พรึ่บ
ขณะอ่อนแรงและจินตนาการถึงภาพที่ตัวเองต้องตายอย่างทรมาน ร่างก็ถูกจับพลิกให้นอนหงาย ส่งผลให้สติสตังกลับคืนสู่ร่างอีกครั้ง ฉันเปิดเปลือกตาที่ฉ่ำชื้นไปด้วยหยาดน้ำใสขึ้น ทอดมองไปด้านบนก็พบกับเจ้าของร่างสูงใหญ่ของชายคนเดิมที่กำลังคร่อมอยู่เหนือร่าง...
"นาย อึก"
เพราะเขาดูคล้ายจะสงบกว่าก่อนหน้าเล็กน้อย แม้เล็กน้อยแทบสังเกตไม่เห็น แต่ฉันก็ลองเปล่งเสียงเพราะหวังว่าเราจะเจรจากันได้ในวินาทีเป็นวินาทีตายนี้ แต่เค้นออกมาได้แค่นิดเดียว ฝ่ามือหนาที่พอได้มองในระยะเผาขนแล้วพบว่ามีเล็บแหลมคมสีดำทะมึนก็ตะปบลงบนลำคอของฉันอย่างไม่รีรอ "ขอร้อง อึก..."
รู้ว่าร้องขอไปก็เปล่าประโยชน์ แต่เพราะยังอยากมีชีวิตอยู่ต่อ ฉันจึงเปล่งเสียงอีกครั้ง “อย่าฆ่าฉันเลยนะคะ ได้ อึก โปรด...”
“...” ทว่าเขาหาได้สนใจไม่ สาละวนอยู่กับการบีบคอจนร่างกายฉันเริ่มกระตุกเกร็ง สองตาพร่าเบลอจนมองอะไรแทบไม่เห็นแล้ว
หรือว่าฉันกำลังจะตาย...
ต้องตายแบบนี้จริง ๆ เหรอ...
ฉันเป็นแค่เด็กวัย 17 ที่ยังอยากใช้ชีวิตนะ
จะต้องมาจบชีวิตด้วยน้ำมือของใครก็ไม่รู้แบบนี้...มันโหดร้ายเกินไปแล้ว
“สัญญา...” ฉันทุรนทุรายในขณะที่ลิ้นเริ่มจุกปาก “ถ้า อึก...ถ้านายไว้ชีวิต ฉันจะช่วยนาย...ช่วย อึก”
“...” ไม่ได้รู้สึกไปเองว่าเรี่ยวแรงบริเวณลำคอผ่อนลงกว่าตอนแรก หากแต่ยังอยู่ในท่วงท่าเดิมที่ยังชวนหวั่นใจ
ฉันจึงค่อย ๆ ปรือตาขึ้น จ้องมองใบหน้าดุกร้าวที่เปรอะเลอะไปด้วยเลือดชั่วครู่หนึ่ง ก่อนจะสำทับ “นายจะได้เป็นอิสระ”
ถึงแม้ฉันจะหาคำตอบของพละกำลังที่ดูเหนือมนุษย์ รวมถึงเล็บแหลมคมที่รูปทรงคล้ายกรงเล็บสัตว์มากกว่าจะเป็นของคนไม่ได้ แต่มั่นใจว่าเขาคงต้องการอิสระและไปจากที่นี่
ดังนั้นฉันจึงพูดเพื่อให้เขาวางใจ
ตลอดระยะเวลาสองปีที่ฉันรับรู้ถึงความผิดปกติของบ้าน นั่นอาจเป็นเขาที่ถูกกักขังอยู่ในนี้ ถูกล่ามเยี่ยงสัตว์ และคงถูกทรมานทางกายและทางใจมาอย่างหนักหน่วง เพราะฉันสังเกตเห็นแผลเป็นทั่วร่างเขา ทั้งรอยเฆี่ยนตี รอยบุหรี่จี้ รวมถึงรอยกระสุนและรอยบาดของมีด
ยิ่งไปกว่านั้น บริเวณข้อเท้ายังเขียวช้ำ มีรอยไหม้คล้ายถูกเผาด้วยความร้อนเป็นระยะเวลานาน
ถ้าไม่ได้เข้าใจอะไรผิดไป โซ่ที่ล่ามเขาไว้คงมีกระแสไฟฟ้าแรงสูงอัดแน่นอยู่
เพราะถ้าหากเขาสามารถใช้มือเปล่าบี้กะโหลกคนจนยุบได้ โซ่เส้นนี้ก็อาจจะไม่คณา เว้นเสียแต่...
