ระมัดระวังในคำตอบที่อาจจะไปทำลายความหวังของหญิงสาวเปล่าๆ
“แต่เทือกเขาที่พี่ชายของหนูหลงเข้าไป ลุงสันนิษฐานว่าน่าจะเป็นด้านทิศตะวันตก ซึ่งเป็นรอยต่อของสาละวินกับแม่สะเรียง” คุณพิทยาอธิบายไปตามประสบการณ์ของคนที่เคยผ่านและคุ้นเคยกับป่าแห่งนั้นมาก่อน
“หมายความว่าพอจะมีหวังที่จะติดตามใช่ไหมคะคุณลุง”
หญิงสาวถามอีกครั้ง หลังจากยังไม่ได้รับคำตอบในครั้งแรก
“อืม...หนทางก็พอจะมี แต่ก็มีอุปสรรคมากมาย ไหนจะฤดูกาล รู้กันอยู่ว่าเดือนมิถุนายนถึงตุลาคม เป็นฤดูฝน ป่ายิ่งดิบชื้น ฝนมาก น้ำหลาก ทั้งสัตว์ร้าย ไข้ป่า ไหนจะ...” ชายสูงวัยทิ้งท้ายประโยคเอาไว้…
เหมือนระลึกได้ว่าควรลืม ดีกว่าจะไปนึกถึงมัน
“ลุงเกรงว่าไม่มีใครจะกล้ารับงาน...หรือถ้ามี ก็คงต้องรอให้ผ่านฤดูฝนไปก่อน”
สีหน้าของคุณพิทยา มีแววความกังวลฉายชัด
“หนูเข้าใจค่ะ...แต่ความเป็นความตายของพี่ชาย ก็ไม่ใช่สิ่งที่รอฤดูกาลได้”
“ลุงเข้าใจ เห็นใจ ชานนท์ก็เหมือนหลานคนหนึ่งของลุง”
“คุณลุงพอจะหาพรานพื้นเมืองฝีมือดี ช่วยนำทางเข้าไปค้นหาพี่ชานนท์ได้ไหมคะ” หญิงสาวถามด้วยน้ำเสียงปนวิงวอน
“แค่ได้ยินว่าเป็นผืนป่าอาถรรพ์ทางด้านทิศตะวันตก แค่รู้ว่าที่ซึ่งจะไปตามหา คือสุสานสาละวินที่มีความลึกลับให้ร่ำลือกันไม่จบไม่สิ้น…แค่นี้ก็หาคนนำทางยากแล้วหละหนู”
ลุงพิทยาตอบด้วยคำตอบที่แทบทำให้พริมหมดหวัง
“ผืนป่าอาถรรพ์?”
หญิงสาวรำพึงเบาๆอีกครั้ง รู้สึกถึงสายลมเย็นที่พัดมาบาดผิว วาบเข้าไปถึงขั้วหัวใจ ทอดสายตาประหวั่น ความหวาดกลัวจู่โจมเข้าสู่หัวใจดวงน้อยของเธอทันที
ดวงตาคู่คม มองผ่านริ้วเมฆบางๆที่ลอยปลิวผ่านหน้า ไปยังผืนป่าดงดิบเบื้องหน้า ป่าที่เขียวครึ้ม อึมครึม ลึกลับ เต็มไปด้วยความไม่รู้ และความไม่รู้นั้นเอง…ที่กลายเป็นความกลัว ถมทับกันอยู่ในราวไพรอันกว้างใหญ่ไพศาลแห่งนี้
หญิงสาวใจหาย เมื่อรู้สึกว่าช่องทางที่กำลังจะเข้าไปช่วยเหลือพี่ชายร่วมสายโลหิต กำลังตีบตันและคับแคบลงทุกที
“ไม่มีหนทางเลยหรือคะ...คุณลุง”
หญิงสาวเค้นน้ำเสียงถามอีกครั้ง
ชายสูงวัยหันมามองหน้าลูกสาวของเพื่อนรักด้วยความสงสาร
