ลักพาสู่วังใน
สายน้ำเรียบใสราวผิวกระจกเรื่อยไหลอ้อยสร้อย
แสงจันทร์นวลใยสะท้อนต้องผิวนที ที่กำลังเอ่อล้นปริ่มตลิ่ง
สายลมโชยชายกลิ่นหอมรัญจวนยวนใจ อบร่ำบรรยากาศให้รวยรื่นละมุนใจ คลอเคล้าเข้ากับแสงโคมประทีปสว่างไสว กับเสียงดนตรีแผ่วหวานที่ลอยล้ามาไกลๆ บันดาลให้ใจคนคล้อยเคลิ้มไปในราตรีงาม
ณ คืนเพ็ญเดือนสิบสอง เรืองรองความสมปราถนากว่าครั้งใดในพระนคร
โดยเฉพาะในเทศกาลลอยโคมประทีป ในพ.ศ. 2350 ทั่วทั้งราชอณาจักรใหม่แห่งชาวสยาม ที่มีความคึกคักปรี่เปรมกว่าครั้งใดๆ ดั่งเป็นงานสมโภชน์กรุงเทพฯก็ไม่ปาน
มีการจัดร้านรวงละลานตา เพลิงไม้ไผ่ขายของสารพัด ทั้งขนมข้าวต้ม ของเล่นของใช้ ไม่ว่าจะเป็นโคมประทีปจากกรุงปักกิ่ง ผ้าผ่อนจากเมืองม่วง เครื่องเงินของเครื่องประทินกลิ่นเรียงรายไปตลอดแนวถนนท่าเตียน
มองเห็นคนหลายเชื้อชาติเดินกันควักไขว่ โรงงิ้วโรงละครอึ่งอลไปทั้งคุ้งน้ำ
นับตั้งแต่สถาปนามหานครกรุงเทพ ฯ ขึ้นเมื่อ 26 ปีก่อน ไม่มีปีใดที่ชาวประชาจะปลอดโปล่งโล่งใจได้เท่าราตรีนี้
สาเหตุจากการกอบกู้ชาติสร้างราชอณาจักรใหม่ ยังไม่ยากเย็นเท่าฟื้นฟูวัฒนธรรมคืนรากเหง้าแก่ชาวสยาม เพราะทั้งเหล่าเชื้อพระวงศ์ และเหล่าช่างชำนาญงานวิจิตร ล้วนถูกกวาดต้อนไปอยู่เมืองอริราชเสียส่วนใหญ่
การสร้างขนบธรรมเนียมใหม่ จึงมีอันต้องผสานรวมกับวัฒนธรรมต่างชาติต่างภาษา นิวัฒน์เป็นอณาจักรรัตนโกสิทร์ ที่เหล่าพ่อค้าวาณิชต่างให้สมญา ว่าเป็นนครแห่งสายน้ำ …อันเคลื่อนไหวไหลผสาน รวมหลอมไม่หยุดนิ่ง …
ในทุกวิถีชีวิตในพระนคร ล้วนมีสายน้ำเกี่ยวเนื่องอยู่ทุกลมหายใจ
แม้กระทั้งวันขึ้นปีใหม่ ที่ถือเป็นทำเนียมปฏิบัติมาช้านาน ยังยึดถือเอาวันที่แม่น้ำเอ่อขึ้นถึงจุดสูงสุดในเดือนสิบสอง เป็นวันลอยโคมประทีป ให้ปีใหม่โชติช่วงสว่างไสว พร้อมกับขอสมาลาโทษในวันเก่าๆ ให้ลอยเคราะห์ไปกับสายนที
ไม่เพียงชาวบางกอกที่ชื่นชอบเทศกาลลอยโคมประทีป แม้แต่ชาวต่างชาติที่รอนแรมข้ามน้ำข้ามทะเลมาไกล ยังชื่นชอบแนวคิดลอยเคราะห์ของชาวสยามอยู่มิใช่น้อย
