Prologue + บทนำ
Prologue
“เธอดื้อขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่”
“ฉันก็แค่อยากลอง...”
“ลองไหม” น้ำเสียงแหบพร่าเอ่ยขึ้นขณะที่สายตาทรงเสน่ห์ที่พร้อมสะกดทุกคนที่มอง จับจ้องอยู่ที่ริมฝีปากฉันไม่วางตา กลิ่นบุหรี่ยังอบอวลอยู่ในลมหายใจคละคลุ้งเมื่อศิลาหายใจแรงขึ้น เขากลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบาก เช่นเดียวกับฉันที่ไม่กล้าแม้แต่จะขยับ
“นายหมายถึงอะไร” ฉันถามราวกับคนโง่งม
“ลองจูบกันไหม”
“...”
“เธอกับฉันเราลองจูบกันดีไหม”
“เราเป็นเพื่อนกันนะ”
“ไม่มีข้อห้ามว่าเพื่อนห้ามจูบกันนี่”
.
.
.
“ฉันกับนายเป็นเพื่อนกันนะ” ดวงตาที่ซ้อนขึ้นสบกับเขากำลังสั่นระริก ฉันคิดถูกแล้วงั้นเหรอ อาการเมามายที่ขาดความยั้งคิดเหมือนจะสร่างเมื่อเห็นขนาดของแก่นกายที่กำลังผงาดและท่อนขาใหญ่ของเขา
“ไม่มีข้อห้ามว่าเพื่อนมีอะไรกันนะเพตรา” เสียงแหบพร่ากระซิบลงข้างหู พลางจับมือฉันลากไล้ไปตามแก่นกายใหญ่ที่กำลังผงาด
“ศิลา...”
“ทำไมถึงชอบใช้คำว่าเพื่อนมากีดกันฉันให้ออกห่างจากเธอ”
บทนำ
“แม่คะ! เพต้องไปแล้วนะคะ ถ้าช้ากว่านี้เดี๋ยวเพถึงหอมืด สวัสดีค่ะ”
“เพตรา! เพ ๆ เพ!!! เดี๋ยวลูก”
“ขาแม่ อะไรเหรอคะ” ฉันเหลือบมองกล่องอาหารที่ถูกซีลอย่างดี จัดลงในถุงผ้าอย่างเร่งรีบของแม่อย่างไม่เข้าใจ แต่ก็ยอมถอยเท้ากลับมาอยู่ดี
“เอากับข้าวไปให้ศิลาด้วยสิลูก”
“แม่จะทรมานศิลาอีกแล้วเหรอคะ” รสชาติอาหารที่แสนจะเหลือหลายฝีมือคุณแม่ ที่แม้แต่ของทอดธรรมดายังไม่อร่อยเลย แค่คิดถึงคนกินก็อดสงสารเพื่อนสนิทไม่ได้แล้ว แต่แม่ฉันกลับขยันทำเหลือเกิน เมื่อคนที่บ้านไม่กินก็มักจะยัดเยียดให้เจ้าของชื่อนี้เสมอ
“เด็กนี่! เราไม่กินใช่ว่าศิลาจะไม่กินนะ คราวก่อนศิลายังส่งข้อความมาบอกแม่อยู่เลยว่าอร่อย ชอบหมูทอดฝีมือแม่แล้วก็อยากกินอีกน่ะ”
นั่นมันเชื่อได้ที่ไหนเล่า!
