บทที่7

763 คำ
บทที่7 “ข้าไม่ล้มเลิกความตั้งใจง่ายๆ" องค์ชายสะบัดชายเสื้อคลุมแล้วขึ้นรถม้าไป เขาไม่ยอมแพ้ง่ายๆ หรอก จูไป๋เสวี่ยเดินออกมาส่งองค์ชายสามที่หน้าเหลาอาหารหลังจากครบเวลา 1ชั่วยาม ได้เงิน 200 ตำลึง วันนี้ถือว่าไม่เมื่อยแก้มฟรี ยิ้มทั้งวันก็เหนื่อยเหมือนกัน “หยุดมาช่วยงานที่เหลาซักระยะดีไหมน้องห้า” คุณหนูชายสี่แห่งสกุลจู จูหรงจี เดินตามออกมาสมทบที่หน้าเหลา โต๊ะที่น้องห้ากับองค์ชายนั่ง เขาจัดทำเป็นพิเศษ ไม่รับจองหรือเปิดให้ใครนั่ง เอาไว้ให้น้องสาวรับรองแขกเท่านั้น ไม่ให้รับรองที่ห้องส่วนตัวเพราะเกรงจะเกิดอันตรายกับน้อง จะต้องมองเห็นและอยู่ในสายตาของพวกเขาทั้งสองคน “หากทำแบบนั้น คนที่จองโต๊ะเอาไว้ในวันที่ข้ามาขับร้อง ย่อมต้องไม่พอใจ พี่สี่ไม่ต้องกังวลข้าพอมีทางออกสำหรับเรื่องนี้ รับรองว่าจะไม่ให้กระทบกับกิจการของท่านพ่อ” จูไป๋เสวี่ยเดินเข้าไปคล้องแขนพี่ชายกึ่งจูงกึ่งลากให้เข้าไปด้านใน ยังมีงานอีกมากมายที่ต้องสะสาง เชื่อว่าตลอด 1ชั่วยามที่นางนั่งดีดกู่เจิงให้องค์ชายฟัง พี่ชายทั้งสองคงไม่ได้ทำอะไรเลยนอกจากนั่งมองนางผ่านทางหน้าต่างชั้นสามของเหลา พวกเขาเป็นห่วงนางเพียงไรนางย่อมรู้ดี จูหลงฉี่เดินตามแรงดึงของวงแขนเล็กๆ กลอกตาขึ้นบน นางเป็นน้องเล็กแต่ชอบทำตัวเป็นพี่สาวคนโต คำพูดคำจากริยาแม้จะดูนอบน้อมอ่อนหวาน เสียงไพเราะเสนาะหู แต่แววตายามนางมองมากลับแฝงไปด้วยอำนาจกึ่งบังคับให้คล้อยตามอยู่ในทีเสมอ เรื่องขององค์ชายสามคงต้องดูท่าทีไปก่อนหากไม่คุกคามจนเกินไปนางจะไม่วางหมากตัวสุดท้ายในมือ ใครจะคิดเล่าว่าอาศัยอยู่ห่างไกลเมืองหลวงมากขนาดนี้ ไม่คิดว่าชื่อเสียงของนางจะโด่งดังไปถึงเมืองหลวง นางแค่ช่วยกิจการที่บ้านเล็กๆ น้อยเท่านั้น แม้พี่ใหญ่ก็ส่งข่าวในวังกลับมาบ้างเป็นครั้งคราว นางกลับไม่เคยได้ยินพี่ใหญ่พูดถึงข่าวของนางที่ดังไปถึงเมืองหลวงจึงไม่ได้คิดว่าจะมีปัญหาตามมาให้แก้ ยามห้าย (21.00 – 22.59 น) จูไป๋เสวี่ยเปิดกล่องอุปกรณ์ปักผ้า ยามนี้เป็นสิ่งเดียวที่ทำให้จิตใจสงบ ‘ไอ้หลานบ้าข้าคือท่านย่าของเจ้า จะเอาข้าเป็นภรรยาขอให้สวรรค์ลงโทษ ‘ บ่นกระปอดกระแปดอยู่ในใจเพียงคนเดียวมือก็ปักลวดลายบนผ้าไปด้วย จริงอยู่ว่าจูไป๋เสวี่ยกับองค์ชายสามไม่ได้มีความเกี่ยงโยงทางสายเลือด แต่ในห้วงความคิดของนางบางความทรงจำบางความสัมพันธ์ก็มิอาจตัดขาดได้ เหมือนกับกริยาท่าทางของนาง แม้จะพยายามสลัดตัวตนของเจียวเอินจวิ้นให้หายไป แต่ก็หาทำได้ง่ายดาย เจียวเอินจวิ้นเติบโตมาในสกุลเจียวบิดาคือเสนาบดี ตำแหน่งของนางถูกวางเอาไว้ตั้งแต่ลืมตาดูโลกว่าต้องแต่งเข้าวังเท่านั้น นางจึงถูกอบรมโดยมาม่าหลี่มาตั้งแต่เด็ก กริยามารยาท ดนตรีโครงกลอน แม้กระทั่งการทำอาหาร ก็ถูกอบรมมาอย่างเคร่งครัด พอปักปิ่นก็ถูกส่งเข้าวังหลวงและใช้ชีวิตอยู่ในรั้ววังมาโดยตลอด จนลมหายใจสุดท้าย “คุณหนูเจ้าค่ะ ดึกแล้วนอนเถอะเจ้าค่ะ” ฮวาเจียว ดึงผ้าปักออกจากมือบาง หากไม่ทำแบบนี้คุณหนูคงปักไปเรื่อยจนดึกดื่นเป็นแน่ “เจ้าดุยิ่งกว่าท่านแม่ข้าอีก” ไป๋เสวี่ยหัวเราะคิกคัก วางเข็มลงกล่อง แล้วลุกเดินไปยังเตียงนอน พอปีนขึ้นเตียง ฮวาเจียวก็หอบฟูกมาปูลงข้างๆ เตียงเช่นทุกคืนและดับไฟตะเกียงลง สองนายบ่าวจึงเข้าสู่ห้วงนิทรา กลิ่นกำยานสงบใจส่งกลิ่นหอมตลบอบอวลไปทั่วห้องนอน จูไป๋เสวี่ยหลับไม่ฝันร้ายมาได้หลายเดือนแล้ว เริ่มมีฝันดีๆ เข้ามาบ้างล้วนเป็นฝันเกี่ยวกับครอบครัวปัจจุบัน จูไป๋เสวี่ยนอนหลับมีรอยยิ้มเล็กๆ ปรากฏที่มุมปากบางสีกุหลาบแดง นางหลับฝันดีโดยไม่รู้ว่าภัยร้ายจากเมืองหลวงกำลังก้าวคืบเข้ามา
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม