ตอนที่ 2

1334 คำ
เต็มไปด้วยความตื่นเต้น อันตราย กระหายการผจญภัย โหยหาความท้าทายในชีวิต กระทั่งมาหยุดลงก็ตอนที่ทั้งคู่มีครอบครัว      “นี่ถ้าไม่ได้นัดหมายว่าเป็นหนูพริมที่มาหา ลุงคงจำไม่ได้แน่ๆ”   คนกล่าวพิจารณาใบหน้าสวยสะอางของหญิงสาว ทั้งริมฝีปากและดวงตา ช่างเหมือนกับผู้เป็นบิดาไม่ผิดเพี้ยน ซึ่งในอดีต คุณทรงชัยจัดเป็นผู้ชายหล่อเหลาเจ้าเสน่ห์และเจ้าชู้ขึ้นชื่อ บรรดาเพื่อนฝูงเก่าๆต่างรู้ถึงกิตติศัพท์เป็นอย่างดีในเรื่องความเป็นนักรักของคุณทรงชัย เมื่อนึกมาถึงตอนนี้ คุณพิทยาก็อดไม่ได้ที่จะถามถึงเกลอเก่าขึ้นมาในทันที ด้วยความคิดถึง  “ฝากกลับไปบอกพ่อของหนูด้วยว่าลุงเองก็คิดถึงสหายเก่าเช่นกัน...ลุงไม่เคยลืมเพื่อนรักที่เคยพากันย่ำผืนป่าสาละวินมาด้วยกันเมื่ออดีต ผ่านความยากลำบากด้วยกันมาร้อยเอ็ดเจ็ดย่านน้ำเมื่อสมัยยังหนุ่มแน่น” “ขอบคุณค่ะคุณลุง…ถ้าคุณพ่อได้ยินคงดีใจ” “บอกกับพ่อหนูว่าเอาไว้ลุงมีเวลาเมื่อไร จะแวะไปหาที่กรุงเทพฯ คุณกันทางโทรศัพท์มันไม่เห็นหน้า ไม่เหมือนกับได้นั่งสวนเสเฮอา นึกอยากร่ำสุรากันในวงเหล้าตามประสานผู้ชาย” คุณพิทยากล่าวจบก็หัวเราะเบาๆ แลเห็นเส้นที่ร่องแก้มหยักลึกลงชัดไปตามวัย รอยยิ้มผุดพรายขึ้นที่ใบหน้าของชายสูงวัยอีกครั้ง เมื่อได้เอ่ยถึงมิตรภาพเก่าๆ   “หนูได้ยินคุณพ่อพูดถึงคุณลุงบ่อยๆค่ะ คุณพ่อเคยเปรยเอาไว้ว่าจะพาครอบครัวขึ้นมาเยี่ยมคุณลุง แต่บังเอิญมาเกิดเรื่องขึ้นมาเสียก่อน” แววตาสวยหวานนั้นมีแววเศร้าปรากฏขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด ความกังวลใจฉายออกมาให้เห็นอย่างมิอาจปิดซ่อน เมื่อเอ่ยถึงเรื่องร้ายที่เพิ่งเกิดกับพี่ชายร่วมสายเลือด ซึ่งเป็นสาเหตุให้เธอต้องขับรถจากกรุงเทพฯมาถึงเชียงใหม่ เพื่อขอความช่วยเหลือจากสหายเก่าของผู้เป็นบิดา “เรื่องชานนท์ พี่ชายของหนู...ลุงเสียใจด้วย” คุณพิทยาสีหน้าเศร้าลงทันใด รู้เรื่องที่ชานนท์หายไปจากปากของพริม มื่อตอนที่โทรนัดหมายหันทางโทรศัพท์ กล่าวจบก็ปรายสายตาไปยังผืนป่าเปลี่ยวและดิบชื้นเบื้องหน้าด้วยแววตากังวล ผืนป่าที่กว้างใหญ่อุดมสมบูรณ์ แลดูลึกลับซับซ้อนเกินกว่าจิตใจจะหยั่งได้ แม้ป่าผืนนี้…เขาอาจจะเคยย่ำเคยผ่านมันมาอย่างโชกโชนเมื่อครั้งอดีตก็จริง