เช้าวันจันทร์สองอาหลานตื่นกันตั้งแต่เช้าตรู่ เพราะอาชวินนัดไว้ว่าจะมารับก่อนหกโมงเช้า ตัวอินทิราถูกหลานสาวจับแต่งกายในชุดกางเกงเลคกิ้งสีดำ แล้วสวมทับด้วยกางเกงยีนขาสั้นทันสมัย เสื้อยืดแขนยาวสีขาว ส่งให้รูปร่างดูสูงเพรียวขึ้นทันตาเห็น
ทั้งที่อันที่จริงความสูงของอินทิราไม่ได้แตกต่างจากอิงลดานัก แต่เป็นเพราะไม่ชอบแต่งตัว มักจะใส่แต่เสื้อผ้าหลวมๆ ไม่ค่อยเน้นรูปร่าง นักดังนั้นเสื้อผ้าที่สวมใส่อยู่ในขณะนี้ รวมทั้งที่จัดเตรียมไปเที่ยวจึงเป็นของหลานสาวทั้งสิ้น
“น้ำอิง อาว่าเสื้อผ้ามันดูวัยรุ่นไปหรือเปล่าจ๊ะ” คนถูกจับแต่งตัวโอดครวญเสียงอ่อย พลางมองตนเองในชุดไม่เคยคุ้นด้วยท่าทีไม่ค่อยมั่นใจในตัวเอง
“โถ...อาแหนมขา ดีสิคะเป็นเด็กวัยรุ่น”
คนเป็นหลานยืนเอียงซ้ายเอียงขวามองร่างของอาสาวแล้วยิ้มกว้างอย่างถูกใจ
“อันที่จริงอาแหนมหุ่นดีมาก ไม่อ้วนเกินไป ไม่ผอมเกินไป ถ้าอ้วนกว่านี้จะไม่สวยหรือผอมกว่านี้ก็ดูไม่ดี”
“พูดให้อาดีใจเล่นหรือไงจ๊ะ” คนไม่มั่นใจในตัวเองบ่นอุบอิบ มองร่างของอิงลดาที่ซ่อนสัดส่วนสวยงาม ไว้ภายใต้กางเกงเลคกิ้งเหมือนกับตัวเธอ เพียงแต่เป็นสีน้ำเงินเข้ม มีลวดลายที่ปลายขาคล้ายกัน โดยเสื้อยืดตัวยาวคลุมสะโพกด้วยสายตาชื่นชม
“เดี๋ยวให้นิกวิจารณ์ดีกว่า อาแหนมจะได้มั่นใจยิ่งขึ้น”
พูดยังไม่ทันขาดคำ ก็ได้ยินเสียงรถยนต์ที่จำได้ดีว่าเป็นของอาชวินเบรกเอี๊ยดอยู่หน้าประตูรั้ว ทั้งสองสาวรีบฉวยสัมภาระ ช่วยกันตรวจตราความเรียบร้อยในบ้านก่อนปิดใส่กุญแจ แล้วพากันเดินตรงไปยังรถที่จอดอยู่
“แกจอดรถให้เหมือนชาวบ้านชาวช่องเขาไม่ได้หรือไงนะนิก” อิงลดาต่อว่าเพื่อนหลังเปิดประตูมานั่งข้าง ส่วนอินทิรานั้นจับจองเบาะหลังตั้งแต่แรก
อาชวินไม่ตอบ ได้แต่ส่งยิ้มกวนๆ ให้ แล้วเหลียวไปมองอาสาวของเพื่อน
“วันนี้อาแหนมดูสวยผิดตานะครับ”
“ปกติอาไม่เคยสวยเลยหรือจ๊ะ” คนถูกชมย้อนถาม
“ใครบอกล่ะครับ อาแหนมเป็นคนสวย เพียงแต่ไม่ยอมแต่งตัวเท่านั้นเอง แล้วเสื้อผ้าแบบนี้ถ้าให้คนรูปร่างไม่ดีใส่ มันจะคล้ายข้าวต้มมัดครับ” อาชวินพูดออกมาตรงๆ ตามนิสัยโดยมีอิงลดาพยักหน้าหงึกๆ อยู่ข้างๆ
“น้ำอิงก็บอกอาแหนมแล้ว ไม่ยอมเชื่อกันนี่นา”
“จ้ะ ตอนนี้อาเชื่อแล้ว แต่นิกพูดซะเห็นภาพเลย ไม่อยากคิดเลยว่าถ้าอาปล่อยให้อ้วนกว่านี้ คงได้คล้ายข้าวต้มมัดอย่างที่นิกพูดแน่นอน” อินทิราพูดเสียงอ่อย ทว่าความมั่นใจเริ่มกลับคืนมาไม่น้อย นับตั้งแต่เขียนหนังสือมา เธอก็ไม่ค่อยสนใจเรื่องการแต่งตัวนัก เพราะคิดว่าอยู่แต่ในบ้านไม่จำเป็นต้องแต่งอะไรมากมาย บางวันอยู่ในชุดที่ใส่นอนทั้งวันเลยด้วยซ้ำ
