บทที่ 19 คนดีที่ไม่คู่ควร
พัดชาค่อยๆ ก้าวเดินตามหาโจชัวไปทั่วบ้าน ทุกที่ที่เขามักจะไปเธอก็ไปหมดแล้ว แต่กลับไม่พบเขาเลย จนกระทั่งมาถึงหน้าห้องของ
โจลีน เธอหยุดอยู่ตรงนั้นเมื่อเห็นดารินวิ่งออกมาจากห้องด้วยใบหน้าตื่นตระหนกและเนื้อตัวที่สั่นสะท้าน
หญิงสาวเบิกตากว้างด้วยความสงสัย พลางคิดในใจว่าทำไมผู้หญิงคนนี้ถึงออกมาจากห้องนี้ได้
เมื่อร่างของดารินวิ่งหายไปในความมืดแล้ว มือเรียวจึงแง้มประตูเข้าไปอย่างระมัดระวัง ภายในห้องนั้น เธอเห็นโจชัวนั่งนิ่งอยู่ สภาพของเขาดูสับสนเล็กน้อย ท่อนบนเปลือยเปล่าแต่สติยังคงอยู่ครบถ้วน
หญิงสาวกำมือแน่น เธอไม่กล้าเข้าไปใกล้ โจชัวตอนนี้เหมือนมีอะไรบางอย่างที่น่ากลัวแผ่ออกมา และพัดชารู้ดีว่าก่อนหน้านี้ทั้งสองคนทำอะไรกัน และมันเกิดอะไรขึ้น
“ผู้หญิงคนนี้… ต้องกำจัดเธอออกไป…”
เสียงหวานพึมพำกับตัวเอง สายตาแข็งกร้าวพลางคิดแผนในใจเพื่อจัดการกับดารินที่ทำให้เธอหงุดหงิด ตั้งแต่เจอกันที่ป่า
อีกด้าน
ดารินกลับมาถึงห้องเล็กๆ ที่เธอพักในโรงไม้เก่า สภาพโทรมและเต็มไปด้วยฝุ่นแต่เธอกลับไม่สนใจอะไรเลย ความโกรธแค้นและเจ็บปวดท่วมท้นในใจจนควบคุมไม่อยู่ เธอพยายามถูริมฝีปากและเนื้อตัวอย่างบ้าคลั่ง ความรู้สึกอับอายและแค้นแน่นเต็มอกจนตัวสั่นสะท้านไปหมด
“โจชัว… ผู้ชายใจร้ายที่สุด…”
เรียวปากสีสวยกัดฟันพูดออกมา สะอื้นเงียบๆ ด้วยความโกรธ แต่ก็รู้ดีว่าตัวเองคงทำอะไรไม่ได้ คำพูดดูหมิ่นของเขายังก้องในหัว ทำให้หัวใจของเธอเจ็บลึกเข้าไปถึงข้างใน
ในที่สุด ดารินหมดแรงที่จะร้องไห้ เธอทรุดตัวลงบนที่นอนผุพัง น้ำตายังคงไหลออกมาไม่หยุด จนเธอผล็อยหลับไปท่ามกลางความเศร้า ความอับอาย และความโกรธที่กัดกินใจ
เช้าต่อมา
โจชัวยืนอยู่หน้ากระจกในห้อง เขามองเงาสะท้อนของตัวเองด้วยความรู้สึกที่สับสน ร่องรอยอ่อนล้าปรากฏบนใบหน้า พร้อมกับคำถามมากมายที่ผุดขึ้นมาในหัว
เมื่อคืน หลังจากที่เขากลับมาจากห้องของโจลีน สติทุกอย่างก็กลับมาเต็มร้อย ความคิดเกี่ยวกับสิ่งที่เขาได้ทำกับผู้หญิงร่างเล็กคนนั้นพุ่งเข้ามาในหัวเขาอย่างหนักหน่วง ความสัมพันธ์ที่เกินเลยซึ่งเขาบังคับเธอให้ยอมจำนน ภาพใบหน้าตื่นตระหนกของเธอยังคงติดตา ทำให้ใจเขารู้สึกถึงความผิดบาป
แต่อีกใจหนึ่ง คนตัวสูงกลับคิดว่ามันสมควรแล้ว เธอคือคนที่ทำให้โจลีน น้องสาวที่เขารักที่สุด ต้องจากไปอย่างไม่มีวันกลับ ความโกรธและแค้นที่สะสมมานานเป็นตัวขับเคลื่อนให้โจชัวทำลงไป แม้ว่าในตอนนี้ เขาจะรู้สึกขมขื่นแค่ไหนก็ตาม
“นี่แหละ… สิ่งที่เธอควรได้รับ”
เสียงทุ้มต่ำพึมพำกับตัวเอง เงยหน้ามองเงาสะท้อนในกระจก ราวกับจะยืนยันกับตัวเองว่าทุกอย่างมันสมควรแล้ว
ก๊อก ๆ !
