บทที่ 12 เปิดตัวพระรอง
ณ สวนทิวลิป
ในช่วงเช้าตอนสาย ๆ ของวัน อันเงียบสงบ สวนทิวลิปที่กว้างขวางกำลังบานสะพรั่งไปด้วยสีสันละลานตา แสงแดดจ้าสลับกับแสงแดดอ่อน ๆ ทอประกายลงมากระทบกับกลีบของดอกทิวลิป ที่พลิ้วไหวเบา ๆ ไปตามแรงลม
โจฮันอยู่ในชุดไปรเวท กางเกงผ้าฮานาโกะสีดำ เสื้อยืดสีขาว การแต่งตัวที่แสนจะธรรมดา แต่ไม่ได้ทำให้ความหล่อเหลาลดลงเลยแม้แต่น้อย ถึงชายหนุ่มจะเป็นลูกครึ่งทว่ากลับมีเส้นผมสีดำหมือนผู้เป็นมารดา เส้นผมสีดำของเขาดูเงางามสะท้อนไปกับแสงอาทิตย์
ใบหน้าที่หล่อเหลามีรอยยิ้มบาง ๆ ผุดขึ้นมาบนใบหน้าเมื่อเขาสูดลมหายใจรับกลิ่นหอมอ่อน ๆ ที่อบอวลอยู่รอบตัว
ระหว่างที่เขาเดินลึกเข้าไปในสวนทิวลิป สายตาของโจฮันก็ไปสะดุดกับหญิงสาวคนหนึ่งที่กำลังทำงานอยู่ในแปลงดอกไม้ เธอกำลังโน้มตัวลงจัดเรียงทิวลิปด้วยความประณีต ใบหน้าของเธอสวยงามราวกับเทพธิดา ผิวของเธอขาวนวลตัดกับผมยาวสลวยที่ปลิวไปตามลม
แววตาของเธอเป็นประกายอ่อนโยนเต็มไปด้วยความสุข บางครั้งก็สลับกับความสับสน และหน้ามุ่ย ท่าทางต่าง ๆ ที่ดารินแสดงออกมาอย่างไม่รู้ตัว แต่กลับดึงดูดสายตาของโจฮันอย่างน่าประหลาด
“สวัสดีครับนายน้อย”
เสียงของชายวัย 50 กล่าวทักทายโจฮันด้วยน้ำเสียงที่นิ่มนวล
“นั่นใครเหรอ ทำไมถึงมาทำงานสวน ทั้ง ๆ ที่เป็นหน้าที่ของผู้ชาย”
ชายหนุ่มถามด้วยความสงสัย เพราะเขาพึ่งมาอยู่เมืองไทย ปีที่แล้วก็ไม่เห็นผู้หญิงคนนี้ อีกอย่างผิวพรรณ และหน้าตาของเธอไม่เหมือนคนงานที่ทำงานสวนเลยด้วยซ้ำไป
“เห็นหลาย ๆ คนบอกว่าเป็นหลานป้าสาครับ ชื่อลินดา มาทำงานได้ไม่ถึงสัปดาห์ก็ทะเลาะกับแม่บ้าน ขโมยของของคุณโจลีน ถึงถูกทำโทษมาที่นี่ครับ”
“งั้นเหรอ ปกติขโมยของต้องไล่ออก ทำไมพี่โจชัวถึงเก็บเอาไว้ล่ะ”
คำตอบที่คนสวนตอบมา โจฮันเองกลับรู้สึกประหลาดใจ แสดงว่าผู้หญิงคนนี้ต้องมีความสำคัญอะไรบางอย่าง เพราะตั้งแต่ที่เขาร็จักผู้เป็นพี่ชายมา ไม่เคยมีครั้งไหนที่จะอภัยคนที่ขโมยของ ยิ่งเป็นของน้องสาวของเขาแล้ว โจชัวไม่มีทางเก็บไว้แน่
“อาจจะเป็นเพราะป้าสาก็ได้ครับ ป้าสาเป็นหัวหน้าแม่บ้านเก่าแก่ คุณโจชัวอาจจะเห็นแก่ป้าก็ได้”
“โอเค งั้นตอนเที่ยงเรียกเธอมาพบผมที่สวนริมน้ำหน่อย ผมอยากทำความรู้จักกับเธอ เดี๋ยวผมให้แม่บ้านเตรียมอาหารเที่ยงก่อน จากนั้นให้ยกมาที่สวนริมน้ำเลย”
