ตอนที่ 1
“เพลิงพระจันทร์เดิมพันสวาท”
ดอยแม่สะเรียง จังหวัดแม่ฮ่องสอน
เช้าตรู่ของวันหนึ่ง ที่ศาลาไม้ริมทาง ใกล้ๆกับบ้านพักของเจ้าหน้าที่กองอุทยานแห่งชาติสาละวิน หญิงสาวหน้าตาสะสวย เรือนผมสีดำยาวสลวย ทอดสายตาคู่คมผ่านกรอบกลมกว้างของแว่นกันแดดสีดำสนิท ไปยังเทือกเขาทะมึน ที่ตระหง่านง้ำอยู่เบื้องหน้า มองดูผืนป่าสีเขียวเข้มเหมือนผืนพรมขนาดใหญ่ที่ปูลาดเอาไว้เต็มทิวเทือกขนาดมหึมา ทอดตัวเหยียดยาวเชื่อมต่อกันมาจากทิวเขาถนนธงชัย
‘ขอภาวนาให้พี่ชานนท์ยังมีชีวิตอยู่ทีเถอะ’
หญิงสาวพร่ำภาวนาอยู่ในใจ
ในวินาทีที่มนุษย์ต้องพบพานกับความทุกข์เศร้า หรือบางครั้งที่ชีวิตมักจะถูกทดสอบด้วยวิกฤตอันหนักหนาสาหัส อดไม่ได้ที่จะนึกถึงสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เพราะในบางครั้ง…ศรัทธาความเชื่อในสิ่งซึ่งมองไม่เห็น ก็ช่วยให้มีความหวังทางใจขึ้นมาไม่มากก็น้อย
จึงไม่แปลกที่หญิงสาวกระพุ่มมือขึ้นไหว้เจ้าป่าเจ้าเขา ภาวนาให้เห็นแสงสว่างรำไรที่ปลายอุโมงค์ อธิษฐานกับเทวาอารักษ์ที่สถิตย์อยู่ยังผืนป่าเบื้องหน้า รำพึงรำพันในใจ ถึงผู้ชายที่ชื่อ ‘ชานนท์’ ซึ่งเป็นพี่ชายที่หายสาบสูญไปในความลึกลับซับซ้อนของผืนป่าสาละวินอันกว้างใหญ่ไพศาลแห่งนี้
ในระหว่างที่ยืนรออยู่นั้น ปลายจมูกเชิดรั้นรับรู้ได้ถึงไอดินและกลิ่นป่าเปลี่ยวที่ปะปนมากับกระแสลมเอื่อยอ่อน รู้สึกถึงความเยียบเย็นที่ฝังตัวอยู่ตามราวไพร ผิวกายสัมผัสได้ถึงไอหนาวที่โรยตัวอยู่ทั่วยอดดอยสูงเสียดเมฆ ก่อนจะกวาดสายตาไปตามสันเขาที่พระอาทิตย์เริ่มสาดลำแสงมาจากเบื้องหลัง
บางส่วนของแสงโผล่พ้นเทือกทิวสลับสล้าง สะท้อนปุยเมฆเป็นริ้วรายเรื่อเรืองอยู่ที่ขอบฟ้า ทะเลหมอกหนาก็ยังขังตัวอ้อยอิ่ง นิ่งอยู่ตามที่ราบต่ำ ลดหลั่นลงมาตามลำดับความสูงชันของภูมิประเทศ
ไม่ไกลกันนั้น ได้ยินเสียงสายน้ำ ตกลงกระทบโขดหินเบื้องล่างโครมครืน
สันนิษฐานว่ามีน้ำตกอยู่ไม่ไกลจากจุดที่หญิงสาวยืนอยู่ เสียงของน้ำจึงแว่วออกมาชัด ยืนยันได้จากไอชื้นของละอองน้ำที่เจืออยู่ในบรรยากาศรายรอบ
สายลมเย็นยังคงกรรโชกมาเป็นระยะๆ แลเห็นผืนป่าสีเขียวระบัดไหว ยามที่ลมขยับใบไม้ กระเพื่อมยวบยาบต่อๆกันไปเป็นทอดๆ บางครั้งหูก็แว่วได้ยินเสียงหวีดหวิวจากราวไพร คล้ายเสียงสัตว์ผสมเสียงลม บางครั้งคล้ายเสียงกรีดร้องของคน สะท้อนกึกก้อง มองไม่เห็น…แต่โหยหวนไปทั้งป่า ราวกับผืนไพรแห่งนั้นมีลมหายใจ
สีเขียวขจีสลับส้มแดงและเหลืองอ่อนของยอดใบที่แตกใหม่ กำลังผลิรับฝนแรกที่พร่างลงมายังผืนป่า ในช่วงรอยต่อของฤดูกาล ยอดใบอ่อนของแมกไม้ที่แตกสะพรั่ง ช่วยยืนยันถึงความสมบูรณ์ของป่าเบญจพรรณ อันเป็นทิวสายต้นน้ำลำธารของลำน้ำสาละวินที่แตกแยกออกเป็นลำแควน้อยใหญ่อีกหลายสาย เอื่อยไหลมาหล่อเลี้ยงชีวิตมากมายที่อาศัยอยู่สองฟากฝั่ง
หญิงสาวสูดลมหายใจแรงลึก เมื่อได้กลิ่นหอมจางๆของดอกไม้ป่าที่พัดมากับสายลมเอื่อยอ่อน สร้างความหอมรื่นชื่นใจไปทั่วบริเวณ
ในวินาทีที่หญิงสาวกำลังเพลินชมธรรมชาติ
จู่ๆ…กังวานเสียงทุ้มกว้างของชายวัยกลางคนก็ดังขึ้นทำลายความเงียบงันรายรอบ
“หนูพริมใช่ไหม…?”