ทว่าไม่ใช่บริเวณที่ชานนท์หายไป เพราะทุกคนรับรู้ว่าผืนป่าบริเวณที่สันนิษฐานว่าชานนท์หายไปนั้น มีความลึกลับซับซ้อน ซ่อนไว้ด้วยปริศนาและมนต์ไพรมากมาย เป็นผืนป่าอาถรรพ์ที่กลืนกินชีวิตของผู้คนมานับไม่ถ้วน พรานและคนชำนาญไพร ต่างรู้กันดีว่าชีวิตมากมายที่พลัดหลงเอาวิญญาณเข้าไปถมทับกันเป็นสุสาน เพราะความละโมบโลภมากของมนุษย์ ที่หวังจะไปขุดหาขุมทรัพย์ในดินแดนที่ยังไม่เคยมีใครเอาชีวิตรอดกลับมายืนยันได้ว่ามันมีอยู่จริง นอกจากเอาวิญญาณกลับมาเข้าฝันญาติพี่น้อง เล่าขานต่อๆกันมาเป็นตุเป็นตะ ถึงความมีอยู่จริง…หรือไม่จริงของมัน    “สุสานสาละวิน” ชายวัยกลางคนรำพึงขึ้นลอยๆ สีหน้าเป็นกังวล จากข้อมูลเบื้องต้นที่เพิ่งได้สอบถามมาจากเพื่อนฝูงที่เคยย่ำป่ามาด้วยกัน เดาได้ว่าบริเวณที่ชานนท์พลัดหลงเข้าไป ต้องเป็นสุสานอาถรรพ์แห่งนั้นอย่างแน่นอน “สุสานสาละวินหรือคะคุณลุง?” ดวงตาของหญิงสาวเบิกโต ทวนถ้อยคำที่ได้ยินชัด คิ้วโค้งราวเสี้ยวจันทร์คว่ำ ขมวดเข้าหากันด้วยความสงสัย “ใช่...ลุงสันนิษฐานว่าสุสานสาละวิน คือบริเวณที่พี่ชายของหนูพลัดหลงเข้าไป” คุณพิทยากล่าวพร้อมกับถอนหายใจลึกยาวออกมาอีกครั้ง “ชื่อน่ากลัวจัง” หญิงสาวขนลุกซู่ ยกมือขึ้นลูบท่อนแขนของตัวเองไปมา  เมื่อจู่ๆ…สายลมระลอกใหญ่ก็กรรโชกพัดใบไม้แห้งกรอบที่กองทับถมอยู่ใต้โคนต้นไม้ใหญ่ เสียงดังแกรกกราก ทั้งคู่หันไปใบไม้ที่ถูกแรงลมลากพลิกไปตามพื้นหลายตลบ   พริมทอดสายตาไปยังผืนป่าเขียวขจีตรงหน้า แลเห็นใบกล้วยป่าโบกสะบัดล้อเล่นกับแรงลมอยู่ไหวๆ มองไกลๆ เหมือนใครบางคนกำลังกวักมือเรียกเธอ   ดวงตาหวานวาวของหญิงสาวมองเหม่อเหมือนต้องมนต์   “หนูพริม!...”           เสียงของลุงพิทยาดังขึ้น “คะ!...” หญิงสาวสะดุ้ง คล้ายเพิ่งคลายออกจากอาการถูกสะกดด้วยมนต์ไพร กังวานเสียงของลุงพิทยาช่วยฉุดเธอออกจากภวังค์ป่า ในวินาทีที่หญิงสาวรู้สึกเหมือนร่างกายกำลังตกอยู่ในอาการถูกสะกดอยู่ในตอนนั้น “นานแค่ไหนแล้ว...ที่พี่ชายของหนูหายไป” กล่าวพร้อมกับยกถ้วยชาขึ้นจิบ ชวนหลานสาวเข้าธุระที่ทำให้เธอต้องขับรถมาไกล “นับถึงวันนี้ ก็ได้เจ็ดวันแล้วค่ะคุณลุง” พริมตอบด้วยน้ำเสียงเศร้า ขณะที่สายตายังจับจ้องไปที่หุบป่าที่ถูกขนานนามว่า ‘สุสานสาละวิน’             “ด้านทิศตะวันตกที่หนูกำลังมองอยู่นั่นแหละ...