“ครับถ้าอย่างนั้นผมทำงานต่อนะครับ”
โจฮันพยักหน้าเบา ๆ แทนคำตอบ สายตาของเขาก็ยืนมองเธอต่อ ราวกับตกอยู่ในภวังค์ เสียงหัวใจของชายหนุ่มเต้นแรงขึ้นโดยไม่รู้ตัว เหมือนกับว่าการได้เห็นเธอในสวนทิวลิปนี้ทำให้เขาไม่อาจละสายตาไปจากเธอได้
อีกด้าน
ก๊อก ๆ
เสียงเคาะประตูเบา ๆ ดังขึ้นขณะที่โจชัวกำลังนั่งทำงานอยู่บนเก้าอี้ เจ้าของใบหน้าหล่อเหลามองไปที่ประตูกระจกใส จากนั้นพูกับเลขาคนสนิทออกมาว่า
“เข้ามา”
สิ้นเสียงของคนตัวสูง หมิงก็ก้าวเข้ามาภายในห้องทำงานหรูทันที ดวงตาคมเข้มของเขาเงยขึ้นมองเลขาคนสนิท ใบหน้ายังคงเรียบนิ่งเช่นเดิม
“คุณโจชัวครับ ญาติของคุณกับคุณยายที่มาจากในเมือง ถึงคฤหาสน์เพมเบอร์ตันแล้วครับ”
หมิงรายงานด้วยน้ำเสียงที่นุ่มนวล
“จัดการที่พักหรือยัง อาหารกลางวันล่ะ”
“เรียบร้อยครับ”
“ดี อย่าให้พวกท่านเรียกหาล่ะ อำนวยความสะดวกให้พวกท่านด้วย ฉันต้องเคลียร์งานที่บริษัทก่อน อีกไม่เยอะแล้วล่ะ แล้วนี่โจฮันไปไหน”
“เห็นคนงานในสวนมาแจ้งเมื่อสักครู่นี้ครับ น้องชายของคุณโจชัวนัดพบคุณลินดาที่สวนริมน้ำครับ เห็นว่าจะให้เธอทานข้าวกลางวันด้วย”
เพียงชั่วพริบตา ดวงตาของชายหนุ่มกลับแข็งกร้าวขึ้น ไม่รู้ว่าน้องชายของเขาไปสานความสัมพันธ์กับผู้หญิงคนนี้ตั้งแต่ตอนไหน หากน้องชายของเขาชอบขึ้นมาจริง ๆ ทั้งตระกูลคงจะรับไม่ได้ เพราะเธอคือคนฆ่าโจลีน
“หึ เจ้านั่นคงจะไม่คิดจะเอาจริงหรอกมั้ง”
โจชัวเอนหลังบนเก้าอี้ ครุ่นคิดชั่วครู๋ ก่อนจะลุกขึ้นยืนอย่างมั่นใจ
“งั้นฉันจะไปพบคุณย่า คุณยายก่อน แล้วจะไปดูมัน
สักหน่อย”
ณ สวนริมน้ำ เวลาเที่ยง
ดารินเดินหน้าบูดบึ้ง มือหนึ่งยกขึ้นมาปาดเหงื่อเม็ดเล็กที่ซึมผุดมายังหน้าผาก จากนั้นเดินมาพักใต้ต้นไม้ใหญ่ที่อยู่ใกล้กับสวนริมน้ำ ทันทีที่เธอหย่อนก้นนั่ง คนตัวเล็กก็ถอดหมวกสานไว้ทางด้านข้าง ก่อนจะใช้มือเปิดปิ่นโตเพื่อทานข้าวกลางวัน
แม้งานสวนที่ทำจะตากแดดทั้งวันจะเหนื่อยแค่ไหน สำหรับหญิงสาวมันยังดีกว่าการไปเป็นแม่บ้านที่คฤหาสน์เพมเบอร?ตัน ชีวิตที่นี่มันสงบสุขมากกว่า และการที่ได้มานั่งทานข้าวที่ริมธารแบบนี้ มันทำให้ผ่อนคลายจากความเมื่อยล้าได้บ้าง
ไม่ถึงสิบนาที ข้าวที่อยู่ในปิ่นโตก็หมดเกลี้ยง ทุกอย่างเข้าไปอยู่ในกระเพาะน้อย ๆ ของดารินจนหมด จากนั้นเจ้าของใบหน้าสวยเอนกายลงพิงต้นไม้ใหญ่