ชายผู้มีผิวขาว ใบหน้าเกลี้ยงเกลา ร่างท้วมใหญ่ ศีรษะเถิกกว้าง จมูกโด่งพอประมาณ สวมเสื้อสีกากี กางเกงสีกากี รองเท้าคอมแบตสีดำ ดวงตาที่ซ่อนอยู่เบื้องหลังแว่นสายตา ฉายประกายว่าเป็นคนใจดี
เขาปรากฏกายขึ้นเงียบๆ จากทางด้านหลังของเธอ
“ค่ะ…สวัสดีค่ะ”
หญิงสาวสะดุ้ง รีบหันไปตามเสียงที่เอ่ยทัก
ใบหน้าชดช้อย ประพิมพ์ประพาย ช้อนฝ่ามือขึ้นไหว้ชายวัยกลางคนด้วยท่าทางนอบน้อม อ่อนหวาน
ครั้นแล้วจึงเอ่ยถาม ย้ำให้แน่ใจว่าเป็นเขาคือคนที่เธอกำลังรอคอย
“คุณลุงพิทยาใช่ไหมคะ?”
“ครับ”
คนที่เธอยืนรอ พยักหน้าเล็กน้อยพร้อมกับขานรับ ส่งรอยยิ้มอบอุ่นเป็นมิตร ทอดสายตามองดูลูกสาวของเพื่อนรักซึ่งไม่ได้เจอกันนานหลายปีดีดัก
คุณพิทยาเคยเห็นพริมเมื่อนานมาแล้ว ตอนนั้นเธอยังเด็กมาก หน้าตาน่ารักน่าชัง เป็นเด็กผู้หญิงที่ฉายแววความสวยมาตั้งแต่เล็กๆ ตอนที่คุณพ่อของเธอยังแข็งแรง เขามักจะพาครอบครัวขึ้นมาพักผ่อนที่เชียงใหม่บ่อยๆ และทุกครั้งที่มา ก็มักจะเลยมาเชียงราย เพื่อเยี่ยมเยือนคุณพิทยาซึ่งเป็นเพื่อนสนิทที่รักใคร่ชอบพอกันมาก
หญิงสาวยกมือขึ้นช้อนไรผมบางส่วน ที่แตกออกจากช่อผมสีดำยาวสลวย ขึ้นไปทัดเอาไว้ที่ด้านหลังใบหู จากนั้นจึงเดินไปที่รถของตน เพื่อนำกระเช้าซึ่งบิดาฝากมาให้สหายเก่า มามอบให้กับลุงวิทยา
“คุณพ่อฝากมาให้คุณลุงค่ะ”
กล่าวจบก็ยื่นกระเช้าของฝากให้กับชายวัยกลางคนที่ยืนยิ้มรื่นอยู่ตรงหน้า
ในกระเช้านั้นมีทั้งขนม อาหารแห้ง ผลไม้ ใส่รวมกันเอาไว้จนเต็ม มีโบว์สีแดงผูกเอาไว้ที่ด้านข้างกระเช้า
มือน้อยๆของหญิงสาว แต่ละข้อนิ้วแทบไม่มีริ้วรอยแตกกร้านให้เห็น เพราะในชีวิตแทบไม่เคยได้ทำงานหนัก คุณทรงชัยรักผู้เป็นบิดา รักและหวงแหนลูกสาวคนนี้มาก
แม้พริมจะได้รับการประคบประหงม ตามใจ ถูกเลี้ยงดูมาอย่างคุณหนูของบ้าน แต่ก็ได้รับการอบรมกิริยามารยาทมาจากคุณนายรำเพยผู้เป็นมารดามาเป็นอย่างดี
ครอบครัวของพริมเลี้ยงดูลูกสาวมาอย่างพ่อแม่สมัยใหม่ ให้อิสระเสรีทางความคิดกับลูกๆ ส่งเสียให้ได้รับการศึกษาตามที่ลูกๆอยากเรียน ไม่เคยมีการบังคับ หรือฝืนใจกันแต่อย่างใด จึงไม่แปลกที่แววตาของพริมนั้นเต็มไปด้วยความเชื่อมั่นในตัวเอง
