่กับการทายาให้ฉันอยู่ พอลองมองมุมนี้แล้วเขาก็ดูไม่ได้เลวร้ายขนาดนั้นแตกต่างจากตอนโมโหโดยสิ้นเชิงเลย
ตึกๆ…ตึกๆ
เดี๋ยวนะ! นี่ฉันเผลอใจเต้นเหรอ ใจเต้นให้กัยผู้ชายป่าเถื่อนนิสัยเสียอย่างล่ามเนี่ยนะ พอเลย หยุดเดี๋ยวนี้นะญดา!!
“มะ ไม่เจ็บ…”
“พวกเหี้ยนี่แม่ง อย่าให้เจออีกนะ!”
“ใกล้เสร็จยัง ฉันเมื้อยขา” ฉันรีบตัดบทพร้อมกับทำท่าจะชักขากลับขึ้นมาบนรถแต่มือหนาก็รีบจับไว้อีกครั้ง แถมครั้งนี้ล่ามดันมาจับตรงบริเวรต้นขาของฉันอีกด้วย อีกนิดมันจะขาอ่อนแล้วนะยะ!!
“แป๊บดิ รีบไปไหน”
“อืม”
“แผลลึกเหมือนกันนะ ถ้าไม่หายต้องไปหาหมอรู้มั้ย” ในจังหวะที่พูดจบล่ามก็เงยหน้าขึ้นมามองฉันพอดี ซึ่งทำให้ฉันที่กำลังมองหน้าเขาอยู่จึงเผลอสบตากับใบหน้าหล่อโดยที่ไม่ได้ตั้งใจ ทั้งฉันและร่างสูงต่างก็ชะงักไปทั้งคู่กลายเป็นว่าไม่มีใครหลบตาใครก่อน...
ครืดดดด ครืดดดด
แต่แล้วเสียงสั่นของมือถือที่อยู่ในกระเป๋าก็เรียกสติของเราทั้งสองคนให้กลับมาอีกครั้ง ฉันจึงรีบคว้กมันขึ้นมาดูชื่อคนที่โทรเข้ามา ปรากฎว่าเขาคือ พี่เจโรม!!!
และดูเหมือนร่างสูงจะแอบเห็นชื่อของพี่เจโรมล่ามจึงรีบเก็บอุปกรณ์ก่อนที่จะเดินมาขึ้นรถด้วยสีหน้านิ่งๆ