“แน่นอน ถึงกูอยากจะสัมผัสกับธรรมชาติมากแค่ไหนก็ตาม แต่ก็ต้องเตรียมของมาให้พร้อม เพราะลุงศักดิ์บอกว่าน้ำค้างที่นี่ตกหนักมาก”
สมัยอยู่ต่างประเทศยามเกิดความรู้สึกเบื่อขึ้นมาครั้งใด ลอราชมักจะขับรถไปนอนตามสถานที่พักแรมตามรัฐต่างๆ อยู่บ่อยครั้ง จึงตระเตรียมของจำเป็นไว้ท้ายรถเสมอ ดังนั้นเรื่องการกางเต็นท์ที่ภูวดลไม่ถนัด ซ้ำยังบ่นว่ายากถึงขนาดกางไปบ่นไปนั้นไม่ได้คณนามือเขาหรอก
“แล้วมึงแต่งตัวแบบนี้มันไม่ท้าลมหนาวไปหน่อยหรือวะ แหม! คนอื่นเขาใส่เสื้อหนาๆ กัน แต่มึงดันเสือกใส่เสื้อกล้าม” พูดพลางปรายตามองร่างสูงของเพื่อนอย่างขำๆ ลำพังเสื้อกล้ามที่ว่าคงไม่เท่าไรนักหรอก แต่ที่เรียกสายตาสาวๆ ที่อยู่บริเวณนั้นให้หันมามองกันตาปรอย คงเป็นขนหน้าอกที่เผยให้เห็นวับๆ แวมๆ ตัดกับความขาวจัดของผิวนั่นเอง
เจ้าของหุ่นเซ็กซี่ยักไหล่อย่างไม่ยี่หระ “สำหรับกูแค่เย็นๆ เท่านั้นเองว่ะ มึงนี่ขี้หนาวเหมือนเดิมไม่มีผิดเลยนะไอ้เคน”
คนขี้หนาวในชุดกางเกงขาสั้นคล้ายกัน แต่สวมเสื้อยืดแขนยาวตัวหนาค้อนเพื่อน “เออ กูเป็นโรคแพ้อากาศหนาว มึงลองมองคนอื่นสิวะก็ไม่ได้ต่างกับกูนักหรอก ใครจะหนังหนาเหมือนมึงเล่าไอ้เรน” พูดขณะกวาดตามองไปรอบๆ บริเวณจุดกางเต็นท์ ที่เวลานี้คลาคล่ำไปด้วยเต็นท์สีสันสวยงามหลากตา บ้างก็มากันเป็นครอบครัวใหญ่ ที่มาเป็นกลุ่มหนุ่มสาวก็มีค่อนข้างเยอะ ส่วนใหญ่อยู่ในชุดป้องกันอากาศหนาวกันอย่างเต็มที่ ต่างกำลังจัดเตรียมอาหารกันให้วุ่นวาย แม้จะเป็นเวลาแค่สี่โมง แต่อากาศก็เริ่มเย็นลงเรื่อยๆ
“แล้วดอนกับแดนไปกางเต็นท์กันตรงไหนวะ”
ลอราชผุดยิ้มมุมปาก ถอดแว่นกันแดดสีชาขึ้นคาดไว้บนศีรษะ ทว่ากลับเน้นให้ดวงหน้าเข้มที่เต็มไปด้วยเคราสองข้างแก้มดูน่ามองมากขึ้น ประกอบกับผมยาวๆ ที่มัดไว้อย่างลวกๆ ด้วยแล้ว แม้แต่ภูวดลมองแล้วยังคิดคำนึงอยู่ในใจ ไม่สงสัยเลยว่าทำไมนางแบบสาวๆ ถึงได้คลั่งไคล้ความดิบเถื่อนๆ ของเพื่อนเขานัก
“มึงคิดว่าสองคนนั่นจะปล่อยกูให้คลาดสายตาหรือวะ ยิ่งพ่อกูถูกลอบยิงแบบนี้ด้วย คงอยู่แถวๆ นี้แหละ”
คนเป็นเพื่อนพยักหน้า “มันก็ควรจะเป็นแบบนั้น เพราะเป็นช่วงหน้าสิ่วหน้าขวาน” ก่อนจะมองหน้าเพื่อนแล้วหัวเราะ
“มึงไว้หนวดเคราจนกูนึกหนังหน้าเดิมมึงไม่ออก แต่ดันเสือกมีองครักษ์หน้าตาราวกับนักร้องเกาหลี ดูมันผิดที่ผิดทางยังไงบอกไม่ถูก”