“...ถ้าโกหก” ชายแปลกหน้าคลายมือออกจากลำคอฉันหลังจากแน่นิ่งไปราวครึ่งนาที “เธอตาย”
“คะ...ค่ะ”
เพราะน้ำเสียงที่อีกฝ่ายใช้ขู่ทั้งเย็นเฉียบและน่าสะพรึง ฉันจึงรีบยืนยันทั้งที่ความจริงแล้วไม่มั่นใจด้วยซ้ำว่าจะทำได้อย่างที่พูดหรือเปล่า
ถ้าทำได้ มันก็ดีต่อตัวเขาที่ไม่ต้องทุกข์ทรมานอยู่ในห้องแคบ ๆ นี้อีกต่อไป แต่ก็จะกลายเป็นฉันเองที่ถูกทำโทษสถานหนักเมื่อพ่อกลับมาจากล่าสัตว์ในอีกสามวันให้หลัง
ทว่าหากทำไม่ได้ ผู้ชายปริศนาที่ฉันไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเป็นใครมาจากไหน ซ้ำยังมีพละกำลังมหาศาลจนน่าตกใจ...ก็จะฆ่าฉันทิ้งด้วยวิธีที่โหดร้ายเหมือนอย่างที่เหยื่อผู้เคราะห์ร้ายรายนั้นต้องเผชิญ
พรึ่บ
ขณะกำลังสับสนว่าควรหาทางออกให้กับเรื่องนี้ยังไงดี เจ้าของร่างสูงใหญ่ที่เคยคร่อมทับกันก็ผละตัวออกห่าง เปลี่ยนไปนั่งพิงผนังห้องที่ถึงแม้จะถูกทาด้วยสีขาว แต่อาจเป็นเพราะกาลเวลาจึงทำให้สีของมันในตอนนี้ค่อนไปในทางเหลืองและเต็มไปด้วยคราบกระดำกระด่างของเชื้อรา ซ้ำยังมีรอยกระเซ็นของเลือดกระจายไปทั่วทุกจุด ไม่ต่างจากห้องเชือดในหนังฆาตกรรมที่ฉันเคยดูเลย
เมื่อได้รับอิสรภาพกลับคืนมาแล้ว ฉันค่อย ๆ พยุงร่างกายอันบอบช้ำขึ้นอย่างทุลักทุเล ก่อนจะต้องขนลุกซู่กับสายตาดุกร้าวของเขาคนนั้นที่ต่อให้อยู่ห่างออกไปเกือบสองเอื้อมแขน แต่รังสีฆ่าฟันแทบไม่ได้ต่างไปจากนาทีก่อนเลย นี่ถ้าเปรียบดวงตาเป็นอาวุธสักชิ้น ป่านนี้ฉันคงตายไปแล้วล่ะมั้ง...
“...” เขาไม่พูดอะไร ริมฝีปากเรียบตึง
“นาย...” ทั้งที่กลัวจนมีปัญหากับการเรียบเรียงคำ แต่ก็ยังทำใจดีสู้เสือด้วยการชวนคุย
คิดในแง่ดีว่าที่เขาเข้ามาจู่โจมและพยายามจะฆ่าฉันตั้งแต่แรกพบมีผลมาจากการถูกทารุณกรรมเป็นระยะเวลานาน มันไม่แปลกเลยที่เขาจะระแวงเมื่อต้องเจอใครสักคนหลังจากถูกกักขังเยี่ยงสัตว์ไม่ให้เห็นเดือนเห็นตะวัน
ถ้าเป็นฉัน สภาพจิตใจคงย่ำแย่ อาจจะสติแตก...ไม่ไว้ใจใครหน้าไหนอีก
จริงอยู่ที่เขาน่ากลัวและควรถอยห่างให้ไวที่สุด แต่ถ้ามองลึกลงไปกว่านั้น ที่เป็นแบบนี้เพราะพ่อจับเขามาขังไม่ใช่เหรอ?
โอเค หลายนาทีก่อนฉันเกือบตายเพราะน้ำมือเขา แต่ฉันก็ไม่อาจหลอกตัวเองได้...ว่าสงสารเขาเหมือนกัน
สงสาร...ทั้งที่เห็นว่าเขาเพิ่งฆ่าคนตายต่อหน้าต่อตานี่แหละ
“...” อีกฝ่ายไม่พูด
“งะ งั้นรอแป๊บนะคะ” เพราะสังเกตเห็นอะไรหลาย ๆ อย่างบนตัวเขา ทั้งบาดแผล ทั้งคราบขะมุกขะมอมเกรอะกรัง ฉันจึงลุกขึ้นยืน หมุนตัวเตรียมออกไปจากห้อง แต่ก้าวเท้าจากมาเพียงสามถึงสี่ก้าวเท่านั้น เสียงโซ่เหล็กก็ดังขึ้น...