ที่ผู้คนขนามนามว่าสุสานสาละวิน” คุณพิทยาชี้มือนำสายตาออกไปที่ผืนป่าเบื้องหน้า พริมทอดสายตามองตาม “ทำไมชื่อสุสานสาละวินคะ?” ความสงสัย ดลใจให้หญิงสาวเอ่ยถาม “บริเวณนั้นถูกล่ำลือต่อๆกันมาว่ามีขุมทรัพย์” ชายวัยกลางคนกล่าว แววตากังวลครุ่นคิด ทว่าจากที่พริมได้คุญกับพี่ชาย ในวันก่อนหน้าที่เขาตัดสินใจเดินทาง พริมยังจำได้ดีว่าสิ่งที่พี่ชายตั้งใจจะไปเสาะหานั้นไม่ใช่ขุมทรัพย์อย่างแน่นอน แต่เป็นกล้วยไม้ ‘เอื้องพลายชมพู’ (Pleione Praecox ) กล้วยไม้ที่สวยงามและหายากมากที่สุดอีกชนิดหนึ่งของไทย ซึ่งจะพบเห็นได้เฉพาะบนยอดดอยสูงเท่านั้น “แต่พี่ชานนท์บอกว่าจะเข้าป่าเพื่อไปหาเอื้องพลายชมพูนะคะ” “อืม…หากขุมทรัพย์ไม่ใช่เป้าหมาย พี่ชายของหนูก็อาจจะไม่ได้พลัดพลงเข้าไปเทือกแถบนั้นอย่างที่เราพยายามสันนิษฐานกันก็เป็นได้ ซึ่งลุงภาวนาขออย่าให้เป็นที่ตรงนั้น” ชายวัยกลางคนหยุดนิ่งชั่วขณะ ถอนหายใจลึกยาวอีกครั้ง “หมายความว่าที่ตรงนั้น…อันตรายมากใช่ไหมคะคุณลุง?” “ร่ำลือกันว่าที่ตรงนั้นเป็นดงเสือสมิง...ใครที่พลัดหลงเข้าไป น้อยคนนักที่จะได้กลับออกมาในร่างที่ยังมีวิญญาณ” “ฟังดูน่ากลัวจังเลยนะคะ” “ ถึงกระนั้น มนุษย์ก็ยังมิวายที่จะยอมให้ความโลภพาเอาชีวิตเข้าไปทิ้งในป่า เอาวิญญาณไปทับถมกับเป็นสุสานสาละวินตามชื่อของมัน”  ลุงพิทยาถ่ายทอดเรื่องราวไพรออกมาจากประสบการณ์ตรงและตำนานที่เล่าขานต่อๆกันมา  ในทั้งหมดทั้งมวลของประโยคที่คุณพิทยากล่าว คำว่า “เสือสมิง” กึกก้องอยู่เต็มสองหู กระตุ้นความใคร่รู้ของหญิงสาวขึ้นมาอย่างแปลกประหลาด “พริมมืดแปดด้านจริงๆค่ะคุณลุง จับต้นชนปลายไม่ถูก ไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นจากตรงไหน”  เธอกล่าวด้วยน้ำเสียงเศร้า แววตาหม่น ทอดมองผืนป่ากว้างใหญ่ตรงหน้าอย่างหมดหวัง “ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ...ที่จะค้นหาใครสักคน ท่ามกลางผืนป่าที่กว้างใหญ่ถึง 450,950 ไร่ จากเบาะแสอันน้อยนิดที่ทิ้งเอาไว้” “พอจะมีหวังไหมคะคุณลุง” หญิงสาวถามถึงความเป็นไปได้ ในการติดตามหาพี่ชาย คุณไม่ได้ตอบคำถามนั้นตรงๆ 
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม