บทที่ 10 ฉันอยากเจอเธอ
“แกถ่ายไหวรึเปล่า?” เสียงของคิรินดังแทรกความคิดขึ้นมาในขณะที่เราสองคนกำลังยืนรอลิฟต์กันอยู่ที่ใต้โรงแรมวันนี้ฉันมีนัดถ่ายแบบให้กับทางบริษัทพ่อพี่เจโรมและล่าม
คิดแล้วก็ยังเจ็บใจไม่หาย วันก่อนหลังจากที่ฉันสลบไปเพราะเห็นไอ้บ้านั่นยิงคนต่อหน้าต่อตา ฉันกลัวแทบแย่แต่ล่ามกลับมาทิ้งร่างที่ไร้สติของฉันไว้ที่ร็อบบี้หน้าคอนโดก่อนเขาจะกลับไปหน้าตาเฉย ถ้าไม่มีคนมาปลุกป่านนี้ฉันแย่ไปแล้ว!!
นิสัยเสียเป็นบ้าเลยผู้ชายอะไร!
“เยล! ได้ยินที่ถามมั้ย”
“อ่อ ได้ยินสิ ฉันถ่ายไหวอยู่แล้ว” ฉันปัดความคิดเรื่องไม่เป็นเรื่องออกไปจากหัวและหันมาสนใจคิรินแทน ซึ่งคิรินกำลังมองหน้าฉันอย่างเป็นห่วงอยู่อย่างเห็นได้ชัด
“แน่นะ?”
“แน่สิแก”
“แล้วเมื่อกี้เหม่ออะไร”
“เปล่า ฉันก็คิดเรื่องงานอยู่นี่แหละ”
“งั้นเหรอ”
“เอ่อ…”
ติ๊ง!
เสียงเตือนของลิฟต์ดังขึ้นได้ถูกจังหวะพอดี ฉันจึงอาศัยจังหวะนี้รีบเดินนำหน้าคิรินเข้ามายังด้านในตัวลิฟต์โดยมีเพื่อนสาวเป็นคนเดินตามหลังมาติดๆ แต่ในขณะที่ประตูลิฟต์กำลังจะปิดลงอยู่ๆ ก็มีมือหนาของใครบางคนมากลั้นลิฟต์ไว้จนประตูเปิดออกอีกครั้ง
เมื่อฉันเงยหน้าขึ้นมามองไปยังหน้าลิฟต์ก็ถึงกับต้องขมวดคิ้วชนกันยุ่งเพราะร่างสูงที่ยืนหน้ามึนอยู่ตรงหน้าลิฟต์เขาคือล่ามนั่นเอง ล่ามไม่ได้มาคนเดียวแต่มีพี่เจโรมมาด้วยอีกคน
“ญดา…”
“เขามาเถอะ” ฉันบอกกับพี่เจโรมซึ่งเขาก็เดินนำหน้าล่ามเข้ามา แถมยังยืนข้างฉันอีกต่างหาก ล่ามที่เห็นภาพนั้นจึงรีบเดินเข้ามาแทรกฉันกับพี่เจโรมทันทีจนพี่ชายเขาชักสีหน้าใส่ล่ามอย่างไม่สบอารมณ์
“อะไรของมึงล่าม!”
“ก็อยากยืนตรงนี้อ่ะเฮีย” ร่างสูงตอบพี่เจโรมด้วยสีหน้ามึนๆ
“ช่วยขยับห่างออกมานิดนึงด้วย เดี๋ยวเพื่อนฉันจะอึดอัด” คิรินที่เห็นท่าไม่ดีรีบออกปากเตือนล่ามที่ยืนมึนอยู่ข้างฉันเขาแทบจะเบียดจนฉันจะติดกับผนังลิฟต์อยู่แล้ว
“อึดอัดเหรอ?” เสียงทุ้มกระซิบถามเบาๆ จนฉันรีบเบือนหน้าไปมองแต่ก็ต้องตกใจเพราะระยะห่างของใบหน้าเราสองคนมันมีอยู่เพียงแค่น้อยนิด
จะเอาหน้ามาใกล้ทำไมก็ไม่รู้ตานี่!!
