“อื้ห์ม!!!”
แล้วจุมพิตอันร้อนแรงก็เริ่มขึ้น เมื่อร่างใหญ่ทับอีกร่างไว้จนไร้หนทางดิ้นรนหนี
“ปล่อย!!! ฉันเจ็บ!!! บอกให้ปล่อย!!!”
กัณหาทั้งดิ้นหนี ทั้งร้องเพราะความเจ็บ เล็บก็จิกข่วนและฟาดฟันเพื่อต่อสู้ เมื่อเขาทั้งจูบ ทั้งขบ ทั้งเม้ม หรือแม้กระทั่งกัดไปจนแทบจะทุกสัดส่วนของร่างกายก็ว่าได้
อกอวบที่เคยถูกเขาลูบคลำ บัดนี้อยู่ในอุ้งมือที่เขาเจตนาจะบีบให้เจ้าของเจ็บปวด แล้วดูดดื่มอย่างแรงจนได้ริ้วรอยประทับกับผิวขาว ๆ ไปด้วย
“โอ๊ย!!! หยุดนะ!!! ฉันเจ็บ!!! บอกให้หยุด!!!”
บทรักอันป่าเถื่อนและรุนแรงที่ไม่เคยพานพบมาก่อน บรรเลงขึ้นเปรียบประหนึ่งเป็นคนละคน จนเจ้าของร่างที่กำลังรองรับอารมณ์ดิบของเขาต้องกัดฟันอดทนสู้ เพื่อให้วินาทีอันโหดร้ายผ่านพ้นไปโดยเร็ว
แต่มันไม่เป็นอย่างที่คิดไว้เลย เพราะเรี่ยวแรงอันมหาศาลของเขานั้นดูเหมือนจะไม่มีวันหมด ยังคงครอบครองเรือนกายขาวอย่างหื่นกระหายและร่ายรำไฟตัณหาอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย
หรือถ้าไฟดับมอดลง เขาก็เพียงแค่พักไม่นาน แล้วไฟสวาสก็ลุกโชติช่วงชัชวาลย์ขึ้นมาอีก เจ้าของสองแก้มที่ยังคงมีน้ำตาอาบลงไปเป็นทาง ก็จำยอมพลีกายให้เขาใช้เป็นที่ระบายความโกรธแค้น ความเกลียดชังอีกครั้ง
อีกครั้งและอีกครั้ง จนหมดซึ่งเรี่ยวแรง แล้วนอนขดตัวร้องไห้ตัวอยู่ใต้ผ้าห่มเกือบตลอดคืน ผล็อยหลับไปตอนใกล้ฟ้าสาง เพราะความเหนื่อยอ่อนนั่นเอง
“คงยังไม่ตื่นล่ะมั้ง เมื่อคืนแอดวานซ์ให้ผมหนักไปหน่อย เพิ่งจะได้หลับก็ตอนฟ้าใกล้เปิดนี่ล่ะ ถ้าไม่รีบร้อนอะไร ก็เชิญนั่งกินมื้อเช้าด้วยกันก่อนสิ เดี๋ยวจะสั่งเด็กไปตามให้ แต่คงต้องใช้ถึงสองคนละมั้ง จะได้ช่วยกันหิ้วปีกออกมา เพราะคงไม่มีแม้แต่แรงจะเดินหรอกมั้ง กลับไปพวกคุณก็อย่าลืมช่วยหยอดน้ำข้าวต้มให้ด้วยล่ะ เดี๋ยวจะตายก่อนผมใช้งานครบสองปี ผมยกเลิกข้อเสนอจริง ๆ ด้วยนะ โทษฐานที่พวกคุณไม่ดูแลของแลกเปลี่ยน”
ชาครีย์ให้คำตอบ พร้อมกับยิ้มเย้ยหยันคนทั้งสามที่มาตามเวลานัด แต่กลับไม่เห็นแม้แต่เงาคุณหนูมิวเดินมาหา
กรองแก้วเองก็ส่งยิ้มสาสมใจให้คู่อริ แม้จะไม่ได้ล่วงรู้เป็นที่แน่ชัดว่าลูกชายแผงฤทธิ์อะไรกับนางบำเรอไว้เมื่อคืนนี้
แต่วัดจากเสียงเอะอะโวยวายที่ดังกว่าค่ำคืนไหน ๆ แล้ว ก็เดาได้ไม่ยากว่าคงจะหนักเอาการ
“คงไม่รบกวนหรอก ฉันนั่งรอแถวนี้ก็แล้วกัน ช่วยให้คนไปตามยัยมิวมาเร็ว ๆ ด้วย”
แต่คำว่าเร็วของยุพาพรนั้น ก็กินเวลาเกือบชั่วโมงอยู่ดี ถึงได้เห็นเจียงถือกระเป๋าเดินคู่มากับหลานสาวสายเลือดต่ำ
เสาวรสต้องรีบลุกขึ้นทันทีเมื่อแม่สามีให้สัญญาณสั่ง แล้วตีหน้าเศร้ามองไปหาลูกกำมะลอพร้อมกับโผลเข้าไปกอดประหนึ่งว่ารักปานจะกลืน
“ยัยมิวลูกแม่”
หากคนอยู่ในสภาพบอบช้ำทั้งร่างกายและจิตใจไม่ได้พูดหรือกอดตอบแต่อย่างใด นอกจากยืนนิ่ง ๆ ให้แม่กำมะลอกอดอยู่อย่างนั้น ตามติดด้วยคุณย่ากำมะลอ ที่เล่นละครตบตาสองแม่ลูกคู่อริได้อย่างแนบเนียน