“การจะเดินเท้าเข้าไปในสาละวิน ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ หากไม่ชำนาญป่าจริงๆ ขนาดพรานป่าที่ว่ามากประสบการณ์ ก็เอาชีวิตไปทิ้งไว้ในป่าแถบนั้นมาแล้วนับรายไม่ถ้วน”
“หนูยอมจ่ายค่าจ้างไม่อั้น...สำหรับคนที่กล้ารับงานนี้ ช่วยพี่ชายหนูด้วยนะคะลุง” หญิงสาวยกมือไหว้ วิงวอนเสียงสั่นพร่า หยาดน้ำตาใสๆ เอ่อท้นท่วมดวงตาคมที่ล้อมกรอบเอาไว้ด้วยแพขนตางอนระยับ ที่กำลังขยับกระพริบถี่ๆ ไล่หยาดน้ำตาไม่ให้รินไหล
ชายวัยกลางคนมองดวงตาดำๆของหลานสาวด้วยความสงสาร
“ปัญหาไม่ได้อยู่ที่ค่าจ้างค่าแรง...แต่ปัญหาอยู่ที่ไม่มีใครกล้ารับงานตะหาก”
“ช่วยด้วยเถอะค่ะคุณลุง”
หญิงสาวรบเร้า
“อืม!...แต่ว่ามีอยู่คนหนึ่ง”
คุณพิทยาหยุดชั่วขณะสั้นๆ แววตาวาวเหมือนเพิ่งนึกบางอย่างขึ้นมาได้กะทันหัน
“ใครกันคะลุง”
หญิงสาวละล่ำละลักถามด้วยความดีใจ
“นายเปลว” คุณพิทยากล่าว
เขาหมายถึงนาย ‘เปลวฆวัจน์’ พรานชำนาญป่าที่หลายคนรู้จักชื่อเสียงของเขาดี
เปลวเคยเป็นอดีตเจ้าพนักงานป่าไม้ กองอุทยานแห่งชาติสาละวิน อดีตลูกน้องเก่าที่คุณพิทยาเคยรู้จักมักคุ้นกันเป็นอย่างดี
“นายเปลวคนนี้เป็นใครกันคะ?”
หญิงสาวเชยใบหน้าหวานขึ้นถาม แพขนตางอนระยับที่ล้อมกรอบให้กับดวงตาสุกใส ขยับเบาๆ ถามอย่างให้ความสนใจ
“เรื่องมันยาว...เดี๋ยวลงไปถึงบ้านพักแล้วลุงจะเล่าให้ฟัง ว่าแต่ตอนนี้เย็นมากแล้ว กลับลงข้างล่างกันก่อนดีกว่า ผืนป่าเทือกนี้เอาแน่เอานอนกับมันไม่ค่อยได้ บางครั้งที่เห็นว่าแดดจ้า ชั่วกระพริบตามันก็หนาวครึ้มขึ้นมาอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย ป่าที่ยิ่งดิบชื้นมากเท่าไร มนต์ไพรมันก็ยิ่งแรงตาม”
‘มนต์ไพร?...’ เป็นอีกคำศัพท์ใหม่ ที่ทำให้คิ้วโค้งราวคันเคียวของหญิงสาวต้องขมวดมุ่นเข้าหากันด้วยความสงสัย
ครู่เดียว รถจี๊บวิลลี่ เครื่องยนต์ดีเซล LD20 สีเขียวเทา ขับเคลื่อนสี่ล้อ ของคุณพิทยา ก็วาดวงเลี้ยวออกมาจากชะง่อนผาที่พาหญิงสาวไปหยุดยืนมองผืนป่าเบื้องล่าง ดอกยางหยาบใหญ่จากซุ้มล้อที่ยกสูง ตะกุยถนนที่ราดโรยเอาไว้ด้วยก้อนกรวดหลวมๆจนเศษหินและใบหญ้าขาดวิ่น กระเด็นไปตามแรงเหวี่ยงจากวงล้อ
