อิงลดานำเจ้ารถอีโก้คาร์คันใหม่ป้ายแดงเข้ามาจอดภายในรั้วบ้าน จากนั้นก็ก้าวฉับๆ เข้าไปภายในตัวบ้านด้วยสีหน้ารื่นรมย์ หลังได้เล่นกับเจ้าหนูตัวน้อยจนหนำใจ และต้องยืนชะงักอยู่กับที่เมื่อเห็นผู้เป็นอานั่งหน้านิ่วคิ้วขมวดเหมือนกำลังคิดอะไรไม่ตกอยู่บนโซฟาตัวนุ่ม โดยมีโน้ตบุ๊กวางอยู่บนตัก มีมาม่าผัดที่ยังอยู่เต็มจานวางอยู่ข้างๆ หญิงสาวเดินเข้าไปทรุดกายลงนั่งข้างๆ แล้วเอ่ยถามยิ้มๆ
“อาแหนมทำไมนั่งทำหน้าแบบนี้ล่ะคะ เขียนนิยายไม่ออกหรือคะ”
“ใช่จ้ะ เขียนบท เอ้อ...เลิฟซีนไม่ออก” อินทิราสารภาพด้วยสีหน้าขัดเขิน คิ้วเรียวเริ่มคลายออกเมื่อเห็นหน้าหลานสาวคนสวย พลางยกมือขึ้นจับดินสอที่ใช้เสียบอยู่บนผมที่ทำเป็นมวยไว้ง่ายๆ แก้เขิน
“นิยายของอาแหนมมีบทเลิฟซีนด้วยหรือคะ” หลานสาวถามเสียงสูง “แล้วเอาประสบการณ์ที่ไหนมาเขียน?” แม้จะรู้มาว่าอาสาวเขียนนิยายรัก แต่ก็คิดว่าเป็นแนวเรียบร้อย น่ารักกุ๊กกิ๊กเหมาะกับบุคลิก และตัวเธอเองเป็นคนไม่ชอบอ่านนิยายพวกนี้เสียด้วยเลยไม่ได้ใส่ใจกับงานของผู้เป็นอานัก
“มีสิ น้ำอิงคงไม่รู้สินะว่านิยายของอาน่ะมีคนอ่านเยอะ ตีพิมพ์ครั้งเดียวเคยไม่พอจนต้องพิมพ์ซ้ำด้วยนะจ๊ะ ลองเอาหนังสือของอาไปอ่านสักเล่มแล้วจะติดใจจ้ะ” อินทิราพูดอวดหลานสาวด้วยน้ำเสียงภาคภูมิใจ “ส่วนที่น้ำอิงถามว่าอาเอาประสบการณ์ที่ไหนมาเขียน ก็อาศัยอ่านมาจากพวกนิตยสารของต่างประเทศบ้าง และก็จินตนาการเอาเองบ้างจ้ะ” น้ำเสียงตอนท้ายๆ มีแววเก้อเขินปะปน
“อ่านมาจากนิตยสารน้ำอิงไม่แปลกใจหรอกค่ะ แต่จินตนาการเองนี่สิ อาแหนมคิดไปได้ยังไงคะ” อิงลดาถามและมองหน้าอาสาวอย่างสงสัย เพราะแฟนก็ไม่มี แล้วเอาอะไรไปจินตนาการ
“เอาละ คิดได้หรือไม่ได้อาก็เขียนหนังสือมาตั้งหลายเล่มแล้วละจ้ะ แต่ตอนนี้พักเรื่องเขียนไม่ออกไว้ก่อนเถอะ น้ำอิงกินอะไรมาหรือยัง วันนี้อายังไม่ได้ทำกับข้าวเลยทำแต่ผัดมาม่ากิน”
“อาแหนมไม่ต้องเป็นห่วง วันนี้น้ำอิงกินข้าวที่บ้านพี่แจงมาแล้ว” เธอพูดพลางเหลือบมองไปทางมาม่าผัดที่วางอยู่ข้างๆ ผู้เป็นอา “มาม่าที่ว่าอาแหนมยังไม่ได้กินเลย ระวังจะเป็นลมเอานะคะ” หลานสาวเตือนด้วยความเป็นห่วง
อินทิราหยิบจานมาม่าขึ้นมาจัดการไม่นานก็หมด ทั้งที่ก่อนหน้ามัวแต่คิดเรื่องบทเลิฟซีนกระทั่งลืมความหิว
“อ๋อ คนที่น้ำอิงไปรับมาจากสนามบินน่ะหรือจ๊ะ”
