ตกดึกคืนเดียวกัน
ตึง!!
ตึง ๆ ๆ!!
ท่องไว้ไมอา แค่เสียงหนู...
ฉันที่กำลังนั่งทำการบ้านพยายามไม่สนใจเสียงแปลกประหลาดที่เกิดขึ้นบริเวณชั้นล่าง แม้ว่าเสียงนั่นจะรุนแรงและดูเกรี้ยวกราดชนิดที่ทำให้ความอยากรู้อยากเห็นเริ่มเข้ามามีบทบาทก็ตามที
ตึง ๆ ๆ ๆ!!
“หนูคงจะตัวใหญ่มาก...” ฉันพึมพำกับตัวเองเป็นรอบที่สิบของวันขณะสองตายังไม่ได้ละไปจากสมุดการบ้านวิชาฟิสิกส์ที่ต้องสะสางให้เสร็จก่อนเข้านอน ซึ่งก็ไม่สามารถบอกได้เหมือนกันว่าจะเสร็จสิ้นเมื่อไหร่ ในเมื่อตอนนี้เป็นเวลาตีสามเข้าให้แล้ว...
ด้วยความที่บ้านของฉันตั้งอยู่ท่ามกลางป่าเขาซึ่งอากาศโดยปกติค่อนข้างหนาวเย็นอยู่แล้ว ครั้นบวกกับสายฝนและพายุโหมกระหน่ำยามค่ำคืน จึงทำให้บรรยากาศโดยรวม ณ ขณะนี้เย็นยะเยือกจนน่าขนลุก ยิ่งมาได้ยินเสียงตึงตังจากสิ่งที่มองไม่เห็นดังติดต่อกันแบบนี้ แม้ไม่เชื่อเรื่องผีสางนางไม้ก็อดอกสั่นขวัญแขวนไม่ได้อยู่ดี
ตึง!! ในขณะที่ฉันพยายามกล่อมตัวเองอย่างใจเย็นว่าเสียงนั่นเป็นแค่หนูอย่างที่พ่อเคยบอก ความรุนแรงจากเสียงแปลก ๆ ก็ทวีคูณขึ้นจนคล้ายว่าบ้านทั้งหลังกำลังสั่นสะเทือน
“เป็นเสียงหนูจริงเหรอคะ”
“ข้างล่างรกมาก ไม่แปลกที่จะมีหนูวิ่งเพ่นพ่านกันเป็นว่าเล่น”
“...”
“ไมอา จำคำพ่อเอาไว้ ไม่ว่าแกจะได้ยินเสียงอะไรจากห้องใต้ดิน อย่าสนใจ”
“...”
“และอย่าพยายามที่จะเข้าไปในนั้นเด็ดขาด”
“ค่ะ”
บทสนทนาช่วงสองปีที่แล้วหวนกลับคืนมาอีกครั้งเมื่อเสียงปริศนาซึ่งจนป่านนี้ยังไม่ได้คำตอบที่แท้จริงว่าเป็นอะไรดังขึ้นต่อเนื่องหลายหนจนสมาธิในการทำการบ้านหดหายไปทีละนิด
อันที่จริงแล้ว...ฉันสงสัยเรื่องนี้มาโดยตลอด คำตอบเกี่ยวกับเสียงปริศนาที่พ่อหยิบยื่นให้อย่างขึงขัง ต่อให้พยายามหาเหตุผลมาอธิบายก็ยากจะเชื่อว่าเป็นแค่เสียงของหนูหรือสิ่งมีชีวิตตัวเล็ก ๆ ที่ชอบอาศัยอยู่ในพื้นที่คับแคบและสกปรก
แต่เพราะทุกครั้งที่เราคุยกันเรื่องนี้ พ่อมักมีท่าทีจริงจังและน่ากลัว ฉันจึงยอมอยู่ในโอวาท ไม่ละเมิดกฎที่ท่านตั้งไว้
กฎที่ว่า...ห้ามลงไปที่ชั้นใต้ดินเป็นอันขาด
สองปีมาแล้วที่ฉันทนอยู่กับความสงสัยและทำเป็นไม่สนใจ
สองปีมาแล้วที่รู้สึกว่าบ้านของเราไม่ได้มีเพียงตัวฉันและพ่อ แต่กลับต้องหลอกตัวเองซ้ำ ๆ ว่าไม่มีอะไร แค่เหนื่อยล้าจนคิดไปเองก็เท่านั้น
ตึง!