โดยเฉพาะพ่อค้าชาวจีน ที่ผูกพันธ์กับชาวสยามมาหลายร้อยปี จนมีการตั้งชุมชนกลุ่มใหญ่อยู่ตรงข้ามฝั่งบางกอก ตั้งเป็นบางจีนตั้งแต่แผ่นดินอยุทธยา
ตราบเมื่อมีการก่อตั้งราชธานีใหม่ อณาเขตของชาวบางจีนจึงถูกเวรคืน เพื่อสร้างพระบรมมหาราชวัง ส่วนชาวจีนที่อยู่เก่าได้รับที่ทำกินใหม่อยู่ย่านสามเพ็ง
ถึงกระนั้นยังมีผู้คนอยู่ไม่น้อย ยังชมชอบอยู่ริมสายน้ำใหญ่ มากกว่าขึ้นฝั่งอยู่กับเรือกสวนไร่นา
เหตุนี้จึงบังเกิดเรือนแพเป็นนวัฒกรรมแปลกใหม่แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ ซึ่งเป็นที่อยู่ที่ไม่ใช้ทั้งแพ และไม่ใช้ทั้งเรือนไม้สูง หากผสมผสานให้ชาวจีนโพ้นทะเลอยู่เย็นเป็นสุขไม่น้อย
ตรงบริเวณริมน้ำท่าเตียน จึงมีเรือนแพยึดโยงเรียงต่อสิบกว่าหลัง อันเจ้าเรือนทั้งหมดล้วนเป็นพ่อค้าโพ้นทะเล ที่ติดต่อค้าขายกับสกุลอั้งทั้งสิ้น
…สกุลอั้งที่ได้ชื่อว่าเป็นคหบดีผู้ทรงอิทธิพลที่สุดในสยาม มีผู้ใดบางไม่ยำเกรง
จึงไม่ใช้เรื่องแปลกที่จะเห็นคนของสกุลอั้งหลายสิบชีวิตนั่งผ่อนหย่อนใจ คล้ายรอคอยใครอยู่ที่ชายพักเรือนแพตั้งแต่เย็น
ตราบกระทั้งพวกมันทุกคนต่างลุกพรวดยืนขึ้น เมื่อเห็นคุณชายรูปงามเดินทอดน่องขึ้นจากท่าน้ำ หลังเสร็จพิธีลอยโคมสีสดที่มันทำมากับมือ
ทันทีที่เห็นคุณชายน้อยของพวกมัน ทั้งสิบกว่าชีวิตต่างกุลีกุจร วิ่งขึ้นจากเรือนแพ มาตั้งเป็นขบวนแถวต่อหลังคุณชายน้อย
โดยมีสองคนสนิท หนึ่งกำยำสูงใหญ่ หนึ่งสูงชลูดผิวเหลืองซีด ต่างวิ่งมาประกบซ้ายขวาเป็นผู้อารักขาในทันใด ทั้งคู่มีหน้านิ่วคิ้วขมวด สายตาระแวดระวังเหลือบซ้ายแลขวา แล้วหันกลับไปมองหีบเหล็กใบใหญ่ที่สี่บ่าวแบกหามมาบนคานไม้ ที่ต่อท้ายขบวนมา
ท่าทางทั้งคู่ผิดกับคุณชายรูปงาม ที่เดินเหินอย่างผ่อนคลายสบายอารมณ์ เดินแช่มช้าด้วยความโปร่งโล่งใจยิ่ง
