จากตัวตึกฉาบปูนสีขาวนวลๆ บนชั้นสองตรงหน้าต่างห้อยระย้าม่านระบายลูกไม้ แม่หญิงจันจีนมองลอดลงไปยังลานหินหน้าหมู่ตึก ได้อย่างถนัดชัดตา
นางพบว่าคนสนิททั้งคู่ กำลังถูกเหล่าพลพรรคสักไซ้ไล่เรียงมาตลอดทั้งช่วงเช้า เกรงว่าเหล่าพรรคพวกกว่าร้อยชีวิต ปราถนารู้รายละเอียดการเข้าวังหาขุมทรัพย์ในตำนานกันทั้งสิ้น
แม่หญิงจันจีนได้แต่ขมวดคิ้วขุ่น ส่ายหัวด้วยความขัดเคือง รู้สึกว่าเหตุใดพรรคพวกนางพิลี้พิไลเช่นนี้ พวกมันเอาแต่รวมตัวสอบถาม ทำไมไม่เร่งรีบส่งคนไปตามพี่สาวนาง ทั้งๆที่รู้แน่ชัดว่าพวกชายชุดดำล้วนเป็นฝารั่งมั่งค่า
พวกฝารั่งมีชุมชนอยู่เพียง 3 แห่งเท่านั้นทั่วบางกอก ใช้เวลาตามหาไม่ยากเย็นนักดอก
ความขุ่นเคืองของนางคล้ายจะขยายเพิ่มขึ้น เมื่อปรากฏสี่สาวใช้ยกถาดใส่อาหารและเสื้อผ้าชุดใหม่เข้ามาภายในห้อง
ในถาดไม้ทางซ้ายมีผ้าพับลายวิจิตรและสไบไหมอยู่เบื้องบน ส่วนอีกถาดเป็นชุดแบบแม่หญิงชาวจีนสีเขียวอบอุ่น
แม่หญิงจันจีนเขม้นมองสี่สาวใช้ ขึ้นเสียงเขียวดุดันทันใด
“ พวกเจ้ารีบไปนำชุดบุรุษของพี่สาวข้ามา ข้าไม่ปราถนาเป็นแม่หญิงอีกแล้วหนา ! “
เหล่าสาวใช้ต่างหันมองหน้ากันด้วยความงุนงง ท่าทีเก้ๆกังๆลังเลอยู่ครู่ใหญ่ ตราบกระทั้งมีเสียงชราแหบพร่าเข้ามาจากด้านหลัง
“ คุณหนูสั่งแล้ว พวกเจ้าไม่ได้ยินฤา ! รีบไปโดยไว !...”
พ่อบ้านม่านก้าวเข้ามาภายในห้องด้วยท่าทีสุขุมเรียบนิ่ง หากทรงพลังเสียจนทั้งสี่สาวใช้รีบค่อมศรีษะ ก้มหน้าเดินออกจากห้องไป
ปล่อยให้พ่อบ้านม่านเดินเชื่องช้าเข้าไปหาแม่หญิงจันจีน ในมือที่ถือพัดขนห่านสีขาวนวลพัดเบาๆ เคล้าคลอเข้ากับวาจาแว่วแผ่วราวสายลมโชย
“ คุณหนูเล็กท่านพักผ่อนสักชั่วครู่ชั่วยามเถิด เร่าร้อนไปไม่ช่วยให้พบคุณหนูใหญ่เร็วขึ้นดอก “
“ นี่ท่านเป็นทองไม่รู้ร้อนหรือกระไร พี่ซีเป็นตายเช่นไรยังไม่ประจัก จะให้ข้าพักผ่อนได้เช่นไร ? “