เปรี้ยง!
ขณะจมอยู่ในภวังค์ความคิด เสียงจากชั้นล่างพลันดังขึ้นอีกครั้ง คราวนี้มาพร้อมเสียงฟ้าผ่าที่ทำให้ฉันสะดุ้งจนปากกาหลุดมือ
ฉันพยายามไม่กะโตกกะตาก ก้มหยิบปากกาด้ามนั้นขึ้นมาวางไว้บนสมุด เรียบร้อยแล้วจึงเคลื่อนสายตาไปยังฝั่งขวามือเพื่อเช็กเวลาจากนาฬิกาบนฝาผนังให้แน่ใจอีกครั้ง
ตึง!
ตีสามเจ็ดนาทีแล้ว
ตึง!!
ฉันสูดลมหายใจเข้าปอดอย่างเชื่องช้า สะกดกลั้นความอยากรู้อยากเห็นที่ท่วมท้นเต็มอกตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้อย่างสุดความสามารถ กระทั่งเสียงดังกล่าวดังขึ้นอีกครั้ง...ฉันก็ไม่อาจนิ่งดูดายได้อีกต่อไป
จังหวะหยัดตัวขึ้นจากเก้าอี้ สมองพลันผุดวาบภาพแผ่นหลังของพ่อที่เดินออกจากบ้านไปขณะที่สายฝนยังคงเทกระหน่ำไม่ขาดสาย ภาพที่ท่านแบกเป้ใบเขื่องและสะพายปืนไว้บริเวณแขนข้างขวา...
พ่อออกเดินทางตั้งแต่สามชั่วโมงก่อนและบอกฉันว่าจะกลับมาในสอง - สามวันให้หลัง ดังนั้นระหว่างนี้...หากฉันแอบทำอะไรไม่เข้าท่าลับหลังท่าน ก็คงไม่เป็นไร...ขอแค่ไปดูให้เห็นกับตาว่าอะไรคือสิ่งที่พ่อพยายามปกปิดไว้...หลังจากนั้นค่อยว่ากัน
ใช้เวลาไปกับการตึกตรองเนิ่นนานราวครึ่งชั่วโมง ในที่สุดฉันก็เดินออกมาจากห้อง โดยก่อนลงไปยังชั้นใต้ดินที่ถูกล็อกไว้อย่างดี ฉันได้เลี้ยวซ้ายไปยังห้องนอนของพ่อ จุดมุ่งหมายคือกุญแจที่ท่านเก็บไว้ใต้ฟูก
ท่านไม่เคยบอกฉันเกี่ยวกับกุญแจดอกนี้ แต่เพราะฉันชอบสังเกตพฤติกรรมแปลก ๆ ของพ่อเป็นประจำ จึงบังเอิญเห็นตอนที่ท่านยัดมันไว้ใต้ฟูกอยู่หนหนึ่ง ค่อนข้างมั่นใจทีเดียวว่าต้องเป็นกุญแจของชั้นใต้ดินที่ท่านหวงนักหวงหนาแน่
ที่ไม่พกมันติดตัวเวลาไปไหนมาไหน ฉันเดาว่าท่านคงกลัวทำมันหล่นหายล่ะมั้ง เหตุผลที่แท้จริงฉันเองก็บอกไม่ได้เหมือนกัน
เอาเป็นว่า...ตอนนี้ฉันได้กุญแจมาแล้ว
"เอาล่ะ..." ฉันกระหยิ่มยิ้มย่องขณะชูกุญแจดอกนั้นขึ้นระดับสายตา ก่อนค่อย ๆ เดินออกมาจากห้องของท่าน แล้วย่ำเท้าลงบนแผ่นไม้ของบันไดทีละขั้น สู่ทางลงชั้นใต้ดินที่ทั้งเล็กและคับแคบ
เชื่อไหม ยิ่งฉันเข้าใกล้จุดหมายมากเท่าไหร่ จมูกยิ่งได้กลิ่นอับชื้นและเหม็นคาวจนรู้สึกพะอืดพะอมมากเท่านั้น
กลิ่นแบบนี้...เลือดไม่ใช่เหรอ?
