บทที่ 13 ย้ายเข้ามาอยู่โรงเก็บของ
แสงแดดยามเที่ยงสะท้อนผิวน้ำที่ไหลเอื่อย ๆ รอบข้างล้อมรอบด้วยต้นไม้เขียวขจี ดารินนั่งตรงข้ามกับโจฮัน ชายหนุ่มที่ดูเหมือนจะสุขุมและอ่อนโยน แต่หญิงสาวพยายามกลั้นความอึดอัดใจอย่างเต็มที่ นัยน์ตาสีน้ำผึ้งมองไปที่จานอาหารตรงหน้าอย่างไร้ความอยาก
“ทานข้าวสิ เธอยังไม่ได้ทานอะไรมาใช่ไหม”
โจฮันพูดด้วยน้ำเสียงที่นุ่มนวล ส่วนคนตัวเล็กฝืนยิ้มตอบ
“กินแล้วค่ะ ไม่รบกวน”
แต่โจฮันกลับยิ้มอ่อนโยนแล้วดันจานอาหารเข้าไปหาเธออีก
“งั้นลองกินขนมสิ เขาว่ากันว่ากินคาวไม่กินหวานสันดานทาสไหม”
“ไพร่ค่ะ”
เสียงหวานตอบ ส่งสายตาดุ ๆ ไปหาโจฮัน ซึ่งนั่นก็ทำให้เขาชอบใจ
“งั้นผมไม่เกรงใจนะ จะกินละนะ”
ในขณะที่โจฮันกำลังจะตักอาหารเข้าปาก ก็มีเสียงฝีเท้าดังขึ้นข้างหลัง พร้อมกับผู้เป็นพี่ชายที่คุ้นเคย ปรากฏตัวขึ้นอย่างไร้เสียง เขามองไปที่หญิงสาวด้วยแววตาที่นิ่งเฉย ก่อนจะพูดกับผู้เป็นน้องชายว่า
“คุณย่าให้มาตาม บอกว่ามีเรื่องจะคุยด้วย”
โจฮันชะงักไปเล็กน้อย ก่อนจะหุบยิ้ม ลุกขึ้นทันที จากนั้นเขาเหลือบมองลินดาด้วยสายตาที่เสียดายเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนจะเดินออกไปจากโต๊ะ
“งั้นวันหลังแล้วกันนะ”
เมื่อผู้เป็นน้องชายจากไป โจชัวก็นั่งลงแทนที่ มองเธอด้วยสายตาเย็นชา แววตาคู่นั้นทำให้ดารินรู้สึกเหมือนถูกแช่แข็งไปถึงหัวใจ ร่างกายของเธอก็รู้สึกเกร็งโดยไม่รู้ตัว
‘ทำไมผู้ชายคนนี้น่ากลัวแบบนี้นะ’
หญิงสาวคิดในใจแต่ไม่ได้เอ่ยออกมา
“มีอะไรติดใจนักหรือไง ใกล้ถึงเวลาทำงานแล้วยังไม่กระเตื้องไปทำงานอีก”
ปากหนาเอ่ยขึ้น น้ำเสียงเย็นเฉียบปนด้วยความไม่พอใจ
คนตัวเล็กเม้มริมฝีปากแน่น ไม่รู้จะตอบเขาว่าอย่างไร แววตาของเขาทำให้เธอรู้สึกอึดอัดใจอย่างน่าประหลาด แต่ก็ไม่รู้จะหาคำใดเพื่อที่จะอธิบายกับเขา ในเมื่อทุกอย่างมันอยู่ที่การตัดสินใจของคนตรงหน้า ไม่ว่าเธอจะถูกหรือจะผิด จะอยู่หรือจะตาย ผู้ชายคนนี้ล้วนเป็นผู้ตัดสิน
ดารินนั่งอยู่ตรงข้ามกับโจชัว สายตาของเขาจ้องมองมาที่เธอด้วยสายตาที่ลึกลับ เขาดูสงบนิ่ง ราวกับว่ากุมทุกอย่างไว้ในมือ
เจ้าของใบหน้าสวยรวบรวมความกล้า สูดลมหายใจเข้าลึก ๆ ก่อนจะเอ่ยถามคนตรงหน้าด้วยเสียงที่สั่นเบา ๆ
“คุณ...จะคืนกำไลข้อมือให้ฉันได้ไหมคะ?”