ฮึ ฮึ ฮึ …พ่อบ้านม่านหัวร่อในลำคอ มือหนึ่งลูบคลำเคราขาวโพน อีกมือโบกพัดแผ่วๆ ก่อนจะเอื้อนเอ่ยด้วยวาจาเจ้าเล่ห์เจ้ากล
“ เล่าลือกันว่าหลายปีมานี้คุณหนูเล็กมีฝีมือปรุงของหวานได้เลอเลิศนัก ไม่ทราบว่าผู้ชรามีวาสนาได้ลิ้มรสหรือไม่ ? ”
“ เอะ !...พ่อบ้านม่านนี่ กล่าววาจานอกลู่นอกทางยิ่งนัก ข้าพูดถึงพี่ซีอยู่ดีๆ เหตุใดถึงมาอยากกินขนมหวานไปได้ ”
ผู้เฒ่ายิ้มละมัยนั่งลงอย่างเยือกเย็น แล้วเอื้อนเอ่ยวาจาระรื่น
“ หาได้นอกลู่นอกทางแม้แต่น้อยคุณหนูเล็ก ขนมหวานคือสิ่งที่ท่านเลื่องชื่อลือนามเป็นเอกอุเหนือผู้ใด แม้แต่พี่สาวท่านยังต้องศิโรราบ การที่ท่านถูกส่งเข้าวังจ้าวฟ้าก็ด้วยรสมือของท่านเยี่ยงนี้ เป็นภาระกิจที่พี่สาวท่านทำมิได้ ! ”
“ และภาระกิจของพี่ซี ข้าพเจ้าก็ทำไม่ได้ใช่หรือไม่ ? “
แม่หญิงจันจีนเสริมเติม คล้ายจะรู้ความในใจพ่อบ้านม่านขึ้นมาครามครัน
“ ท่านฉลาดหลักแหลมยิ่ง คุณหนูใหญ่กับท่านเป็นดั่งเหรียญคนละด้าน หนึ่งเฉียบคม หนึ่งอ่อนหวาน หนึ่งกล้าหาญเข้มแข็ง หนึ่งนุ่มนวลอ่อนหวาน “
พ่อบ้านม่านผงกหัวไปมา ขณะเอ่ยวาจาเรียบรื่น โดยอีกมือล้วงเข้าอกเสื้อ หยิบเอาสมุดข่อยเล่มสีน้ำตาลเข้มออกมาวางไว้บนโต๊ะ
“ ทั้งคุณหนูใหญ่และท่าน ต่างเรียนรู้วัฒนธรรมชาวสยามคนละด้าน ระหว่างในรั้วในวัง กับวิถีบ่าวไพรพ่อค้าชาวประชา เพราะหากเราไม่เข้าใจจิตวิญญาณชาวสยาม พวกเราย่อมไม่อาจหาขุมทรัพย์วิเศษนั้นพบได้ “
ผู้เฒ่ากล่าวพลางลูบมือเบาๆไปตามขอบสมุดข่อย ดั่งจะเน้นให้เห็นความสำคัญในสิ่งที่อยู่เบื้องหน้า
“ ถึงบัดนี้ท่านถ่องแท้หรือไม่ว่ารากลึกชาวสยามคือฉันใด ? “
แม่หญิงจันจีนครุ่นคิดชั่วครู่ ก่อนจะต้องเบิกตาโพลงเมื่ออ่านอักษรที่จานไว้บนสมุดข่อยได้ถนัดชัดตา… ‘ โคบุตร !..’