ทำไมถึงมีกลิ่นเลือดล่ะ...
แม้ลึก ๆ จะประหวั่นพรั่นพรึง หากแต่สองเท้ากลับไม่ยอมหยุดเคลื่อนไหวหรือก้าวถอยหลัง ยังคงมุ่งหน้าไปยังที่มาของกลิ่นคาวด้วยฝีเท้าอันมั่นคง กระทั่งหยุดยืนอยู่หน้าประตูห้องปริศนาได้สำเร็จ
ฉันมองโซ่เส้นหนาที่พ่อคล้องไว้กับประตู ปล่อยให้ความลังเลกัดกินหัวใจได้เพียงชั่วครู่เดียวก็นำกุญแจที่ถือมาจัดการไขเพื่อปลดล็อก จนเมื่อเสียงกริ๊กดังขึ้น...หัวใจที่เต้นอย่างรุนแรงเมื่อครู่นี้ก็ทวีคูณจนแทบกระดอนออกมากองกับเท้า
แอ๊ด...
ฉันใช้ปลายนิ้วดันประตูไม้เก่าคร่ำคร่าโดยที่สองเท้ายังไม่ไหวติงไปจากจุดเดิม แรงผลักดันอันน้อยนิดส่งผลให้ประตูค่อย ๆ เปิดกว้างทีละเล็กทีละน้อย กระทั่งมองเห็นชัดเจนเต็มสองตาว่าด้านในนั้นไม่ได้ใกล้เคียงกับสิ่งที่พ่อเคยบรรยายให้ฟังเลยสักกระผีก
พ่อบอกว่าเวลาไปเดินป่าหรือล่าสัตว์ หากเจอของแปลก ๆ ตกอยู่ตามพื้นมักจะหยิบติดมือมาด้วยเสมอ และสุดท้ายของพวกนั้นจะถูกนำมาเก็บไว้ในห้องนี้นั่นเอง
ทว่า...สิ่งที่ฉันเห็นเป็นอันดับแรกไม่ใช่ข้าวของที่ท่านเก็บมา แต่เป็นโครงกระดูกทั้งเก่าและใหม่กองพะเนินเป็นภูเขาขนาดย่อมต่างหาก
ถ้าเป็นกระดูกสัตว์ฉันจะไม่แปลกใจเลย
แต่นี่...
เกร้ง ตึง!
ฉันสะดุ้งเมื่อได้ยินเสียงคล้ายโซ่กระทบพื้น ทั้งที่หวาดหวั่นจนสองขาสั่นเทา แต่ความอยากรู้กลับอยู่เหนือความกลัวจึงลองขยับไปตามเสียงดังกล่าว ก่อนพบว่าเบื้องหลังกองกระดูกนั้นมีบางสิ่งบางอย่างกำลังเคลื่อนไหว ช้าบ้าง...เร็วบ้าง...
จวบจนลองชะโงกหน้าดู...ก็ต้องช็อกจนร่างกายแข็งค้าง
เป็นผู้ชายเปลือยกายที่สองเท้าถูกล่ามด้วยโซ่...