แม้เส้นทางจะเต็มไปด้วยหลุมบ่อ และโค้งเขาที่คดเคี้ยวน่าหวาดเสียว แต่สำหรับคนที่ใช้ชีวิตคลุกคลีอยู่กับป่ามากว่าค่อนชีวิต ด้วยหน้าที่การงานที่ทำให้ต้องวนเวียนอยู่กับสาละวิน ก็ทำให้ชายวัยกลางคนสามารถบังคับพาหนะได้อย่างแคล่วคล่อง ทะลุปรุโปร่งกับเส้นทาง กระทั่งพาหญิงสาวที่บากบั่นมาขอความช่วยเหลือ ลงจากดอยแม่สะเรียง สู่พื้นราบเบื้องล่างได้อย่างปลอดภัย
หลังจากใช้เวลานั่งคุยกันอีกพักใหญ่ คุณพิทยาก็เดินมาส่งหญิงสาวที่หน้าประตูบ้าน
“เอานามบัตรใบนี้ไป”
ก่อนจากกันวันนั้น ลุงพิทยาควักกระเป๋าสตางค์ออกมา ค้นเจอนามบัตรใบหนึ่ง เก่าซีดจนมุมทั้งสี่ด้านของมันแหว่งวิ่น เพราะเบียดยัดอยู่ในกระเป๋าสตางค์มานาน
นามบัตรซึ่งชายหนุ่มชื่อเปลวเคยให้ไว้เมื่อนานมาแล้ว
“ขอบคุณค่ะคุณลุง”
หญิงสาวเอื้อมมือรับด้วยรอยยิ้มรื่น แววตาฉายประกายความหวังขึ้นมาอีกครั้ง ใบหน้าของชานนท์ผู้เป็นพี่ชายผุดพรายขึ้นในมโนภาพที่เกือบเลือนลางสิ้นหวังกับสุสานสาละวินที่ฟังดูแล้วชวนให้ขนลุกขนพอง
“เขาอาจจะไม่เหมือนผู้ชายคนอื่นๆ” คุณพิทยาอมยิ้ม เมื่อกล่าวถึงเปลว
“ไม่เหมือนยังไงคะ?” หญิงสาวช้อนใบหน้าชดช้อยขึ้นถาม
“นายเปลวคนนี้ค่อนข้างเก็บตัว มีความเป็นตัวเองสูง ไม่ค่อยชอบสังคม รักความสันโดด เป็นคนมุทะลุดุดัน ใจนักเลง ขวานผ่าซาก อาจจะเข้าใจยากในบางครั้ง แต่ลุงรับรองว่าปากมันตรงกับใจ และที่สำคัญ…จิตใจมันกว้างเหมือนผืนป่า มันเป็นพรานก็จริง...แต่รับรองว่ามันไม่เหมือนกับพรานคนอื่นๆที่หนุเคยได้ยิน และที่สำคัญ...ความรอบรู้เรื่องป่าและหัวใจที่กล้าหาญของผู้ชายคนนี้ จะพาหนูบุกบั่นไปถึงสุสานสาละวินได้”
ลุงพิทยากล่าวอย่างคนที่รู้จัก…และรู้จริงเกี่ยวกับนายเปลวฆวัจน์คนนี้
แต่ยังมีอีกอย่างที่คุณพิทยาลืมบอกกับหลานสาว ถึงนิสัยของนายเปลวคนนี้ ก็คือความเจ้าชู้
“คุณลุงมั่นใจนะคะ…ว่านายเปลวคนนี้ จะนำทางคณะค้นหาเข้าไปถึงสุสานสาละวินได้”
หญิงสาวถาม น้ำเสียงนั้นต้องการคำยืนยันให้มั่นใจ
“ลุงมั่นใจว่านายเปลวคนนี้…จะพาคณะค้นหาไปถึง……”
คุณพิทยากล่าวด้วยน้ำเสียงเชื่อมั่น ทว่าทิ้งบางประโคยที่ไม่ควรจะกล่าวออกมาเอาไว้เบื้องหลัง
ประโยคที่ว่า ‘ไปถึงก็จริง...แต่จะได้กลับออกมาหรือไม่ นั่นก็สุดแท้แต่โชคชะตาจะลิขิต’ แต่คุณพิทยาก็ไม่ได้กล่าวประโยคนี้ออกมา เพราะเกรงว่าจะพาลทำให้