พรึ่บ!
แต่ฉันเลือกที่จะไม่ตอบและรีบเปลี่ยนตำแหน่งยืนเป็นเดินมายืนข้างหน้ากับยัยคิรินแทน หลังจากนั้นตัวลิฟต์ก็ค่อยๆปิดลงแล้วเลื่อนขึ้นทีละชั้น บรรยากาศชวนอึดอัดชะมัด ฉันไม่กล้าแม้แต่จะหันไปคุยกับคิรินเลย ร่างสูงที่ยืนเงียบๆ อยู่ด้านหลังก็ไม่มีใครปริปากพูดสักคำจนลิฟต์เปิดออกเมื่อมาถึงชั้นที่ฉันต้องมาทำงาน
ที่แย่ก็คือวันนี้ล่ามต้องมาดูงานด้วย คนนิสัยเสียแบบนั้นจะมาแกล้งอะไรฉันอีกก็ไม่รู้
1 ชั่วโมงต่อมา
หลังจากที่ฉันแต่งหน้าแต่งตัวเสร็จสรรพคิรินก็พามารอที่หน้าเซ็ต ซึ่งทุกคนก็ได้จัดแจงพร็อบและไฟกันเรียบร้อยแล้วส่วนล่ามกับพี่เจโรมสองคนนั้นกำลังนั่งดูงานกันอยู่กันที่หลังกล้อง
“พร้อมมั้ยครับคุณญดา”
“พร้อมค่ะ”
“โอเคครับ งั้นเริ่มถ่ายกันเลย”
“ค่ะ” ฉันพยักหน้ารับพี่ตากล้องจบก็ตั้งท่าโพสต์ทันทีและหลังจากนั้นการถ่ายแบบก็เริ่มดำเนินขึ้นโดยมีล่ามกับพี่เจโรมเป็นคนดูรายเอียดงานทั้งหมด
แชะ! แชะ!
“หยุดก่อน” เสียงเข้มดังขัดจังหวะทั้งที่ฉันกับพี่ตากล้องกำลังถ่ายกันอย่างราบรื่น
“มีอะไรรึเปล่าครับคุณล่าม?”
“ผมว่าหน้านางแบบเริ่มจืดแล้วนะ เติมหน้าหน่อยสิ”
“แต่นี่เราเพิ่งจะเริ่มถ่ายไม่ถึงสิบนาทีเลยนะครับ”
“เติมครับ” คนเอาแต่ใจบอกย้ำอีกครั้งจนช่างแต่งหน้าต้องรีบพากันมาเติมหน้าเติมปากให้ฉันตามคำสั่งล่าม
“เรียบร้อยแล้วค่ะ เชิญถ่ายต่อได้เลย” พี่ช่างแต่งหน้าว่าจบก็วิ่งออกไป แต่ฉันยังไม่ได้พูดอะไรแล้วต่อจากนั้นก็ตั้งใจโพสต์ท่าต่อ
10 นาทีต่อมา
แชะ! แชะ!
“สวยครับ”
แชะ! แชะ!
“พี่คะ ขอพักดื่มน้ำแป๊บนึงได้มั้ยคะ”
“ได้ครับๆ พักเลย”
“ไม่ได้ครับ เพิ่งถ่ายไม่เท่าไหร่จะพักแล้วเหรอ ทำงานให้มันคุ้มกับค่าจ้างหน่อยสิ” และอน่นอนว่าเจ้าของประโยคกวนๆ แบบนี้จะเป็นใครไปไม่ได้นอกจากล่าม!!!
“นี่นาย…”
“ไอ้ล่าม ให้ญดาไปพัก”
“แต่เฮีย!”