ขณะที่คนตัวเล็กนั่งพัก เริ่มคิดไปถึงชายหนุ่มที่มานัดหมายช่วงเที่ยงวันนี้ ผู้ชายที่เธอต้องไปพบเป็นน้องชายของโจชัว ผู้ชาย
หน้าบึ้งตลอดเวลาคนนั้น ไม่รู้ว่าสองพี่น้องจะมีแผนอะไรหรือเปล่า เพราะดูท่าทางคนเป็นพี่จะเกลียดเธอมาก ซึ่งดารินไม่ใช่คนโง่ที่จะดูไม่ออกว่าใครชอบหรือไม่ชอบ
ด้วยสาเหตุนี้ ดารินเลือกที่จะไม่ไป สู้เอาเวลามานอนพักเอาแรงดีกว่า ช่วงบ่ายต้องทำงานอีก
เป็นเวลาไม่ถึง 5 นาที
ดารินผล็อยหลับไปใต้ร่มเงาไม้ใหญ่ข้างริมธาร น้ำใสสะท้อนแสงแดดวิบวับ ทำให้บรรยากาศโดยรอบที่เงียบสงบเหมือนเป็นดินแดนแห่งความฝัน
ระหว่างนั้น โจฮันกำลังเดินตามหาร่างเล็กอยู่ เนื่องจากได้นัดเอาไว้ รอเป็น 20 นาทีแล้ว กลับไม่เห็นแม้แต่เงา
ทันทีที่เห็นร่างบางนอนนิ่งพิงต้นไม้อยู่ เขายิ้มกว้างออกมา เพราะสีหน้าตอนเธอหลับมันน่ารักเหมือนเด็กคนหนึ่ง
โจฮันค่อย ๆ เดินย่องเข้ามาอย่างระมัดระวัง หันไปด้านข้างเด็ดดอกหญ้าปล้องข้างทาง ยกมันขึ้นมาสะกิดแก้มนุ่มเบา ๆ ด้วยความขี้เล่น
“เฮ้ ! ตื่นได้แล้วครับคุณ”
ดารินสะดุ้งตื่น ลืมตาพรวดขึ้นมาอย่างงง ๆ พอเห็นใบหน้าหล่อเหลาตรงหน้า มีความคล้ายโจชัวอยู่บ้าง เธอถึงกับตกใจ ถีบเขาไปเต็มแรง จนเจ้าของร่างสูงโปร่งผงะถอยหลังไปนั่งหงายเงิบอยู่
กับพื้น
“โอ้ย ! โหแรงเกินไปหรือเปล่าครับ?”
ชายหนุ่มร้องขึ้นพลางใช้มือปัดรอยรองเท้าเปื้อนดิน ประทับอยู่ที่เสื้อสีขาวผ่องของเขา แต่คุณชายตระกูลดังกลับไม่โกรธ ดวงตาของเขายังแฝงแววขี้เล่นเหมือนเดิม
“ขอโทษค่ะ พอดี ฉันคิดว่า...คิดว่า...”
ดารินอ้ำอึ้ง เพราะภาพที่อยู่ในฝันเมื่อครู่ มันเป็นรถคันหนึ่งตั้งใจพุ่งชนเธอ มันเป็นเพียงความฝันแต่ดูเหมือนจริง
“คิดว่าผมเป็นโจรหรือยังไงกันครับ?”
เขายิ้มกรุ้มกริ่ม ลุกขึ้นปัดฝุ่นออกจากเสื้อ แล้วจ้องมองเธอด้วยสายตาที่ล้อเลียน
“แต่เอาเถอะ ถือว่าแลกกับการให้คุณไปนั่งกินข้าวกับผมวันนี้ก็แล้วกัน ผมจะไม่เอาเรื่อง ได้ไหม”
ดารินที่ได้ยินถอยหลังไปหนึ่งก้าวอย่างหวาดระแวง คนพวกนี้ต้องการอะไรจากเธออีก
“ไปนั่งกินข้าวเที่ยงกัยเถอะ”
ชายหนุ่มคะยั้นคะยอ ไม่รอให้คนตัวเล็กปฏิเสธ คว้าข้อมือของเธออย่างมั่นคง หญิงสาวพยายามแกะมือออก แต่เขายิ่งจับแน่นขึ้น ดารินจึงจำใจตามเขาไป โยที่ทั้งคู่ไม่รู้เลยว่าอีกด้านมีสายตาที่เย็นชากำลังจับจ้องมองอยู่