บทนำ
“นี่ก็รายที่สิบแล้วนะ”
“...”
“หรือว่าหมู่บ้านของเราจะมีปีศาจอย่างที่เขาลือกันจริง ๆ วะ?”
“...”
หมับ แกร็ก!
“ฟังที่ฉันพูดไหมเนี่ย”
น้ำเสียงไม่สบอารมณ์ของลินดาดังขึ้นหลังจากกระชากหูฟังที่ฉันซื้อมาจากตลาดมือสองออกจนเสียงเพลงร็อกที่เคยสะท้อนอยู่ในหูเลือนหายไป การกระทำหยาบคาบของเธอส่งผลให้ฉันจำต้องเปลี่ยนจุดโฟกัสทางสายตาจากป้ายประกาศตามหาคนหายที่ติดตามต้นไม้น้อยใหญ่ รวมถึงกำแพงและประตูบ้านแทบทุกหลังมาจ้องหน้าเธอแทนอย่างเสียไม่ได้
“ปีศาจมีจริงที่ไหน ปัญญาอ่อน” ฉันโต้ตอบตัดรำคาญ
จริงอยู่ที่ช่วงนี้มีเรื่องแปลกประหลาดเกิดขึ้นไม่เว้นวัน ล่าสุดคือการหายสาบสูญของคนในหมู่บ้านที่แม้จะระดมคนออกตามหาแทบตายแต่ก็ไม่พบเจออะไรน่าสงสัย
บางส่วนคาดเดาว่าหมู่บ้านของเรามีฆาตกรต่อเนื่องแฝงตัวอยู่ และคงได้ทำการอำพรางคดีอย่างแยบยล ผู้โชคร้ายอาจจะถูกสับเป็นชิ้นแล้วยัดใส่ถุงก่อนนำไปทิ้งที่ไหนสักที่ จากระยะเวลาการตามหาที่ยืดเยื้อ บางทีชิ้นส่วนเหล่านั้นอาจย่อยสลายไปแล้ว
และด้วยหมู่บ้านตั้งอยู่ท่ามกลางป่าเขาลำเนาไพร มีสัตว์ดุร้ายอาศัยอยู่เป็นจำนวนมาก ดีไม่ดีสิ่งที่คนออกตามหากันอาจกลายเป็นอาหารของสัตว์ร้ายไปแล้ว จึงไม่เหลือหลักฐานไว้ดูต่างหน้านั่นเอง
ทว่ายังมีคนอีกกลุ่มที่ไม่เชื่อในข้อสันนิษฐานนี้ เนื่องจากการหายตัวไปของเหยื่อทั้งหมด 10 รายนั้นพิลึกพิลั่นเกินกว่าจะใช้เหตุผลทางวิทยาศาสตร์มาอ้างได้ จึงได้หยิบยกเรื่องปีศาจกินคนในตำนานขึ้นมาพูด แน่นอนว่าจากการคาดเดาของคนที่หลงงมงายในสิ่งที่ไม่มีจริงนั่นทำให้คนในหมู่บ้านซึ่งมากกว่าครึ่งเป็นคนแก่เอออออย่างง่ายดาย
เมื่อเรื่องนี้แพร่สะพัดไปในวงกว้าง หมู่บ้านที่เคยครึกครื้นก็เริ่มเข้าใกล้คำว่าเมืองร้าง จากที่เคยมีนักท่องเที่ยวเข้ามาช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจก็กลายเป็นซบเซา ท้ายที่สุดหมู่บ้านเล็ก ๆ แห่งนี้ก็ถูกตั้งชื่อว่า Dead Village หรือหมู่บ้านแห่งความตาย ไม่มีใครหน้าไหนเข้ามาย่างกรายอีกเลย...นอกจากฉัน และคนอื่น ๆ ที่อาศัยอยู่ ณ สถานที่แห่งนี้มาตั้งแต่เกิด