“พักก่อนเถอะญดา”
“ค่ะ”
ฉันหันไปมองค้อนตัวปัญหาก่อนจะจ้ำอ้าวเดินมานั่งดื่มน้ำที่เก้าอี้ผ้าสำหรับนั่งพัก ยัยคิรินที่เห็นเหตุการณ์ทุกอย่างจึงรีบเข้ามาถามอาการ
“เป็นไงบ้าง ไหวมั้ย?”
“ฉันเกลียดไอ้บ้านั่นชะมัด! ไม่รู้จะโผล่มาทำไม ดูก็รู้ว่าเขาตั้งใจแกล้งฉัน”
“ฉันรู้ แล้วแกโอเครึเปล่า หรือว่าอยากกลับ?”
“ถ้ากลับฉันก็แพ้น่ะสิ”
“ยัยเยล!”
“ฉันถ่ายไหว ไหนๆ ก็รับเงินเขามาแล้วนี่ ก็ต้องทนทำต่อให้มันจบไป”
“ถ้าแกถ่ายได้ก็ดี แต่ไหวแน่ใช่มั้ย”
“อื้ม พี่โรมก็อยู่เขาคงไม่ปล่อยให้นายนั่นมาวุ่นวายกับฉันหรอก”
“ก็เพราะเขา แกถึงได้โดนล่ามตามเล่นงานอยู่แบบนี้” คิรินว่าด้วยสีหน้าที่ไม่สู้ดีนัก ดูเหมือนตอนนี้เพื่อนฉันกำลังหัวเสียแฮะ
“ทำไงได้ ล่ามไม่รู้จักปล่อยวางเอง จะโทษพี่โรมได้ไงแก”
“แกก็ดีแต่เข้าข้างหมอนั่น”
“ยัยคิริน…”
สวดฉันจบยัยเพื่อนใจร้อนก็จ้ำอ้าวออกไปทางห้องน้ำทันที จึงเหลือแค่ฉันก็นั่งอยู่คนเดียว แล้วเมื่อมองไปยังที่นั่งของสองพี่น้องฉันก็เห็นมีแค่ล่ามนั่งอยู่คนเดียวเช่นกัน แถมนั่งหันหน้าทาทางนี้อีกต่างหาก สะบัดหน้าหนีสิรออะไร ไม่อยากเห็นหน้า
อีกด้าน
ร่างบางที่ถึงกับชะงักขาที่กำลังสับเดินอยู่เมื่อเห็นร่างสูงของใครบางคนได้เดินสวนออกมาจากทางไปห้องน้ำ
เขาคือเจโรม ผู้ชายคนที่เพื่อนสนิทของคิรินมีใจให้!
แต่ดูยังไงผู้ชายแบบนี้ก็ไม่เหมาะกับญดาเลยสักนิด เธอคิด!
“โทษที” ไวกว่าความคิด ปากเล็กรีบเรียกคนตัวสูงไว้ก่อนที่เจโรมจะเดินผ่านเธอไป
ร่างหนาหยุดก้าวขายาวๆ ก่อนจะเหลือบสายตาคมดุจใบมีดสีเทาเข้มมายังร่างบางอย่างนิ่งๆ ไม่แสดงอาการใดๆ
“อะไร” เจโรมเอ่ยถามเพียงสั้นๆ ห้วนๆ อย่างไม่ค่อยเต็มใจนัก แต่คิรินก็ไม่ได้ใส่ใจท่าทางหยิ่งๆ นั่นเช่นกัน เธอทำแค่จ้องหน้าหล่อก่อนจะว่าขึ้น
“ช่วยบอกน้องชายคุณให้เลิกตามมาวุ่นวายกับเพื่อนฉันสักที มันน่าหงุดหงิด” คิรินตรงเข้าประเด็นตามนิสัยตรงๆ ของเธอ ทำเอาร่างสูงแปลกใจเล็กน้อยที่เธอกล้ามาพูดแบบนี้กับเขาซึ่งๆ หน้า
“ว่าไงนะ?”