ครั้นหันกลับไปมองก็พบภาพที่เขากระโจนเข้ามาหมายจะคว้าส่วนใดส่วนหนึ่งของร่างกายฉันแล้วกระชากกลับไปด้านในเหมือนหลายนาทีก่อน ทว่าจุดจบของการกระทำนั้นในครั้งนี้ต่างออกไป
แปล๊บบบบบบ
“อึก...” อยู่ดี ๆ กระแสไฟฟ้าจากโซ่ที่ล่ามข้อเท้าเขาก็ทำงานอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย ความรุนแรงของมันทำให้ผู้ชายที่ตัวสูงราว ๆ ร้อยเก้าสิบชักกระตุกและล้มลงไปนอนกับพื้น
“นาย...!” ฉันเบิกตาโพลง ช็อกจนทำอะไรไม่ถูก อยากยื่นมือเข้าช่วยก็กลัวโดนหางเลข จึงต้องรอเนิ่นนานเป็นนาทีกว่ากระแสไฟฟ้าจะสงบลง
ทว่าแม้ทุกอย่างจะกลับสู่สภาวะปกติแล้ว ฉันก็ยังไม่อาจยื่นปลายนิ้วไปสัมผัสเขาได้ในทันที เพราะจากการสังเกตด้วยตา กระแสไฟฟ้าที่เขาได้รับนั้นรุนแรงมาก มันจะยังคงวนเวียนอยู่ในร่างกายอีกพักใหญ่ หากเอานิ้วไปแตะสุ่มสี่สุ่มห้า ตัวฉันเองก็จะพลอยโดนช็อตไปด้วย
ดังนั้นเพื่อความปลอดภัย ฉันจึงปล่อยให้เวลาดำเนินไปอีกหลายนาที จนแน่ใจว่าไม่เป็นอันตรายแล้ว ถึงยอมก้าวเท้าเข้าไปหาชายเปลือยกายที่นอนแน่นิ่งอยู่บนพื้น เนื้อตัวซีดเผือดของเขาเต็มไปด้วยกลิ่นเผาไหม้ของกระแสไฟฟ้า
มองภาพนั้นเพียงครู่เดียวก็ทิ้งตัวนั่งลงข้าง ๆ เขา ก่อนยื่นปลายนิ้วไปสัมผัสข้อมือด้านซ้ายเพื่อตรวจเช็กชีพจร
จากสิ่งที่เห็นทำให้ฉันแน่ใจว่าเขาคงไม่สามารถทนกับไฟฟ้าแรงสูงขนาดนั้นได้และคงเสียชีวิตอย่างไม่มีทางฟื้นคืน
แสดงว่าที่ผ่านมา ความรุนแรงของกระแสไฟคงไม่มากเท่าครั้งนี้สินะ เขาจึงยังมีชีวิตรอดมาได้
“ทำไมพ่อต้องทำแบบนี้ด้วยนะ” พึมพำอย่างไม่เข้าใจ ขณะเดียวกันก็ปวดแปลบตรงกลางอกที่ต้องมาเห็นคนตายต่อหน้าต่อตาถึงสองคนในระยะเวลาไล่เลี่ยกัน “น่าสงสาร เอ๊ะ”
พรึ่บ!
ถึงกับสะดุ้งแล้วรีบสลัดข้อมือเขาออกเมื่อพบว่าชีพจรที่ควรจะอ่อนแล้วค่อย ๆ ดับลงกลับเต้นระรัวในระดับที่แทบจะเป็นปกติ
คล้ายคนที่เป็นลมเป็นแล้ง หมดสติธรรมดา ๆ เท่านั้น...
ตามหลักแล้ว มันไม่ควรเป็นแบบนี้นะ...