เป็นเวลาหลายเดือนแล้วที่หมู่บ้านที่ฉันอาศัยอยู่ทั้งเงียบสงัดและหดหู่ ช่างแตกต่างกับเมื่อก่อนอย่างไม่น่าเชื่อ
“ไม่เชื่ออย่าลบหลู่นะไมอา เรื่องแบบนี้อะ...” ลินดา...เพื่อนเพียงหนึ่งเดียวที่ฉันมีทำสีหน้าจริงจังขึ้นมา
อันที่จริงแล้วฉันกับลินดาไม่ได้สนิทสนมกลมเกลียวอะไรกันขนาดนั้น แต่เพราะหมู่บ้านของเราประชากรค่อนข้างน้อย ส่วนใหญ่เป็นผู้ใหญ่และคนแก่ เด็กวัยรุ่นมีไม่ถึง 10 คน และ 5 ใน 10 ก็หายสาบสูญ ตอนนี้จึงเหลือเพียง 5 คนเท่านั้น
3 คนคือเด็กผู้ชาย ส่วนฉันกับลินดาเป็นเด็กผู้หญิง การที่เราจะตัวติดกันแบบนี้จึงไม่ใช่เรื่องแปลก
“ไม่เห็นกับตาก็ไม่เชื่อหรอก”
ฉันยักไหล่เนือย ๆ แล้วหยิบหูฟังที่ถูกกระชากจนตกลงบนตักขึ้นมายัดหู สองตาเคลื่อนกลับมามองทัศนียภาพอึมครึมของหมู่บ้านอีกครั้ง ขณะนั้นหยาดน้ำเย็นเฉียบตกกระทบแขน ฉันจึงเงยหน้าขึ้นมองก้อนเมฆสีดำทะมึนที่กำลังจับตัวเป็นกลุ่มก้อน ทว่ามองได้ไม่นาน...รถกระบะที่ฉันกับลินดานั่งมาก็หยุดเคลื่อนไหวลงหน้าอาคารสไตล์ยุโรปทว่าเก่าคร่ำครึ เป็นสัญญาณว่ามาถึงที่หมายแล้วนั่นเอง
หมู่บ้านแห่งนี้อยู่ห่างไกลจากตัวเมืองมาก เมื่อก่อนการเดินทางก็ไม่ได้ยากลำบากมากนักเนื่องจากมีรถเข้าออกทุกชั่วโมง ทว่านับตั้งแต่ข่าวลือบ้า ๆ นั่นโด่งดัง ผู้คนย้ายออก คนที่ยังอยู่และมียานพาหนะเหลือเพียงสองครอบครัว ดังนั้นฉันและลินดาที่ยังอยู่เพียงม.ปลายซึ่งต้องไปโรงเรียนจึงขอร้องให้คุณเพียวที่เป็นหนึ่งในสองที่มีรถยนต์ช่วยไปรับไปส่งเราทุกเช้า-เย็น
ทางลินดาใช้เงินเป็นค่าจ้าง ส่วนฉันที่ครอบครัวไม่ได้ร่ำรวย แต่เพราะพ่อเป็นนายพรานจึงได้นำเนื้อสัตว์มาแลกเปลี่ยนกับค่าน้ำมันและเวลาที่ต้องเสียไป
“ไว้เจอกันนะไมอา”
เมื่อมาถึงหน้าบ้านของคุณเพียว เราสองคนที่เพิ่งกระโดดลงจากท้ายกระบะก็กล่าวขอบคุณเจ้าของรถตามมารยาท ก่อนจะหันมาบอกลากันตามประสา