“ก็นายล่ามไง รู้มั้ยทุกวันนี้น้องชายคุณตามติดชีวิตเพื่อนฉันยิ่งกว่าเจ้ากรรมนายเวรซะอีก”
“ไม่เห็นญดาบอก”
“ต้องรอให้บอกก่อนเหรอ คุณควรสนใจเยลให้มากกว่านี้จะได้รู้ว่าตอนนี้เยลกำลังแย่ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องข่าว หรือเรื่องล่าม!!”
“แต่ฉันบอกมันแล้วว่าให้อยู่ห่างจากเยล แล้วช่วงนี้ก็ไม่เห็นมันมายุ่งกับเยลแล้ว”
“เหอะ! คนอย่างนายไม่เหมาะกับเพื่อนฉันจริงๆ ถ้าดูแลเยลไม่ได้ ก็รีบไปแต่งงานกับเอวาเถอะไป!”
พรึ่บ!
“นี่เธอ!” เจโรมกระชากแขนเล็กอย่างลืมตัวเมื่อคิรินเอาแต่ต่อว่าเขาฉอดๆ ไม่เว้นช่องว่างให้เขาได้พูดเลย
“ทำไม รับไม่ได้เหรอ ผู้ชายโลเลจับปลาสองมือ ระวังเถอะอีกหน่อยจะไม่เหลือใคร”
“เธอมัน…”
ในจังหวะที่เจโรมกำลังจะตอกคิรินกลับแต่ก็บังเอิญว่ามีทีมงานกลุ่มนึงกำลังเดินตรงมาทางนี้เข้าพอดี เขาจึงรีบปล่อยแขนเธอก่อนจะถอนหายใจแรงๆ และเดินหนีไปอย่างหัวเสีย
“นิสัยเสียไม่ต่างจากน้องชายเลยนะ!” เสียงหวานบ่นอุบอิบตามหลังเจโรมไปพร้อมกับลูบไปที่ต้นแขนเบาๆ อย่างไม่พอใจ มือหนักเป็นบ้า!
“เอาล่ะครับ เรียบร้อยแล้ว เลิกกองได้ครับทุกคน”
สิ้นเสียงของพี่ตากล้องทีมงานทุกคนก็พากันแยกย้ายเก็บข้าวของทำหน้าที่ของแต่ละคน ส่วนฉันที่เพิ่งเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จก็เดินมาหาคิรินหน้าห้องแต่งตัว ยัยนี่เป็นอะไรไม่รู้ เห็นหน้าตาไม่ค่อยดีตั้งแต่ช่วงพักเบรกแรกแล้ว
“กลับกันเลยมั้ย?”
“หมอนั่นไม่ไปส่งเหรอ?” คิรินคงหมายถึงพี่เจโรมแน่ๆ
“เขาบอกว่ามีธุระน่ะ”
“เลิกสนใจคนแบบนั้นเถอะ นอกจากหน้าตากับฐานะฉันไม่เห็นว่าจะมีอะไรดี”
“คิริน!”
ร่างบางกลอกตาเซ็งก่อนจะเดินนำฉันออกไป ซึ่งฉันก็เดินตามหลังคิรินไปอย่างว่าง่าย จนมาถึงบนรถ ช่วงนี้ฉันไม่ค่อยได้ขับรถเองเท่าไหร่เพราะส่วนมากจะไปไหนมาไหนกับคิรินมากกว่า
เมื่อมาถึงยานพาหนะเราสองสาวก็ขึ้นไปนั่งโดยมีคิรินเป็นคนขับเพราะนี่รถของนาง แต่ในจังหวะที่คิรินกำลังจะสตาร์ทรถอยู่ๆ ก็มีเสียงไลน์ดังขึ้นฉันจึงหยิบมือถือขึ้นมาอ่านแชท
‘มาเจอกันหน่อยได้มั้ย ฉันมีเรื่องอยากคุยกับเธอ’
“ใครเหรอแก?” คิรินออกปากถามเมื่อเห็นว่าฉันนั่งนิ่งไปสักพักนึงหลังจากเห็นข้อความนี้
“เอวา...”