“ใช่ค่ะ” อิงลดาพยักหน้าด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้มก่อนจะค่อยๆ เปลี่ยนเป็นบึ้งตึง “ตอนไปรับพี่แจงที่สนามบิน น้ำอิงเจอผู้ชายปากเสียที่สนามบิน และบังเอิญเป็นคนที่พี่แจงรู้จักดีด้วยนะคะอาแหนม ทำไมโลกถึงได้กลมจนน่าประหลาดใจแบบนี้ก็ไม่รู้”
“โลกเรามักจะกลมอย่างที่น้ำอิงว่าแหละจ้ะ ทำให้เรามักจะเจอเรื่องที่ไม่คาดคิดอยู่เสมอ แล้วเขาว่าอะไรน้ำอิงหรือจ๊ะถึงได้ดูโกรธเขานักหนา” คนเป็นอาถามเมื่อเห็นสีหน้าบึ้งๆ ของหลานสาว
“คนอะไร ชื่อก็โบราณแต่หน้าตาดันเหมือนโจรห้าร้อยแถมปากเสียอีกต่างหาก” คนเป็นหลานตอบไม่ตรงคำถามซ้ำยังพร่ำบ่นอย่างไม่สบอารมณ์ จนคนเป็นอาอมยิ้มด้วยความขบขัน เพราะไม่ค่อยเห็นกิริยาเช่นนี้ของหลานสาวบ่อยนัก
“โบราณยังไงหรือจ๊ะ” เธอถามเหมือนชวนคุยมากกว่าจะถามจริงจัง
“แล้วชื่อลอราชอาแหนมว่าเชยหรือเปล่าล่ะคะ ยังกับพระลอในเรื่องพระเพื่อนพระแพง” อิงลดาบอกเสียงขุ่น แล้วพลันหน้าตาของคนที่ถูกพาดพิงถึงก็ลอยเด่นให้เห็นในมโนภาพราวกับสั่งได้
“ลอราช!” อินทิราอุทานเสียงดังราวกับรู้จักบุคคลที่ถูกเอ่ยถึง จนหลานสาวมองหน้าอย่างสงสัย “อาแหนมรู้จักด้วยหรือคะ”
“ปละ...เปล่าหรอกจ้ะ” อินทิรารีบปฏิเสธเสียงละล่ำละลัก ทว่าความคิดกลับล่องลอยไปถึงช่วงสมัยตอนเรียนมัธยมขึ้นมาทันควัน แต่คงจะไม่มีใครชื่อซ้ำกันได้ขนาดนั้นหรอกน่า หญิงสาวปลอบตัวเองอยู่ในใจ
“ที่สำคัญเพื่อนสนิทของนายลอราชดันเป็นน้องชายของพี่แจงด้วยนะคะ นี่แหละค่ะคือโลกกลมที่น้ำอิงว่า” อิงลดาพูดให้อาสาวฟังต่อ
“เพื่อนเขาชื่อภูวดลหรือเปล่าจ๊ะ” อินทิราเอ่ยถามด้วยท่าทีเผลอไผล
“ใช่ค่ะ” หลานสาวพยักหน้าแล้วมองหน้าคนถามอย่างแปลกใจ “อาแหนมรู้ได้ยังไงคะ”
อาสาวถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ นัยน์ตาโตฉายแววบางอย่างที่คนเป็นหลานอ่านไม่ออก
“อาคิดว่าคงไม่ผิดตัวหรอกจ้ะ สองคนนี้เป็นเพื่อนสนิทกันมาก ซ้ำชื่อเล่นยังคล้ายๆ กันอีก เอ้อ...ชื่อเรนกับเคนหรือเปล่า”
และแล้วสิ่งที่ไม่คาดคิดหรือโลกกลมที่ตัวเองพูดออกไปเมื่อครู่ก็เกิดขึ้นจนได้ เมื่อได้ยินคำตอบของหลานสาว
“ใช่ค่ะ แสดงว่าอาแหนมรู้จักสองคนนี้จริงๆ เฮ้อ!” อิงลดาถอนหายใจเบาๆ “อาแหนมไปรู้จักสองคนนี้ได้ยังไง วงจรชีวิตไม่น่าจะมาวนเวียนเจอะเจอกันได้เลยนะคะ”