เจ้าของดวงหน้าหนวดๆ หัวเราะหึกับคำพูดของเพื่อน แล้วก็เงยหน้าขึ้นมองเรื่อยเปื่อยไปบนท้องฟ้า ซึ่งเวลานี้ยามสนธยากำลังใกล้จะมาเยือน แล้วก็ต้องสะดุ้งสุดตัวเมื่อปรากฏภาพดวงหน้าสวยกระจ่างของหญิงสาวเจ้าของนามอิงลดา ผู้หญิงที่ทำกาแฟหกรดเขาเมื่อวันก่อน ทั้งยังด่าเขาเปิง ลอยวูบไหวมาให้เห็นบนนั้น จนต้องยกมือขยี้ตาซ้ำๆ หลายครั้ง ภาพลวงตาดังกล่าวจึงเลือนหายไปจากสายตา
‘นี่แม่เจ้าประคุณตามมาหลอกหลอนเขาถึงเขาใหญ่เชียวหรือนี่ จนถึงขนาดทำให้ตาเขาฝาด มองก้อนเมฆเป็นหน้าเจ้าหล่อนไปได้ ท่าจะบ้ากันไปใหญ่แล้ว’ ลอราชรำพึง
“มึงเป็นอะไรวะไอ้เรน ผงเข้าตาหรือไงถึงขยี้ซะแบบนั้น”
“ปละ เปล่าว่ะ ไม่มีอะไรหรอก” คนตาฝาดรีบปฏิเสธเสียงแข็ง พลางส่ายศีรษะ สร้างความงุนงงให้ผู้เป็นเพื่อนไม่น้อย
“เปล่าก็เปล่าสิวะ ทำไมต้องทำเสียงแข็งด้วยล่ะ ไอ้นี่แปลกคนจริง” ภูวดลพูดก่อนสายตาจะสะดุดเข้ากับเต็นท์สีเดียวกับของเพื่อน ซ้ำยังเป็นแบบเดียวกันอีกที่กางอยู่ถัดไป
“ไอ้เรน มึงดูเต็นท์ที่อยู่ถัดจากเราไปสิวะ แบบเดียวกันเปี๊ยบ แบบนี้จะไม่หลงเข้าเต็นท์ผิดกันบ้างหรือวะ”
ลอราชมองตามสายตาของเพื่อนไปยังเต็นท์หลังดังกล่าว “ใครมันจะตาถั่วแบบนั้นกันวะ เต็นท์แบบเดียวกันก็จริง แต่สิ่งประกอบอย่างอื่นไม่ได้เหมือนกันนี่หว่า แต่ถ้าเจ้าของเป็นผู้หญิงสวยๆ แล้วมาเข้าผิดกูจะจับปล้ำซะให้เข็ด”
“เออ! กูอยากรู้เหมือนกันว่าผู้หญิงที่มึงจะจับปล้ำหน้าตาเป็นยังไง”
“ไอ้เคน ที่เรากำลังคุยกันมันเป็นเรื่องสมมุติไม่ใช่หรือวะ” คนจะจับสาวปล้ำพูดขำๆ แล้วเผลอไพล่นึกไปว่าถ้าเจ้าของเต็นท์เป็นผู้หญิงปากจัดคนนั้นเขาจะทำยังไง จับมาจูบเสียให้เข็ดดีไหม อยากรู้ว่ารสชาติของคนปากเก่งจะหวานหอมเพียงใดกัน ก่อนจะสลัดความคิดบ้าๆ ออกไปโดยเร็ว เขานี่ท่าจะบ้า เพิ่งว่าเพื่อนไปหยกๆ ดันเอามาคิดต่อยอดเสียเอง
“ตกลงเย็นนี้มึงจะแสดงฝีมือทำอาหารอะไรให้กูกินวะ ถ้าจะให้ดีขอเป็นของร้อนๆ หน่อยนะ ตอนนี้อากาศเริ่มเย็นลงเรื่อยๆ แล้ว” ภูวดลพูดพลางห่อไหล่ยกมือขึ้นกอดอกกระชับ เพราะลมเย็นๆ ที่พัดโชยมากระทบ
“เดี๋ยวสักพักค่อยทำก็ได้ว่ะ ตอนนี้นั่งดวดเบียร์แก้หนาวไปก่อนแล้วกัน”
ขณะเดียวกับอาชวินได้พาอิงลดากับอินทิราไปเที่ยวตามสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ ของเขาใหญ่ และจบลงที่ปาลิโอ ซึ่งเป็นแหล่งชอปปิงในคอนเซปต์ของถนนคนเดิน ทั้งสองอาหลานพากันเดินจนเหงื่อโทรมกาย สวนทางกับอากาศหนาวๆ ที่ลำตะคองอย่างลิบลับ