บุคคลิกของคุณชายน้อยเปี่ยมสง่าราศี ดั่งเชื้อพระวงศ์แดนไกล ผสานกับอาภรณ์ที่มันสวมใส่ เป็นการตัดเย็บอันปราณีตละเอียดอ่อนด้วยผ้าเนื้อแพรสีขาวเงินยวง ปักเหลื่อมทองเป็นรูปผีเสือโบยบิน หนำซ้ำยังสวมเสือกั๊กแขนกุดสีม่วงอมน้ำเงินเข้มทับภายนอก จึงเสริมความภูมิฐานให้มันอีกเป็นเท่าทวี
แม้คุณชายน้อยจะถักผมเปียยาวเฉกเช่นธรรมเนียมชาวแมนจู หากมันมีหมวกกำมะหยี่ทรงกลม มีหยกขาวประดับด้านหน้าหมวก ทำให้คุณชายน้อยดูอ่อนโยนกว่ากลุ่มชายฉกรรจ์ที่เดินร่วมขบวนมาหมดสิ้น
เป็นผู้ใดชมพิศยิ่งเพลิดแพร้ว มีเพียงกุมารน้อยไร้เดียงสา จึงจะมองไม่ออกว่ามันคืออิสตรีงามวิลาสปลอมแปลงมาเป็นชาย
ผิวพรรณอันขาวสล่างอมชมพูระเรื่อ จนแม่หญิงแดนบางกอกยังอดมองค้อนด้วยริษยามิได้
มิหนำซ้ำใบหน้ารูปไข่ของคุณชายช่างอ่อนโยนยวนใจ ดวงตากลมโตปลายชี้เฉียงดูโฉบเชี่ยว รับกับโก่งคิ้วเรียวโค้งดั่งคันศร จมูกโด่งเป็นสัน ริมฝีปากอวบอิ่มรูปกระจับอมชมพูระเรื่องดงามปานบุปผาแรกแย้ม
นางยกมือโบกพัดจีบสีเงินงามวิจิตรเชื่องช้า ย่างเดินด้วยความผ่อนคลายไร้กังวลจากท่าเตียน เคลื่อนขบวนมาถึงยังเขตพระบรมมหาราชวัง อันปลูกสร้างวัดพระศรีรัตนศาสดารามอยู่ในเขตราชฐาน มองไกลๆยังเห็นแปดยอดพระปรางอัษฎามหาเจดีย์ เรียงไล่เป็นแถวไกลตา
คุณชายน้อยพบว่ามีแม่เฒ่าแม่แก่จูงลูกจูงหลาน มาข้างเขตกำแพงวัง แล้วพวกนางต่างนั่งยองๆยกมือไหวกำแพงวังสูงลิ่ว บันดาลให้คุณชายอดอมยิ้มกับอากัปกิริยาของสตรีชราเหล่านั้นมิได้
เพราะในบ้านเมืองนาง ไม่มีผู้ใดแสดงความคารวะกำแพงให้เห็นสักครา
“ จักรพรรดิของชาวเสี้ยมหลอ (สยาม) เป็นดั่งราชาผู้พิทักษ์ปกปักปวงชนภายในราชธานี ในเขตพระบรมมหาราชวังยังสร้างวัดวาอาราม ประดิษฐานพระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์ ยามเมื่อคนยกมือไหว้จึงเป็นการผสานรวมสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งมวลไว้ ….แบบนี้จึงนับเป็นการชนะโดยไม่ต้องรบ แทรกซึมเข้าไปยึดครองใจคน นับเป็นยอดแห่งพิชัยสงครามจริงๆ ฮึ ฮึ ฮึ “...