เสียงเคาะประตูเบาๆ ดังขึ้น ทำให้เขาสะดุ้งจากความคิด สาวใช้เดินเข้ามาพร้อมกล่าวอย่างนอบน้อม
“คุณโจชัวคะ คุณย่า คุณยาย และคุณแม่ รอคุณที่โต๊ะอาหารค่ะ”
โจชัวนิ่งไปสักพัก ก่อนจะสลัดความคิดทั้งหมดนั้นออกจากหัว เขามองเงาของตัวเองในกระจกครั้งสุดท้าย ราวกับจะตัดขาดความรู้สึกที่กำลังถาโถมเข้ามา
“บอกพวกเขาว่าเดี๋ยวฉันจะลงไป”
เขาพูดเรียบๆ สายตาแฝงด้วยความเด็ดเดี่ยว แล้วหันหลังให้เงาในกระจก คิดว่าคงถึงเวลาที่ต้องฝังความรู้สึกเหล่านี้ไว้
สองขายาวเดินลงบันไดมาในชุดไปรเวทเรียบง่าย ท่าทางสุขุมเช่นทุกครั้ง แม้ในใจจะยังคงมีเงาของเหตุการณ์เมื่อคืนวนเวียน แต่เขาก็ปัดมันออกจากความคิดเมื่อมาถึงห้องอาหาร ชายหนุ่มจึงเดินตรงไปยังโต๊ะอาหารที่มีญาติๆ นั่งรออยู่ก่อนแล้ว
เมื่อโจชัวนั่งลงบนเก้าอี้ เขาพยักหน้าให้ทุกคนเป็นการทักทายสั้นๆ ก่อนจะเริ่มทานอาหารไปเงียบๆ พลางฟังการสนทนาของคนในครอบครัว จนกระทั่งคุณย่าหันมาพูดกับเขาด้วยน้ำเสียงอบอุ่น
“โจชัว พัดชาจะย้ายเข้ามาอยู่บ้านนี้ ย่าหวังว่าหนูจะช่วยดูแลน้องอย่างดีนะ”
ใบหน้าหล่อเหลาหยุดชะงักเล็กน้อย ก่อนจะตอบรับสั้นๆ
“ครับ”
โดยไม่แสดงสีหน้าอะไรมากนัก นัยน์ตาสีนิลเหลือบมองคุณย่า ก่อนจะสังเกตเห็นรอยยิ้มพึงพอใจที่ปรากฏบนใบหน้าท่าน
“แล้วก็… ย่าเองก็จะอยู่ที่นี่ประมาณหนึ่งเดือน”
คุณย่ากล่าวต่ออย่างสบาย ๆ
คำพูดนี้ทำให้โจชัวขมวดคิ้วโดยไม่รู้ตัว เขารู้ดีว่าการที่มีคนมาอยู่บ้านนี้มากขึ้นจะทำให้ความลับยากที่จะปกปิด โดยเฉพาะเรื่องของหญิงสาวตระกูลไพศาลคนนั้นที่เขาพาตัวมาและปิดบังไว้ จึงอดกังวลไม่ได้ว่าคุณย่าอาจสังเกตเห็นอะไรบางอย่าง
แต่โจชัวเก็บความกังวลไว้ในใจ ชายหนุ่มยังคงนั่งนิ่ง ไม่แสดงอาการใดๆ ออกมา เขาคิดว่าตอนนี้สิ่งที่ทำได้คือพยายามระมัดระวังและจัดการทุกอย่างให้อยู่ในมือของเขา
“คุณย่าคะ พัดขอไปนอนห้องของโจลีนได้ไหมคะ ที่ห้องนั้นมันนอนไม่สบายเลย”
พัดชาเองพูดขึ้นมาบ้าง คำขอของเธอทำให้บรรยากาศที่โต๊ะอาหารเงียบลงทันที
ใบหน้าคมเงยหน้าขึ้น ดวงตาคมกริบฉายแววไม่พอใจ
“ไม่ได้ครับ ห้องของโจลีนไม่ควรให้ใครใช้”
พัดชาหน้าตึงเล็กน้อย แต่พยายามยิ้มรักษาบทบาทของตัวเองไว้ ขณะที่คุณย่าหันมามองโจชัวเล็กน้อยด้วยความลังเล ก่อนจะพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงใจดี
“เอาล่ะ ถ้าอย่างนั้นพัดชามานอนกับย่าไหมคะ จะได้ไม่ต้องไปยุ่งกับห้องของโจลีน”
พัดชาหน้ามุ่ยอย่างเห็นได้ชัด เธอบ่ายเบี่ยงด้วยน้ำเสียงอ่อนหวาน
“เดี๋ยววันไหนนอนไม่หลับจะไปนอนกับคุณย่านะคะ ไหนๆ อีกไม่นานเราก็จะเป็นทองแผ่นเดียวกันแล้ว คุยกับคุณย่าเยอะๆ ก็ดีเหมือนกันค่ะ”