คิดมาถึงตรงนี้ลำคอเกิดแห้งผากจนต้องกลืนน้ำลายอึกใหญ่ ก่อนละสายตาจากร่างอันแน่นิ่งเป็นซากโครงกระดูกมนุษย์ที่กองพะเนินอยู่ฝั่งซ้ายมือ เรื่อยมาถึงศพล่าสุดในสภาพไร้ศีรษะ และหัวกะโหลกที่ถูกบี้แบนด้วยมือเพียงข้างเดียวของเขา
สูดลมหายใจเข้าปอดแล้วค่อย ๆ เคลื่อนสายตากลับมามองผู้ชายปริศนาที่ยังไม่ฟื้นจากการถูกไฟฟ้าช็อต ก่อนเปลี่ยนจุดเพ่งเป็นฝ่ามือทั้งสองข้างของเขา ซึ่งบริเวณเล็บมีลักษณะคล้ายกรงเล็บสัตว์ทว่าเป็นสีดำด้าน ส่วนปลายงุ้มงอเล็กน้อย หากทว่าแหลมคมยิ่งกว่ามีด
ฉันพยายามพิจารณาลักษณะของมันและหาเหตุผลทางด้านวิทยาศาสตร์มาอธิบาย แต่...
“เป็นมันเล็บของเขาจริง ๆ นี่...”
กรงเล็บลักษณะนี้จะงอกออกมาจากปลายนิ้วมือคนได้ยังไง?
เพราะฉันเรียนสายวิทย์ จึงคาดเดาไปว่า...เขาคนนี้อาจมีความผิดปกติของยีนส์ในร่างกาย เหมือนอย่างที่มนุษย์บางคนมีขนปกคลุมทั่วร่างคล้ายลิง หรือไม่ก็คนซึ่งมีนิ้วที่สิบเอ็ดงอกออกมาจากมือ
ไม่มีทางเป็นอย่างอื่นนอกจากนี้ ไม่มีทาง...
หนึ่งชั่วโมงผ่านไป
ฉันคงเสียสติแล้วแน่ ๆ ที่ลงทุนเตรียมผ้าชุบน้ำ เสื้อผ้าของพ่อ กับอุปกรณ์ทำแผลแล้วกลับมาที่ชั้นใต้ดินอีกครั้ง ด้วยความหวังที่ว่าหากเขาฟื้นขึ้นมา บรรยากาศระหว่างเราจะดีขึ้น และเขาอาจยอมเล่าต้นสายปลายเหตุทั้งหมดให้ฟัง
ด้วยเหตุผลบ้า ๆ นั่น ฉันจึงประคองเขาลุกขึ้นนั่งพิงกับกำแพง ใช้ผ้าชุบน้ำเช็ดคราบเลือดและความมอมแมมบนใบหน้าออกอย่างระมัดระวังเพราะยังกลัว ๆ อยู่ ซึ่งใช้เวลานานครันเนื่องจากรอยพวกนี้หมักหมมเป็นระยะเวลานานจนแห้งกรัง บ่งบอกเลยว่าเขาคงไม่เคยผ่านการชำระร่างกายมาก่อน
ก็ตั้งใจว่าเสร็จจากใบหน้าแล้วจะจัดการส่วนอื่นต่อ แต่กลับต้องชะงัก...เมื่อพบว่าใบหน้าที่ไร้คราบเลือด ไร้คราบขะมุกขะมอมของเขานั้น...
...ดูดีจนน่าตกใจ
ความจริงสภาพเขาตอนที่ยังมีคราบเลือดเปรอะเปื้อนแม้จะดูน่าสะพรึงกลัว แต่มีความโดดเด่นของโครงหน้าที่ค่อนข้างสะดุดตา ดังนั้นฉันจึงพอจินตนาการออกว่าใบหน้าภายใต้คราบเกรอะกรังเหล่านี้คงชวนมองไม่น้อย
แต่เอาเข้าจริง ชายปริศนาคนนี้ไปไกลเกินกว่าคำว่าชวนมองหลายเท่าเลยล่ะ...
คิ้วที่กำลังขมวดมุ่นมีทั้งความดกดำและรูปทรงที่รับกับกรอบตาคมเฉี่ยว ไหนจะสันจมูกโด่งรั้นซึ่งทำองศากับหน้าผากพอดิบพอดี ริมฝีปากหยักลึกสีแดงก่ำคล้ายไวน์ ยิ่งมองรวมกับโครงหน้าได้รูปและเรือนผมสีออกเทาขุ่นที่ต่อให้ยุ่งฟูเพราะไม่ได้สระ...แต่ก็ยังทำให้รู้สึกประหลาดใจจนอดทึ่งในความงดงามนี้ไม่ได้
“ดูเหมือนจะยังเด็กอยู่ด้วย” ฉันพึมพำหลังจากพิจารณาใบหน้าฟ้าประทานของเขาเนิ่นนานจนลืมไปว่าตัวเองกลับเข้ามายังชั้นใต้ดินอีกครั้งเพราะอะไร