นางบ่นรำพึงกับตัวเองด้วยความพึงพอใจ หากเพียงชั่วครู่กลับต้องส่ายหน้า ถอนหายใจยาว
นางนึกไปถึงราชวงศ์หมิงของนาง ไม่รู้จักครองใจพสกนิกรเช่นนี้ จึงต้องเสียแดนดินให้พวกแมนจูป่าเถื่อนไป …ที่นางเป็นอยู่คือชาวฮั่นที่ไร้แผ่นดินอาศัย แม้จะมีความหวังที่จะกอบกู้ต้าหมิงล้มต้าชิงอยู่น้อยนิด แต่เช่นไรก็ต้องลองเสี่ยงกระทำดู
คุณชายน้อยครุ่นคิดพลางเหลือบมองหีบเหล็กที่ท้ายขบวนด้วยความหวังเปล่งประกาย ก่อนจะเร่งฝีเท้าให้เร็วรี่ขึ้น
ตราบกระทั้งนางเดินนำขบวนมาถึงยังวังท่าพระจันทร์ อันเป็นสถานที่ซึ่งปฐมกษัตริย์ได้ปลูกสร้างให้เป็นที่พำนักแก่เจ้าฟ้าเหม็น ผู้เป็นหลานรัก ที่เกิดจากพระธิดาองค์ใหญ่กับพระเจ้ากรุงธนบุรีฯผู้กอบกู้แผ่นดิน
และด้วยการที่เจ้าฟ้าเหม็นเป็นราชโอรสของมหาราชแห่งแผ่นดินธนบุรี ทำให้เหล่าขุนนางอำมาตชั้นผู้ใหญ่ ล้วนคลางแคลงในความจงรักภักดีต่อราชวงศ์จักรีเป็นอันมาก จึงเป็นเหตุให้เจ้าฟ้าเหม็นถูกควบคุมทั้งทรัพย์สิน และกำลังทหารอย่างเคร่งครัดรัดกุม
ราชวังท่าพระก็เป็นเช่นเดียวกับองค์เจ้าฟ้า คือเจียมเนื้อเจียมตัว เรียบง่ายไม่โอ่อ่า และใกล้ชิดกับชาวประชามากกว่าวังเจ้าฟ้าองค์ใด
ภายในวังจึงมีเรือนชานให้ช่างฝีมือประกอบกิจ ประดิษฐ์สร้างศิลปะหัตกรรมอยู่หลายแขนง เพื่อให้ช่างฝีมือได้ใช้วิชาเลี้ยงตัว
แม้ในวันที่เกิดทุขพิษภัยโรคระบาด วังท่าพระยังเปิดโรงทาน ช่วยเหลือพสกนิกรให้คลายทุกข์ร้อนอยู่บ่อยครั้ง
จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่จะเห็นขบวนแถวขนสินค้า เข้านอกออกในวังเจ้าฟ้าอยู่เป็นนิจ
คุณชายน้อยแย้มยิ้มทักทายสองทหารยามหน้าประตูอย่างคุ้นเคย หนำซ้ำยังหยิบยื่นถุงเงินให้เป็นสินน้ำใจ
ครู่เดียวหนึ่งในทหารยามจึงเดินนำทางด้วยความยินดี นำขบวนพวกมันทั้งหมดเข้าสู่เขตนางในด้วยความพินอบพิเทา
…ภายในอณาบริเวณของเรือนนางกำนัล มีต้นอินต้นจันสูงใหญ่แผ่กิ่งก้านครึ้มเป็นแถวยาว
กลิ่นหอมเบาบางของลูกจันทร์โชยละมัยในสานลม ยิ่งเดินลึกล้ำเข้าสู่หมู่ตำหนักนางกำนัล กลิ่นรวยรินหอมจางๆยิ่งรัญจวนชวนให้หลงใหล
คุณชายน้อยก้าวย่างด้วยอารมณ์ชื่นชมบรรยากาศ ที่น้อยคนนักจะได้สัมผัส มือขวานางโบกพัดจีบรับไอเย็น รู้สึกผ่อนคลายไปกับความร่มรื่นของต้นจันอันละลานตา