หญิงสาวใจดีสู้เสื้อเพราะสิ่งนั้นเป็นสิ่งสำคัญ บางที่อาจจะฟื้นความทรงจำได้เร็วขึ้น
คุณชายตระกูลดังกระตุกยิ้มเยาะในมุมปาก ดวงตาของเขาฉายแววเจ้าเล่ห์เพียงครู่เดียว
“กินอาหารตรงหน้าให้หมดก่อนสิ แล้วเราค่อยว่ากัน”
เสียงทุ้มเอ่ย เขารู้ว่าเธอทานข้าวมาแล้ว หากทานเข้าไปคงจะจุกและทรมาน นั่นเป็นวิธีที่จะสร้างบาดแผลในใจของเธอ อยู่ที่นี่จะไม่ได้มีวันสงบสุข เพราะหญิงสาวตรงหน้าเป็นคนพรากชีวิตน้องสาวของเขาไป
ดวงตาคู่สวยมองจานอาหารตรงหน้า แม้จะอิ่มเต็มทน แต่ก็ไม่มีทางเลือก มือเล็กหยิบช้อนแล้วก้มหน้าก้มตาฝืนกินคำแล้วคำเล่า จนร็สึกว่าลำคอเริ่มจุก มือที่ถือช้อนเริ่มสั่นเล็กน้อย ราวกับว่ามันไม่สามารถพยุงอาหารคำต่อไปได้อีกแล้ว
แต่เมื่อใบหน้างามเงยขึ้นมามองคนตรงหน้า เขายังคงมีใบหน้าที่ราบเรียบเฉกเช่นเดิม มองเธอด้วยสายตาที่พอใจ เหมือนกำลังเฝ้ามองเหยื่อที่ถูกต้อนให้จนมุม
เมื่อคุณหนูตระกูลดังฝืนกินจนแทบจะอาเจียน เธฮก็วางช้อนลงอย่างเหนื่อยล้า หวังว่าเขาจะเห็นใจและคืนกำไลข้อมือให้สักที ทว่าชายหนุ่มกลับเพียงเอนตัวไปทางด้านหลัง พร้อมกับพูดว่า
“กำไลน่ะ...จะคืนให้ก็ได้” เขาพูดเสียงเรียบแต่เต็มไปด้วยเงื่อนไข “แต่เธอต้องเชื่อฟังทุกอย่างเข้าใจไหม”
ลินดามองเขาด้วยแววตาที่ทั้งหวาดหวั่นและไม่พอใจ แต่ก็ไม่อาจขัดขืน คนตัวเล็กจำต้องยอมพยักหน้าช้า ๆ ทั้งที่รู้ว่าคำตอบนี้จะเปลี่ยนแปลงชีวิตของเธอไปอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยง
“ปฏิเสธได้ด้วยเหรอคะ”
เรียวปากสีหวานพูดเสียงแผ่ว
“ว่าไงนะ”
โจชัวทวนถาม
“เปล่าค่ะ”
“งั้นเริ่มตอนนี้เลย หลังจากเลิกงานเก็บของย้ายมาอยู๋ที่คฤหาสน์ซะ”
ชายหนุ่มพูดเสียงเรียบ โดยไม่แม้แต่จะมองใบหน้าเธอ
ดารินเบิกตากว้างด้วยความตกใจ
“ย้าย...ทำไมต้องให้ฉันย้ายไปอยู่ที่นั่นล่ะคะ?”
โจชัวยิ้มมุมปาก ดวงตาของชายหนุ่มเปี่ยมด้วยความเย้ยหยันบางเบา
“เพราะเธอต้องไปรับใช้คุณหญิง คุณย่า แล้วก็ญาติ ๆ ของฉันในตอนกลางคืน แค่นี้ไม่มากเกินไปหรอก สำหรับคนอย่างเธอ”
น้ำเสียงของเขาแฝงความเย็นชาและไร้เยื่อใยอย่างเห็นได้ชัดจนทำให้ดารินรู้สึกอึดอัดกับสายตาและน้ำเสียงบีบคั้นของเขา ทว่าหัวใจของคนตัวเล็กกลับไม่ยอมถอย เรียวปากสีหวานถามกลับอย่างอดกลั้น
“แล้ว...ห้องนอนของฉันล่ะคะ ถ้าให้ฉันมาอยู่ทั้งคืนกลางคืน ฉันต้องเดินกลับไปนอนที่เรือนคนใช้ มันไกลเกินไปค่ะ”
โจชัวเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะตอบด้วยรอยยิ้มที่ดูเยือกเย็น
“โรงเก็บของข้างคฤหาสน์น่ะ คงเหมาะกับเธอดีแล้ว ห้องที่ไม่มีใครเข้าไปทำความสะอาดหลายปี เธอน่าจะชอบนะ”
ดารินเหมือนถูกฟาดด้วยคำพูดของเขา เธอพยายามกลั้นใจไม่ให้น้ำตาเอ่อล้นออกมา ในใจของคนตัวเล็กกลับยิ่งรู้สึกบาดหมาง เหมือนมีบางสิ่งแหลมคมทิ่มแทงใจเธอทุกครั้ง ที่คนตรงหน้าพูด การที่เขาสั่งให้เธอมานอนในโรงเก็บของเก่า ๆ ใช้งานทั้งวันทั้งคืนโดยไม่ได้พัก ทำเหมือนเธอเป็นทาส มันเป็นการจงใจที่จะกลั่นแกล้งชัด ๆ ไม่ใช่หรือ
เจ้าของใบหน้าสวยรู้สึกถึงความคับแค้นและความบาดหมางที่กำลังซึมลึกในใจ เพียงชั่วพริบตาเธอก็จ้องคนตรงหน้าด้วยแววตาที่แข็งกร้าว ก่อนจะหุบตาต่ำลงเมื่อนึกถึงสถานะของตน
ความเงียบที่ริมธารกลายเป็นพยานของความเจ็บปวดและความ
กดขี่ที่เธอต้องเผชิญ ทว่าอีกใจหนึ่งก็เต็มไปด้วยแรงขับเคลื่อน เธอจะไม่ยอมแพ้ แม้ว่าจะต้องอยู่ในคฤหาสน์แห่งนี้ รอฟื้นคืนความทรงจำได้เมื่อไหร่ ดารินจะไปจากที่นี่อย่างแน่นอน
เวลา 18.00 น.