บ้านของลินดาอยู่ไม่ไกลจากจุดจอดรถ แต่บ้านของฉันนั้นต่างกัน เพราะยังต้องเดินเท้าขึ้นเนินทะลุป่าอีกเกือบกิโลฯ เคยบ่นพ่อหลายครั้งว่าทำไมต้องมาสร้างบ้านไกลจากคนอื่นด้วย แต่บ่นไปก็เท่านั้นแหละ พ่อเป็นคนไม่ค่อยสุงสิงกับใคร มนุษย์สัมพันธ์ก็ไม่ดี จึงมีความสุขกับการปลีกวิเวกมากกว่าจะผูกมิตรกับใคร
ใช้เวลาพอสมควรก็มาถึงบ้านที่ตั้งอย่างโดดเดี่ยว เปิดประตูเข้าไปก็พบกับพ่อที่เพิ่งเดินขึ้นมาจากชั้นใต้ดิน
“หวัดดีค่ะพ่อ” ฉันทักทาย ก่อนจะสะดุดตากับบาดแผลบริเวณแขนซ้ายของท่านซึ่งมีลักษณะคล้ายกรงเล็บสัตว์ป่า “พ่อเจอเสือมาเหรอคะ”
เพราะเติบโตในหมู่บ้านที่โอบอ้อมด้วยป่าเขา มองปราดเดียวจึงรู้ว่ารอยกรงเล็บขนาดใหญ่นั้นเป็นของสัตว์ตระกูลล่าเนื้ออย่างแน่นอน แม้พ่อเชี่ยวชาญการล่า แต่ทุกครั้งที่กลับเข้าบ้านมา ท่านมักจะได้ร่องรอยพวกนี้กลับมาเป็นของฝากเสมอ เพียงแค่แตกต่างกันไปตามชนิดของสัตว์
“ไม่ต้องถามมาก รีบ ๆ ไปอาบน้ำแล้วมากินข้าว”
“ทำไมต้องรีบคะ” ฉันยังไม่เคลื่อนไหว สองตาสำรวจตามจุดต่าง ๆ ของร่างกายพ่อไปด้วย
“พ่อจะไม่อยู่สักสองสามวัน พอดีเจอแหล่งล่าสัตว์ใหม่”
“อ๋อ...” ฉันพยักหน้าและไม่ได้ถามอะไรต่อ เป็นปกติของพ่ออยู่แล้วที่มักอุทิศเวลาไปกับการเข้าป่า เพราะนี่เป็นทั้งอาชีพและงานอดิเรกของท่าน
ฉันชินแล้วล่ะที่ต้องอยู่คนเดียว ไม่ได้รู้สึกโดดเดี่ยวเปลี่ยวเหงาอะไรขนาดนั้น
หลังจบบทสนทนาเรียบง่าย ฉันหมุนตัวเตรียมเดินขึ้นห้อง หมายชำระร่างกายให้สะอาดสะอ้านแล้วลงมากินข้าวมื้อค่ำกับพ่อ แต่ไม่รู้อะไรดลใจให้ลองหันกลับไปยังทิศทางที่พ่อเพิ่งเดินขึ้นมา ทอดสายตาลงต่ำสู่ความมืดและบรรยากาศไม่น่าไว้วางใจของชั้นใต้ดิน…ที่ฉันไม่เคยเหยียบย่างเลยแม้แต่นิด
ทั้งที่มีประตูปิดกั้นและคล้องด้วยโซ่อย่างดี ทว่าวูบหนึ่ง...ฉันรู้สึกคล้ายกับมีบางสิ่งกำลังจ้องมองทะลุผ่านความหนาของประตูบานนั้น ก่อเกิดเป็นอาการเสียวสันหลังวาบอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย
บางทีตัวฉันอาจเหนื่อยจากการเดินทางล่ะมั้ง เลยประสาทหลอน จินตนาการถึงสิ่งที่ไม่มีอยู่จริงขึ้นมาได้
ดังนั้นฉันจึงกระซิบบอกตัวเองในใจว่า ‘นั่นน่ะ...ก็แค่ชั้นใต้ดินธรรมดา ๆ เท่านั้นเอง อย่าเพ้อเจ้อหน่อยเลยน่า’