บรรยากาศเงียบลงอีกครั้งเมื่อพัดชาพูดถึงเรื่องการแต่งงาน คุณแม่ของโจชัวหันมายิ้มบางๆ แล้วเอ่ยกับพัดชา
“ถ้าอย่างนั้น บางวันกลับไปนอนที่บ้านในเมืองกับแม่นะลูก แม่เองก็อยากคุยด้วยเหมือนกัน”
พัดชายิ้มตอบอ่อนหวาน
“ได้ค่ะ คุณแม่”
เธอเหลือบมองโจชัวเล็กน้อย
ชายหนุ่มนั่งนิ่ง ใบหน้าของเขายังคงเรียบเฉย ไม่มีแววตื่นเต้นหรือยินดีใดๆ กับเรื่องการแต่งงาน สำหรับเขาแล้ว การแต่งงานครั้งนี้เป็นเพียงการเชื่อมโยงครอบครัวตามคำขอของคุณย่าและคุณแม่ ไม่ใช่สิ่งที่เขาต้องการจากใจ
หลังอาหาร คุณชายตระกูลดังผละออกมาเงียบๆ ขณะที่พัดชามองตามเขา รู้สึกถึงความห่างเหินที่เขามีต่อเธอชัดเจนขึ้นทุกทีหรือจะเป็นเพราะผู้หญิงในห้องของโจลีนคืนนั้น ที่ทำให้โจชัวต้องเปลี่ยนไป พัดชาพูดในใจแต่ไม่ได้พูดออกมา
ตอนเที่ยง
ดารินนั่งพักใต้ต้นไม้ใหญ่ต้นเดิม ข้าง ๆ ตัวเธอมีข้าวกล่องเล็กๆ และขวดน้ำหนึ่งขวดที่เธอพกติดมาด้วย วันนี้เหมือนทุกวัน
คนตัวเล็กนั่งกินอาหารเงียบๆ อย่างระมัดระวัง
ในตอนเช้าดารินแอบไปอาบน้ำที่ห้องของโจลีนอีกครั้ง โชคดีที่ไม่มีใครสังเกตเห็น ส่วนอาหารเช้าก็มีป้าสาคนดูแลในบ้านที่แอบนำมาให้เธออย่างเงียบ ๆ
สำหรับมื้อกลางวัน ดารินก็มีข้าวกล่องแจกสำหรับคนงานเป็นที่พึ่ง เธอต้องกินทีละน้อย ๆ เพราะต้องเหลือข้าวไว้สำหรับมื้อเย็น เธอรู้ดีว่าตัวเองทำได้แค่นี้เพื่อให้พอประทังชีวิตในแต่ละวัน เพราะเมื่อค่ำมา เธอไม่มีสิทธิ์เข้าไปขออาหารในบ้านหลังนั้นเหมือนใครอื่น
ในขณะที่ร่างเล็กเคี้ยวข้าวอย่างเงียบๆ เมื่อเสียงทักทายจากด้านหลังดังขึ้นเบา ๆ
“ทานข้าวอยู่เหรอครับ?”
ดวงหน้าสวยเงยหน้าขึ้นและพบว่าคนที่ทักทายเธอคือคุณหมอภู เขายิ้มอบอุ่นเหมือนทุกครั้งที่เจอกัน
“ค่ะ… แค่มื้อกลางวันนิดหน่อย”
ดารินตอบเขาด้วยน้ำเสียงเบา เธอรู้สึกเขินนิดๆ ที่ถูกพบในสภาพเรียบง่ายเช่นนี้
หมอภูมองกล่องข้าวเล็กๆ ที่เธอถืออยู่ ดวงตาของเขาฉายแววห่วงใย เขาเคยได้ยินมาว่าดารินอยู่ที่นี่ในฐานะที่ไม่ค่อยมั่นคงนัก และเขาก็แอบรู้สึกเป็นห่วงเธออยู่ในใจ
“ถ้ากินไม่พอนี่…บอกได้นะครับ ผมจะได้หาของเพิ่มให้บ้าง”
คุณหมอพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
เธอยิ้มตอบเล็กน้อย รู้สึกซึ้งใจ แม้จะเก็บความลำบากทั้งหมดไว้ในใจ แต่เธอก็รับรู้ถึงความจริงใจในสายตาของหมอภู แม้ตอนนี้ดารินจะรู้สึกดีกับคนตรงหน้าแค่ไหน มันก็ไม่อาจเป็นไปได้ หนูตกถังข้าวสารคงใช้ไม่ได้กับดาริน เพราะตอนนี้หมอภูเป็นคนดีเพียบพร้อมเกินไป ส่วนเธอคือคนที่แปดเปื้อนไม่คู่ควรกับเขาเลยสักนิด ช่างเป็นคนดีที่เธอไม่คู่ควรจริง ๆ