“ ท่านคิดว่าชาวสยามเป็นเช่นเรื่องราวในสมุดข่อยนี้ฤา ออกจะรวบรัดไปกระมั้ง …ชาวสยามดูเหมือนจะรักสนุกไม่ยึดถือกฏเกณฑ์ แต่เคร่งครัดในวรรณะชาติตระกูล นับถือบูชาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ พร้อมๆกับพึงพอใจทำผิดศีลธรรม ร่ำเมลัยเคล้านารี “
“ ฮ่า ฮ่า ฮ่า … ไม่เสียแรงอยู่ในรั้วในวังมา5-6ปี เข้าใจชาวสยามได้แตกฉานนัก “
ผู้เฒ่าหัวร่อเบิกบานขณะยันตัวลุกขึ้น แล้วโบกพัดในมืเชื่องช้า ขณะกล่าววาจาระรื่นลอยลมไป
“ ถ้าเช่นนั้นท่านสงบใจอ่านเรื่องราวในสมุดข่อยให้จบความ แล้วช่วยมาเล่าบอกผู้เฒ่าที่เถิด เมื่อท่านอ่านแจ้งจบสิ้น พวกพ้องเราคงสืบข่าวรู้ที่อยู่คุณหนูใหญ่แล้ว ”
ถ้อยคำสุดท้ายของผู้เฒ่าบันดาลให้หญิงสาวตาลุกวาว เข้าใจความหมายของพ่อบ้านได้แจ่มแจ้งหมดสิ้นแล้ว
“ ตาเฒ่าเจ้าเล่ห์ยังจะเห็นข้าเป็นเด็กน้อยอยู่อีก จะเอานิทานมาหลอกล่อให้ข้าหลับใหลหรือไร ! ”
แม่หญิงจันจีนบ่นงึมงำไล่หลังผู้เฒ่าที่ค่อยๆเดินเชื่องช้าไปจากห้องด้วยสีหน้าเคร่งเครียด ต่างจากใบหน้าที่คุยกับแม่หญิงลิบลับ…
“ จงแย้มเยือนเบือนพักตร์รับรักบ้าง
ประโลมนางแนบกายสายสมร
แสนสำราญอยู่ในร่มนิโครธร
พระกางกรประดิพัทธ์วัจนา
อัศจรรย์บรรดาสาคเรศ
อรัญเวศหวั่นไหวไพรพฤษา
เทพทั่วทั้งโห่ร้องเป็นโกลา
สนั่นป่าลั่นเสียงสำเนียงดัง
บรรดาฝูงเทพาวลาหก
ก็ตื่นตกใจวิ่งไม่เหลียวหลัง
อึกทึกกึกก้องฆ้องระฆัง
ด้วยกำลังพระอาทิตย์ฤทธิรงค์ “...
คิก คิก คิก …ผิงซีหัวร่อเบาๆในลำคอ ทั้งที่ไม่ได้ตั้งใจฟังการร่ายกลอนของพ่อภู่ แต่สำเนียงเสนาะที่ลอยผ่านกรงเหล็กมา ได้เข้าไปก่อกวนนางจนต้องเปิดเปลือกตาลืม ออกจากการนั่งสมาธิผนึกลมปราณในทันใด
“ ฮิ ฮิ ฮิ …นี่มันบทอัศจรรย์อันใดของเจ้ากัน ทำฟ้าสะท้านแผ่นดินสะเทือน สรรพสัตว์หิมพานต์วิ่งหนีกระเจิง นี่มันเสพสังวาสกันเยี่ยงไร ถึงได้อึกทึกครึกโครมปานนี้ ! “
ผิงซีเอ่ยถามแย้มยิ้ม รู้สึกผ่อนคลายใจไปชั่วครู่ชั่วยาม แม้สถานะการณ์จะยังคงบีบคั้นอึดอัดอยู่ไม่วาย
“ อ้าว !...นี่น้องหวนกลับมาโลกแล้วฤา พี่เห็นถอดจิตไปเฝ้าพระอินทร์เสียนาน นึกว่าจะหลงลืมทางกลับโลกเสียแล้วกระมั้ง “
พ่อภู่หันมากล่าวกับนางด้วยใบหน้าแดงกร่ำ ดวงตาหรี่ปรือดั่งมีอาการมึนเมาเข้าครอบงำ