ฉันคงถลาเข้าไปช่วย ถ้าหากว่าผู้ชายคนนั้นไม่ได้กำลังใช้สองมือที่ดูทรงพลังอย่างไม่น่าเชื่อกระชากศีรษะใครบางคนจนขาดออกจากลำคอ ส่วนหัวถูกกดลงกับพื้น ก่อนใช้ฝ่ามือข้างซ้ายที่ชุ่มไปด้วยเลือดบี้จนกะโหลกยุบแบน ลูกตาทั้งสองข้างกระเด็นออกมาจากเบ้า และข้างหนึ่ง...กลิ้งหลุน ๆ มาชนปลายเท้าฉันในองศาและทิศทางที่เหมาะเจาะ
ฟุ่บ...
"กรี๊ด!"
ฉันล้มลงบนพื้นทันที แผดเสียงกรีดร้องด้วยความตกใจ
ตอนนั้นเหมือนระบบการทำงานของสมองชำรุดเอาเสียดื้อ ๆ เพราะแทนที่มันจะออกคำสั่งให้รีบหนีออกไปจากที่นี่โดยเร็ว สิ่งที่เกิดขึ้นกลับเป็นการนั่งฟุบอย่างหมดสิ้นเรี่ยวแรง ไม่เหลือพละกำลังแม้แต่จะขยับปลายนิ้วด้วยซ้ำ
มีเพียงดวงตาเท่านั้นที่ยังพอเคลื่อนไหวได้บ้าง แต่ก็ช่างตลกร้ายที่มันดันเลือกตอกตรึงไว้ที่ชายคนดังกล่าว...ราวกับมีมือที่มองไม่เห็นบีบบังคับทั้งที่ตัวฉันไม่ต้องการ
เพราะแบบนั้นเอง ฉันจึงเห็นวินาทีที่เขาผงะแล้วตวัดนัยน์ตาคมกริบมายังต้นตอของเสียง แสงไฟสลัวจากหลอดตะเกียงที่ห้อยต่องแต่งอยู่ด้านบนเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ฉันเห็นใบหน้าของอีกฝ่ายได้ชัดเจน ทว่าแค่เพียงเสี้ยววินาทีเดียวที่เราสบตากัน ฝ่ายนั้นก็ส่งเสียงคำรามในคอราวกับสัตว์ป่า แยกเขี้ยวแหลมคมซึ่งมีขนาดไม่ใหญ่มากทว่ากลับชุ่มไปด้วยเลือดคล้ายส่งสัญญาณว่าเจอเหยื่อรายใหม่ที่น่าสนใจ...จากนั้นก็พุ่งกระโจนเข้ามาหาฉันอย่างไม่ลังเล
หมับ!
"กรี๊ด..." วินาทีที่สติเริ่มกลับคืน ฉันรีบพลิกตัวเตรียมหนี แต่ความพยายามของฉันในตอนนี้เมื่อเทียบกับความรวดเร็วของเขาคนนั้นแล้วคงมีค่าแค่เศษฝุ่น รู้ตัวอีกทีข้อเท้าข้างซ้ายก็ถูกฝ่ามือหยาบหนาตะปบแล้วกระชากจนถลาเข้าไปด้านใน...
ครืด...
ฉันที่จนตรอกไม่ยอมแพ้ จิกเล็บกับพื้นหมายจะยื้อตัวเอง ทว่าก็เป็นอีกครั้งที่ความพยายามของฉันสูญเปล่า แรงกระชากทรงพลังทำเอาปลายเล็บที่แม้ไม่ได้ยาวมากฉีกจนเลือดซิบ แต่ความเจ็บปวดตรงส่วนนั้นเทียบไม่ได้เลยกับแรงบีบบริเวณข้อเท้า
ฉันรู้สึก...เหมือนกระดูกกำลังจะแหลกคามือเขา
มือ...ที่เพิ่งบี้ศีรษะของเหยื่อผู้เคราะห์ร้ายจนบุบบี้ผิดรูปทรงเมื่อครู่นี้