“ยัยมิวหลานย่า!! เป็นยังบ้างลูก!!” คนเป็นหลานก็ยังคงไม่ตอบถ้อยคำใด ๆ นอกจากยืนนิ่งเท่านั้น
“งั้นเรากลับกันเถอะครับคุณแม่ ยัยมิวจะได้รีบไปพักผ่อน”
วิโรจน์ทนเห็นภาพลวงตาของแม่กับเมียไม่ได้จึงรีบตัดบท แล้วเอื้อมมือไปรับกระเป๋าจากเจียงเดินนำไปที่รถ
กัณหาถูกย่ากับแม่กำมะลอประคองเดินตามไป โดยมีชาครีย์กับผู้แม่มองตามแทบไม่วางตา ยุพาพรรู้ดีอจึงเล่นละครตบตาสองแม่ลูกต่อไปเรื่อย ๆ
“ย่าสั่งในครัวทำของโปรดมิวไว้เยอะแยะเลยล่ะ แล้วย่าจะให้แม่เราพาไปช้อปปิ้งให้หนำใจเลยนะลูก ดูสิมาอยู่นี่ไม่เท่าไหร่อผอมลงไปตั้งเยอะแน่ะ”
ครั้นเข้าไปนั่งในรถแล้ว ทุกคนกลับเงียบกริบ ไม่มีใครเอ่ยอะไรออกมาเลยแม้แต่คำเดียว
จนกระทั่งถึงคฤหาสน์หลังใหญ่ ยุพาพรถึงได้สั่งเสียงแข็งใส่หน้าหลานสายเลือดต่ำ
“รอแถวนี้นะ ฉันจะให้คนรถไปส่งบ้าน แล้วอีกสองวันจะไปรับ”
กัณหาใช้ความเงียบเป็นคำตอบ แต่วิโรจน์เห็นท่าทีเหนื่อยอ่อนของลูกแล้ว ก็ให้สงสารขึ้นมาจับใจ จึงรีบเอ่ยทันที
“ผมไปส่งเองก็ได้ครับคุณแม่ นายเพิ่มกำลังล้างรถอีกคันอยู่ คงยังไปตอนนี้ไม่ได้”
แล้วเขาก็รีบควบรถออกทันที โดยไม่สนใจว่าแม่กับเมียจะโต้แย้งอะไรอีก กัณหาเองก็ไม่สนใจเช่นกัน เพราะอยากกลับบ้านให้เร็วที่สุด และอยากจะให้การกลับครั้งนี้เป็นการกลับแบบถาวรด้วยซ้ำ จะได้ไม่ต้องไปอยู่ร่วมกับผู้ชายป่าเถื่อนคนนั้น
แต่ผู้เป็นพ่อกลับเลี้ยวรถเข้าไปจอดในร้านอาหารหรู ระหว่างทางแทน แล้วหันมาบอกลูกด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล ใบหน้าเจือยิ้มน้อย ๆ
“พ่อว่าเรากินอะไรร้านนี้ก่อน แล้วค่อยกลับดีกว่านะนิ่ม พ่อมีเรื่องอยากจะคุยกับนิ่มเยอะแยะเลย”
“แต่นิ่มอยากจะกลับบ้านค่ะ นิ่มไม่มีอะไรจะคุยทั้งนั้น ได้โปรดไปส่งนิ่มเถอะนะคะ หรือถ้าพ่อหิวก็กินคนเดียว นิ่มจะนั่งแท็กซี่ไปเองก็ได้”
ลูกกลับส่งน้ำเสียงสั่นเครือ ใบหน้าเต็มไปด้วยความเศร้าหมอง สองดวงตาเอ่อล้นด้วยหยดน้ำใส ๆ ไม่นานมันก็หลั่งไหลออกมา เมื่อภาพความรุนแรงของเขาลอยมาตอกย้ำให้เจ็บช้ำน้ำใจอีก
และตัวเองเพิ่งจะได้คิดว่าเพราะเหตุนี้เอง พ่อกับย่าถึงยอมควักเงินเป็นล้านเพื่อรักษายาย แทนที่จะให้คุณหนูมิวตัวจริงไปเผชิญกับผู้ชายร้าย ๆ เช่นนั้น
“ก็ได้ ถ้านิ่มยังไม่อยากจะคุย”
วิโรจน์ไม่กล้าขัด เมื่อเห็นน้ำตาของลูก จึงรีบออกรถไปทันที บ้านเงียบเชียบเมื่อไปถึง ร่างอ่อนแรงหิ้วกระเป๋าเดินไปผลักประตูรั้วไม่ได้คล้องกุญแจไว้นั่นแปลว่ามีคนอยู่ด้านใน
“นิ่ม!!!”
และคนคนนั้นก็คือ ชายที่เธอพยายามหลบเลี่ยงมาเป็นเดือนนั่นเอง สองหัวใจรักที่พลัดพรากจากกัน ต่างกระตุกเต้นอย่างรุนแรง ดวงตาทั้งสองคู่ต่างจ้องมองกันและกันแน่นิ่ง กัณหาไม่อาจห้ามน้ำตาแห่งความเสียใจเอาไว้ได้อีกแล้ว