“ พี่ซี !..ท่านยินยอมมาหาน้องแล้วฤา ?...น้องคิดว่าพี่หลงลืมหนทางมาตำหนักในเสียแล้วประไร ? “
น้ำเสียงอ่อนหวานลอยลอดมากับเรือนร่างบอบบาง นางอยู่ในอาภรณ์อย่างนางใน ห่มสไบสีชมพูอ่อนประดับสร้อยสังวาลย์สาย คล้องทับทรวงสวมกำไรทอง ช่วยขับเน้นผิวนวลให้ผ่องกระจ่างกลางแสงเดือนส่องไสว
ใบหน้ารูปไข่ของนางละมุนอ่อนหวาน ใบหน้าจิ้มลิ้มพริ้มพราย ประพิมประพรายคล้ายคุณชายน้อยเสียทุกส่วน จะต่างเพียงสองแก้มนางมีลักยิ้มบุ๋มเล็กๆเวลานางเอื้อนเอ่ยวาจา
นามแม่หญิงจันจีนที่เหล่าสหายนางในเรียกขาน หาได้คลาดเคลื่อนไปจากรูปโฉมนางที่ผ่องกระจ่างแม้แต่น้อย
“ จิวจี !...เจ้าสุขสำราญเพียงนี้ จะต้องให้พี่สาวมาเยี่ยมเยือนอีกฤา ? “
คุณชายน้อยกล่าวเสียงอ่อนหวานเช่นอิสตรี ไม่มีปลอมแปลงปกปิดดั่งรูปโฉมภายนอกสักนิด
แม่หญิงจันจีนที่รีบเร่งลงจากเรือน เหมือนจะรู้ว่าพี่สาวนางจะพูดกล่าวกระไร นางหาได้รอคอยให้พี่สาวกล่าวจบสิ้น ก็พลันเร่งรีบเข้าโอบกอดพี่สาวไว้แน่น
“ เอ !...แม่หญิงชาววัง เหตุใดไม่ประนมมือไหว้เล่า มากอดรัดเช่นนี้เป็นธรรมเนียมฝารั่งมั่งค่ามิใช่ฤา ? “
“ คิก ติก คิก …ถูกต้องแล้วพี่ซี !...ข้ากำลังร่ำเรียนธรรมเนียมฝารั่ง เผื่อว่าจะสลับตัวกับพี่ แต่งสำเภาไปค้าขายยังเมืองยุโรปบ้าง ! “
“ ฮืม !...สลับตัวกับพี่อย่างนั้นฤา เจ้าเบื่อหน่ายการเป็นแม่หญิงชาววังแล้วหรือไร ? ”
“ ใครว่าน้องเบื่อเล่า ! น้องแค่ยากให้พี่สาวลิ้มสัมผัสรสสุนทรีย์ของชาวสยามบ้าง เผื่อพี่ซีอยากตบแต่งออกเรือน เป็นบุปผางามในห้องหอ แทนที่จะเที่ยวตะล่อนๆไปเจ็ดย่านน้ำเช่นนี้ “
แม่หญิงจันจีนกล่าวลอยหน้าลอยตา พลางรีบดึงมือพี่สาวขึ้นบันไดเรือน พากันเดินผ่านลูกหาบสิบกว่านายที่นั่งพับเพียบอยู่หน้าประตู
พอขึ้นไปถึงเรือน ก็เร่งเดินผ่านสองคนสนิท ที่นั่งคุกเข่าอยู่ข้างหีบเหล็กใบใหญ่ที่วางไว้กลางห้อง
แม่หญิงจันจีนแย้มยิ้มให้ทั้งสองคนสนิทแทนคำทักทาย ขณะจูงมือพี่สาวมานั่งยังตั่งโต๊ะริมหน้าต่าง ที่ด้านข้างยังมีโต๊ะกลมวางไว้ด้วยชามกระเบื้องใส่ขนมหวานสีเหลืองอล่าม กับชุดกาน้ำชาถ้วยเครือบฝั่งมุขวางเคียง