แต่ท่าทางภูมิอกภูมิใจพร้อมรอยยิ้มเปี่ยมด้วยความสุข ทำให้ฉันได้แต่หุบปากเงียบไม่กล้าทำร้ายจิตใจคุณแม่ผู้รักการทำอาหาร หลังจากออกจากงานมาเป็นแม่บ้านเต็มตัวได้สองปี แม่ฉันก็ค้นพบงานอดิเรกที่ไม่เหมาะกับตัวเองสักนิด ยังดีที่พ่อฉันเป็นคนไม่ทำร้ายจิตใจใคร เลยยอมกินอาหารฝีมือแม่อาทิตย์ละครั้ง
ฉันมองกล่องที่อัดแน่นในถุงผ้า แล้วก็ได้แต่ถอนหายใจ ทำเยอะขนาดนั้นศิลาจะกินหมดได้ยังไง แถมหมอนั่นรักสุขภาพอย่างกับอะไรดี คงไม่ยอมกินหมูทอดทั้งกล่องหรอก
“โอเคค่ะ เดี๋ยวเพเอาไปให้ศิลาที่หอเอง”
ปล่อยให้เป็นภาระของศิลาไปก็แล้วกัน ยังไงฉันก็ไม่ได้กินอยู่แล้ว
“ฝากกอดศิลาด้วยนะลูก”
หลังจากจัดอาหารอย่างทุลักทุเล ร่างของฉันก็ถูกคนเป็นแม่ดึงเข้าไปกอด ความอบอุ่นนี้ทำให้ได้แต่นึกถึงอีกคนที่มักจะยิ้มฝืน ๆ หรือเบือนหน้าหนีเมื่อเห็นภาพฉันกอดกับแม่เสมอ
“นี่เพต้องไปกอดมันด้วยเหรอ ฟ้าได้ผ่าตายเลย” ฉันบ่นงึมงำ แต่ยังไม่ทันได้พูดอะไรต่อ ฝ่ามือนุ่มนิ่มของแม่ฉันก็ฟาดลงบนแผ่นหลังเสียงดัง
เพียะ!
“พูดให้ดี ๆ นะเพตรา”
“ก็เพไม่อยากกอดศิลานี่คะ”
“ศิลาน่ะน่าสงสารมากนะเพ ทำดีกับศิลาเขาเข้าไว้แล้วก็อย่าหาเรื่องเดือดร้อนให้เขาบ่อยนักละ”
“ศิลาเนี่ยนะคะน่าสงสาร เรียนก็เก่ง เล่นกีฬาก็ดี สาว ๆ ก็เยอะ แถมเรียนหมออีก หมอนั่นไม่ได้ขาดความอบอุ่นหรอกค่ะ ผู้หญิงต่อแถวกันถึงนู่นนนหน้าปากซอยบ้านเรา”
“ก็น่าสงสารเพราะมีลูกเป็นเพื่อนนี่ไง”
“แม่!!!”
“ถ้าไม่ต้องคอยดูแลเพ ป่านนี้ศิลามีแฟนมาอวดแม่ไปแล้ว”
“เพยังไม่มีเลย มันจะมีก่อนได้ยังไงล่ะคะ เพก็ต้องมีก่อนสิ” ฉันเถียงอย่างไม่ยอมแพ้ คว้าเอาหูถุงผ้าขึ้นมาถือก่อนจะพบว่ามันหนักพอสมควรเลย นี่ฉันต้องแบกของพวกนี้ขึ้นวินมอเตอร์ไซค์แล้วก็ขึ้นบีทีเอสงั้นเหรอ
“เพไม่มีแม่ไม่แปลกใจหรอก ศิลาไม่มีเนี่ยสิ เฮ้อออแม่อยากให้มีคนดี ๆ มาคอยดูแลศิลาสักที ถามทีไรก็บอกว่าเรียนหนัก”
“แม่พูดเหมือนศิลาจะสามสิบพรุ่งนี้เลยนะคะ อะไรก็ไม่รู้เพไปแล้วนะคะ เดี๋ยวมืดเพไปไม่ทันนัดเพื่อนพอดี”
“จ้า ๆ แล้วกับคนที่บอกแม่ มีแววจะได้แฟนเป็นรุ่นพี่วิศวะบ้างไหมลูก” สายตาเจ้าเล่ห์ถามราวกับนึกอะไรขึ้นได้ เพราะฉันกับแม่สนิทกันจนคุยได้ทุกเรื่อง เลยทำให้แอบเผลอเล่าเรื่องส่วนตัวไปบ้าง แต่ด้วยความน่ารักของคนเป็นแม่จึงไม่ได้ทำให้อึดอัดเลย ซ้ำยังเป็นความสบายใจและกำลังใจให้อีก
“ถ้าได้คบเพจะบอกคุณพริมาคนแรกเลยค่ะ”
“งั้นก็สู้ ๆ ไปดีมาดีนะลูก”
ฉันหัวเราะกับกำปั้นสองข้างของแม่หลังจากยกมือสวัสดี แล้วกดจมูกลงไปบนแก้มอวบอิ่ม “แม่ใครเนี่ยน่ารักที่สุดเลย เพไม่อยากแบ่งให้ศิลาแล้ว”
“ฮ่า ๆ ไปได้แล้วเดินทางมืดค่ำมันอันตราย”
“ค่าาา ขอบคุณนะคะแม่”