รถยนต์คันงามแล่นออกจากกรุงเทพฯ มุ่งสู่ถนนมิตรภาพด้วยความเร็ว เนื่องจากยังเป็นเวลาเช้าตรู่ บนท้องถนนจึงมีรถวิ่งไม่มากนัก ใช้เวลาไม่นานก็ถึงลำตะคอง อาชวินจึงแวะจอดรถตรงจุดชมวิวเพื่อหากาแฟร้อนๆ ดื่มรองท้อง
“อาไม่ได้แวะมาที่นี่นานแล้วเหมือนกัน” อินทิรายกกาแฟร้อนๆ ขึ้นจิบพลางห่อตัวเพราะความหนาวจนกายสะท้าน
“แล้วทำไมอาแหนมไม่ใส่เสื้อคลุมล่ะคะ อากาศออกจะเย็น” อิงลดาที่ห่อตัวอยู่ภายใต้ผ้าคลุมไหล่ผืนใหญ่เอ่ยถาม เมื่อเห็นอาสาวมีผ้าพันคอผืนบางๆ พันอยู่รอบลำคอเท่านั้น
“ไม่เป็นไรหรอกจ้ะ ไม่หนาวเท่าไหร่ ผ้าพันคอผืนเดียวก็พอ” อินทิราปฏิเสธเสียงสั่นค้านกับความจริง นึกด่าตัวเองที่ไม่น่าประมาท ทั้งๆ ที่ หลานสาวเตือนไว้แล้วตั้งแต่เมื่อคืนว่าให้เตรียมเสื้อหนาวมาด้วย แต่ตัวเธอคิดว่าไม่น่าจะหนาวเลยไม่ได้พับติดกระเป๋ามา แค่ลำตะคองยังอากาศเย็นยะเยียบถึงเพียงนี้ แล้วเขาใหญ่จะขนาดไหน
“ใส่เสื้อของน้ำอิงก่อนไหมคะ เดี๋ยวไปหยิบมาให้”
“ไม่ต้องหรอกจ้ะน้ำอิง เดี๋ยวเข้าไปนั่งในรถก็ไม่เป็นไรแล้ว ตอนนี้อาจเป็นเพราะลมพัดมาถูกตัวน่ะ” อินทิราพูดราวกับปลอบใจตัวเอง
“มึงนึกยังไงวะไอ้เรนถึงอยากมานอนกางเต็นท์ที่เขาใหญ่ หลังบ้านมึงก็ออกจะสวย ไม่เห็นจำเป็นต้องถ่อมาถึงที่นี่ก็ได้นี่หว่า แล้วเต็นท์นี่ก็ใช่ว่าจะกางได้ง่ายๆ” ภูวดลถามพร้อมกับบ่นพึมพำไปด้วยขณะช่วยเพื่อนกางเต็นท์
“มันไม่ได้บรรยากาศ เข้าใจไหมวะ กูอยากสัมผัสกับธรรมชาติแท้ๆ” ลอราชตอบขณะมือสาละวนกับการกางเต็นท์ขนาดใหญ่อย่างคล่องแคล่ว ก่อนยกฟรายชีทขึ้นคลุมเต็นท์อีกชั้นเพื่อกันน้ำค้างตอนกลางคืน หยิบสมอบกขึ้นมาตอกทั้งสี่มุมกันลม ไม่นานทุกอย่างก็เรียบร้อย แล้วร่างสูงในชุดกางเกงขาสั้นเสมอเข่ากับเสื้อกล้ามสีดำท้าทายลมหนาวสุดฤทธิ์ ก็ยืนมองดูผลงานของตัวเองอย่างพออกพอใจ
“มึงเตรียมของมาพร้อมยังกับจำลองบ้านมาไว้ที่นี่เลยนะไอ้เรน” ภูวดลพูดค่อนพลางมองตัวเต็นท์แบบทันสมัย มีชายคายื่นเลยออกมาคลุมผ้าใบผืนหนา แล้วมองไปยังเต็นท์สี่เสาซึ่งมีผ้าผืนหนาปูรองพื้น เวลานี้มีเบียร์กระป๋องพร้อมกับแกล้มหลายอย่าง ที่ทั้งคู่แวะซื้อมาจากแถวๆ ลำตะคอง รวมทั้งกระติกน้ำแข็งกับอาหารสด ที่เพื่อนสนิทบอกว่าจะแสดงฝีมือให้ชิมเย็นนี้วางอยู่