คุณพิทยาเอื้อมมือออกมารับกระเช้า
พร้อมกับกล่าวเบาๆด้วยสีหน้าเกรงใจ
“ไม่ต้องลำบากเอามาฝากลุงก็ได้…แค่รู้ว่าพ่อของหนูยังนึกถึงกัน เพื่อนคนนี้ก็ดีใจแล้ว”
จากนั้นคุณพิทยาก็เดินนำหน้าหญิงสาวไปยังโต๊ะรับแขกซึ่งทำจากไม้ ตั้งอยู่ด้านหน้าของอุทยาน ใต้ร่มเงาเขียวครึ้มของต้นไม้ใหญ่
ครู่สั้นๆจากนั้น ก็มีผู้หญิงคนหนึ่งก้าวออกมาพร้อมกับแก้วกาแฟหอมกรุ่นที่ถืออยู่ในมือ ใบหน้าของหล่อนสวยเรียบๆ ผิวพรรณขาว สะอาดสะอ้าน ส่งยิ้มเป็นมิตรให้กับพริม
“กาแฟค่ะ”
เธอกล่าวเบาๆ มีรอยยิ้มบางๆประดับอยู่ที่มุมปาก
ค่อยๆวางแก้วกาแฟลงช้าๆ จากนั้นก็หันมาหิ้วกระเช้าของฝากกลับเข้าไปในบ้านอย่างรู้หน้าที่ ไม่นานก็ก้าวออกมาอีกครั้งพร้อมกับชาอีกแก้วในมือ ค่อยๆวางลงตรงหน้าคุณพิทยา แล้วก็เดินจากไปโดยไม่ได้พูดอะไร
คุณพิทยาไม่ได้แนะนำว่าผู้หญิงคนนี้เป็นใคร แต่พริมเคยได้ยินผู้เป็นพ่อแซวว่าเพื่อนคนนี้เพิ่งได้เมียสาว เป็นลูกสาวของชาวบ้านในละแวกนั้น ภายหลังจากภรรยาเสียชีวิต คุณพิทยาก็ตกพุ่มหม้ายมาหลายปี สุดท้ายก็สละโสดอีกครั้งเพราะทนเหงาไม่ไหว
“เผลอแผลบเดียว ดูสิ! โตเป็นสาวสวยเชียว”
“แผลบเดียวของคุณลุงนี่เกือบสิบปีเลยนะคะ” พริมกล่าวด้วยอารมณ์ขัน
คุณพิทยาได้ยินก็หัวเราะลั่น หรี่ตาครุ่นคิด
จริงสิ!...นับจากครั้งสุดท้ายที่เจอกัน ก็ผ่านมาเกือบสิบปีจริงๆ
คุณพิทยาอยู่ในวัยใกล้เกษียณ ปัจจุบันเป็นหัวหน้ากองป้องกันรักษาผืนป่าอุทยานแห่งชาติสาละวิน ส่วนคุณทรงชัยบิดาของพริม เคยเป็นอดีตผู้ว่าราชการจังหวัด ประจำอยู่หลายจังหวัดที่ภาคเหนือตอนบน
ในอดีต ทั้งสองเคยย่ำป่ากันมานักต่อนัก ตั้งแต่สาละวินลงไปถึงเขาหลวงที่สุโขทัย จากทุ่งใหญ่นเรศวรไปจนถึงห้วยขาแข้งที่จังหวัดอุทัยธานี เคยไล่ล่าพวกพรานป่าที่มักจะแอบมาลักลอบล่าสัตว์ เคยปะทะกับพวกลักลอบตัดไม้มาหลายครั้ง ใช้ชีวิตอย่างลูกผู้ชาย โชกโชนมาด้วยกันเมื่อครั้งที่ทั้งคู่ยังหนุ่มแน่น ตามวิถีชีวิตของผู้ชายที่สนใจในเรื่องเดียวกัน ทั้งป่าและปืน ชอบท่องเที่ยวผจญภัย ไม่ค่อยอยู่กับที่ ปฎิเสธความศิวิไลของเมืองใหญ่ หลงใหลชีวิต