ยามเย็นที่เงียบสงบกลับกลายเป็นช่วงเวลาที่หนาวเหน็บ มือบางเอื้อมไปเปิดประตูเข้าไปในโรงเก็บของเก่า ๆ ข้างคฤหาสน์เพมเบอร์ตัน ภายในนั้นอัดแน่นไปด้วยกลิ่นฝุ่นและความเย็นชื้น หญิงสาวกระชับกระเป๋าใบเล็กที่ติดตัวมาแนบแน่นไว้กับตัว
ทว่าเพียงก้าวแรกที่เหยียบเข้ามาเธอก็จามออกมาทันที เพราะฝุ่นหนาจับตามมุมห้อง เหมือนกับว่าที่นี่ไม่เคยมีใครเข้ามาทำความสะอาดมาเป็นเวลานาน
นัยน์ตาสีน้ำผึ้งกวาดมองไปรอบ ๆ ที่ห้องแคบ ๆ ในโรงเก็บของ ที่เต็มไปด้วยกล่องเก่า โต๊ะเก่า ๆ และเศษไม้ที่กองอยู่ในมุมหนึ่ง มีเพียงพื้นที่เล็ก ๆ ที่พอจะปัดฝุ่นออกได้ สำหรับการปูฟูกนอนสำหรับคืนนี้
“เฮ้อ”
คนตัวเล็กถอนหายใจ หัวใจของเธอหนักอึ้ง รู้สึกถึงความแค้นและความเจ็บใจปะทุขึ้นมาอีกครั้ง ภาพของโจชัวผุดเข้ามาในหัวของเธอ คำพูดของเขา ใบหน้าของเขา ดวงตาเย็นชาและคำพูดร้าย ๆ ที่ออกมาจากปากของเขานั้นยังคงก้องอยู่ในใจ
ทำไมเขาถึงทำแบบนี้กับเธอ? หรือผู้ชายคนนั้นจงเกลียดจงชังเธอเพียงเพราะเหตุผลบางอย่างที่เธอไม่รู้
“นี่คือที่ที่เขาให้ฉันอยู่...”
ดารินพึมพำกับตัวเองเบา ๆ น้ำเสียงแฝงความคับแค้นใจ คนตัวเล็กไม่รู้ว่าทำไมผู้ชายหน้าตายคนนั้นถึงต้องการกลั่นแกล้งเธอขนาดนี้ เหมือนเขาต้องการทำให้หญิงสาวรู้สึกต่ำต้อย ราวกับว่าเป็นแค่เศษธุลีในชีวิตของเขา
คุณหนูตระกูลดังสูดลมหายใจลึก กัดฟันแน่น แม้ความรู้สึกในใจจะบอกให้เธอหนีไปจากสถานที่แห่งนี้ แต่ไม่รู้ว่าจะไปที่ไหน เงินก็ไม่มีติดตัวซักบาท
“เฮ้อ”
มือเรียววางกระเป๋าลง ถอนหายใจอีกครั้ง จากนั้นค่อย ๆ ปัดฝุ่นบนพื้นออกทีละน้อย ตระเตรียมพื้นที่เล็ก ๆ สำหรับการนอนพักผ่อนที่อาจจะไม่สบาย แต่เธอเองตั้งใจว่าจะผ่านมันไปให้ได้