ทำเอาผิงซีที่อยู่อีกมุมห้องรู้สึกประหลาดใจไม่น้อย ทั้งที่เมื่อครู่นางเห็นพ่อภู่กินเพียงขนมปังกับหมูแฮม ไร้เมลัยสักหยด เหตุใดจึงมีอาการมึนเมาไปได้
“ พี่นี้คงบาปหนักหนายิ่ง ไปฉุดคร่าให้นางฟ้าตกสวรรค์ได้เยี่ยงไร เหตุเพราะน้องคงตรมตรอมด้วยคิดถึงพี่เต็มประดากระมั้ง มาเถิดเข้ามาใกล้ๆ พี่จะปลอบประโลมให้คลายใจ “
พ่อภู่พร่างพรูถ้อยคำเกี้ยวพา พลางยื่นแขนไขว่คว้าออกจากซีกลูกกรงเหล็ก ราวกับมันถวิลหากามรสสุดระงับ
“ ไอ้โจรสลัดเจ้าเล่ห์ นี่มันวางยาในอาหารเป็นแน่ ! “
ผิงซีแผดเสียงกร้าว เมื่อรู้แน่แก่ใจว่าพ่อภู่ถูกเล่ห์ร้ายของจอมสลัดเข้าแล้ว
“ เจ้านี่หนา !...เหตุใดตะกละตะกลามเช่นนี้ จะหาชีวิตไม่เพราะอาหารแล้วกระมั้ง “
ผิงซีร้องเสียงเขียว สายตามองถาดอาหารของพ่อภู่ที่ไม่เหลือสิ่งใดในจาน ดีที่นางไม่แตะต้องอาหารแม้แต่น้อย มิเช่นนั้นคงมีสภาพทุเรศทุรังสิ้นดี
“ เพ็ญพระจันทร์นั้นสว่างเพียงข้างขึ้น
กระต่ายมึนเมาเพ็ญจนเป็นบ้า
อันทรามวัยใสสุกทุกเวลา
น้ำใจข้ามึนเมาทั้งขึ้นแรม …”
พ่อภู่พูดละเมอเคลิบเคลิ้ม ใบหน้าแดงเคล้าคลอกับลูกกรงเหล็ก สองมือโอบรัดกระถางทองเหลืองประหนึ่งได้กอดประคองนาง อันเป็นที่รักอยู่แนบอก
“ เจ้าคนงมงาย อย่าได้โอ่นอ่อนผ่อนตามอารมณ์ไป เจ้าเคยบวชเรียนฝึกหัดทำสมาธิมามิใช่ฤา เร่งรีบขัดสมาดสงบใจเข้า “
เสียงร้องบอกของผิงซีราวลมระบายผ่านหู พ่อภู่หาได้รับรู้ยินยล มันเอาแต่พร่ำเพ้อละเมอหา เคลื่อนคล้อยวงแขนดั่งเคลิ้มลอยในม่านฝัน
จนผิงซีรู้สึกขุ่นเคืองรำคาญใจยิ่ง นางจึงพลันคว้าพัดบนถาด แล้วปัดจานใส่ขนมปังพุ่งปะทะกรงเหล็ก จนเกิดเป็นสะเก็ตปลิวกระเด็น ทำให้นางต้องรีบคลี่พัดกางป้องกันใบหน้า จากเศษอาหารที่ปลิดปลิว
แต่แล้วการกางพัดปกปักกาย กลับทำให้นางเห็นละอองสีส้มจางๆลอยฟุ้งออกจากพัด
“ คุณพระช่วย ! …”
ผิงซีอุทานลั่น รีบโยนพัดในมือทิ้ง แล้วบ่ายหน้าหนีละอองฝุ่นสีส้ม ทว่านางเชื่องช้าไปชั่วอึดใจ ผงพิษรัญจวนได้ลอยฟุ้งจนนางสูดดมเข้ากายไปเฮือกใหญ่ พิษร้ายแทรกซึมเข้าสู่สายโลหิตแผ่ซ่านไอร้อนเร่าไปตามเส้นชีพจร กระจายเข้าไปในทุกอณูเนื้อนางในบัดดล
นางร้อนละอุราวน้ำเดือด หัวใจรัวระทึกรุนแรง ขนลุกเกลียว ยอดปทุมถันชูชันแข็งเป็นไต เกิดอารมณ์กำหนัดสบัดซ่านสยิว
นางกลืนน้ำลายเฮือกใหญ่ เมื่อเบือนหน้าไปสบตากับพ่อภู่ ที่มองเหม่อเลื่อนลอยมา
“ ไอ้โจรสลัดชั่วช้าลามก !...”
ผิงซีสบถด่าเสียงเครือ พลางถอยตัวไปติดผนังห้อง รีบดึงชายสไบมาห่มคลุมไหล่เปลือยอีกด้าน แล้วรีบยกแขนกอดอกบดบังสัดส่วนของสงวน ที่กำลังระริกสั่นเกิดอาการถวิลหาโดยไม่มีสาเหตุ
“ ฮ่า ฮ่า ฮ่า …ผงอะโพดังเต้ ช่างทรงฤทธิ์โดยแท้ เจ้าสยิวสยายจนสิ้นจริตแม่หญิงเรียบๆร้อยๆไปแล้วหนา แม่สาวชาววัง ! “
เสียงหัวร่อร่าของอูซาเรเน่กึกก้อง เข้ามากับร่างสูงใหญ่ที่เปิดประตูพร้อมชายกำยำชาวฝรั่งเศสอีกสองนาย ที่ถอดเสื้อเปลือยอกอวดมัดกล้ามแน่นเนื้อ
ส่วนอูซาเรเน่ยังคงอยู่ในชุดสูททรงยาว สวมหมวกกัปตันเรือทรงสามเหลี่ยม ไม่เปลี่ยนแปลง
“ ไอ้โจรโฉดชั่ว เจ้ามันไร้ยางอาย ใช้วิธีสกปรกต่ำช้านัก ! “
ผิงซีแผดเสียงด่าทอ ทั้งที่ดวงตาสั่นระริกด้วยความหวาดหวั่น เมื่อเห็นสองชายเปลือยอกเดินเข้ามาใกล้ แล้วแยกย้ายยืนคุมเชิงนางไว้ทั้งซ้ายขวา
“ นี่พวกเจ้าคิดจะทำอะไร ? “
ผิงซีกล่าวเสียงสั่นเครือ สองแขนกอดอกแน่น อารมณ์หลากหลายปะทุขึ้น….นางทั้งโกรธเคือง หวาดหวั่น ซ้ำยังกระสันสวาท จนไม่กล้าเงยหน้ามองร่างกายชายกำยำทั้งคู่
“ โอ๊ะ !..โอ๊ะ !...นี่ท่านหวาดกลัวฤาแม่หญิง ช่างแปลกตายิ่งนัก แม่หญิงผู้มีเชิงดาบล้ำเลิศหายสาปสูญไปอยู่ที่ใดแล้วเล่า ฮ่า ฮ่า ฮ่า ….? ”
จอมสลัดกู่ร้องสำราญ คล้ายกับจิ้งจอกร้ายหยอกเย้าเหยื่อ ก่อนจะขย้ำกินให้สาสมใจ
“ หากพวกเจ้าแตะต้องนางสักปลายเล็บ ข้าจะทิ่มแทงตาตัวเองให้บอดสนิท ดูซิว่าจะมีใครมาแก้กลเปิดแผนทีให้เจ้า ”
พ่อภู่กล่าวดังลั่น ขณะใช้สองมือเกาะกรง ยื่นหน้ากู่ร้องด้วยใบหน้าแดงซ่าน เหมือนจะได้สติบ้างเลอะเลื่อนบ้างบางครา
ถ้อยคำอันห่วงใย บันดาลให้ผิงซีมองชายเมามายผิดแปลกออกไป มิคาดว่าภายนอกอันเหลวไหลไร้แก่นสาร จะมีหัวใจละอุอุ่นถึงเพีงงนี้
“ ชะ ชะ ช๊า !...อารักษ์ผู้กล้าหาญ ออกหน้ามาช่วยแม่หญิงในดวงใจเสียแล้ว ฮ่า ฮ่า ฮ่า …พวกเจ้าว่าข้าสมควรโอ่นอ่อนผ่อนตามมันหรือไม่ ? “
คำกล่าวที่ตามต่อท้ายหันไปกล่าวกับสองชายกำยำ ที่เหลียวหน้ามาแสยะยิ้มเหี้ยมเกรียม
ราวกับเห็นถ้อยคำของอูซาเรเน่ เป็นดั่งแรงผลักส่งให้พวกมันกระเหี้ยนกระหือลือมากกว่าเก่า !..