“ หากพี่ซีมาอยู่วังแทนข้า ท่านจะได้เรียนทำขนม ฟ้อนรำ เย็บปักถักร้อย หัดแต่งโคลงฉันท์กาพย์กลอน ดีหรือไม่ท่านพี่ ? “
แม่หญิงกล่าวฉะฉาน พร้อมทั้งรินน้ำชายื่นส่งให้พี่สาว ที่เอาแต่ยื้มหวานให้นาง
โดยพี่สาวยังไม่ทันนั่งให้คลายเหนื่อย ก็ต้องมารับแก้วน้ำชา พร้อมหยิบขนมทรงกลมสีเหลืองสุกปลั่งส่งเข้าปาก
“ ขนมเสน่ห์จันหวานกลมกล่อม ละมุนลิ้นนัก ถูกปากพี่หรือไม่ ?...หากพี่อยากทำเป็นน้องสอนให้ดีหรือไม่ ? “
“ เสน่ห์จันกระนั้นฤา ? ขาวสยามนี่รับทานกระทั่งพระจันทร์เจียว ? “
คุณชายน้อยลิ้มขนมหวานไป เอ่ยถามไปด้วยความสนใจ
“ ไม่เพียงรับทานพระจันทร์ ยังมีผลไม้ชื่อลูกจัน ขนมของชาวแต้จิ๋วยังแปรเปลี่ยนเป็นชื่อจันอับ สุราเมลัยยังเรียกขานว่าน้ำจัน เห็นหรือไม่ว่าชาวสยามหลงใหลพระจันทร์เพียงใด ? “
“ พระจันทร์คงเป็นเปลือกนอกของความรักความใคร่กระมั้ง ที่ชาวสยามหลงใหลคงไม่พ้นรสรักเสน่หาเป็นแน่ “
คุณชายน้อยกล่าวด้วยแววตาเปล่งประกายวับวาว พลางโบกพัดไปทางสองคนสนิท จนทั้งคู่ขยับเข้าหาหีบเหล็กแล้วเร่งรีบเปิดฝาออก
“ เกรงว่าเจ้าจะอยู่ในวังขาวสยามนานโขอยู่กระมั้ง จึงหลงใหลในรักเฉกเช่นชาวสยามไปแล้ว “
วาจาคุณชายน้อยเลื่อนลอยไปพร้อมหีบเหล็กที่ถูกพลิกตะแคง ได้เทเอาสิ่งที่อยู่ภายในเกลือกกลิ้งออกมา
“ คุณพระ !...นี่มัน !...มัน ! “
แม่หญิงจันจีนร้องแตกตื่นตกใจ ดวงตาเบิกกว้าง มองชายหนุ่มร่างแบบบางที่เพิ่งพุ่งพวดออกจากหีบ โดยมือเท้ามันถูกมัดเชือกไว้แน่น ที่ปากมีผ้าผูกมัด หนำซ้ำยังมีดอกดอกพู่ระหงสีแดงสดทัดหู
“ พ่อภู่ ! …. ท่านพามันมาที่นี่ทำไม ? “...
พ่อภู่ที่แม่หญิงจันจีนเรียกขาน เหลือบตามองนางด้วยแววตาหวานเชื่อม เปลือกตาหรี่ปรือ ดั่งมีอาการเมามายอยู่หลายส่วน แม้มันจะถูกผ้ามัดปิดปาก หากยังไม่อาจปกปิดรอยยิ้มใต้ผ้าไว้ได้
“ นักเลงกลอนขี้เมาผู้นี้ ละเมอเพ้อถึงเจ้าอยู่ทั้งวันคืน เจ้าไม่อยากพบเจอมันดอกฤา ? “
น้ำเสียงยั้วล้อของพี่สาว เหมือนจะกระตุ้นโทสะของแม่หญิงจันจีนให้ฉีดซ่าน สีหน้านางแปรเปลี่ยนเป็นเคร่งเครียด คิ้วขมวดขุ่น ดวงตาขึ้นเลือดฝอยแดงกร่ำ
“ พ่อชายต่ำช้าเลวทรามเช่นมัน ! ใครอยากไปพบเจอมันเล่า ! “
อารมณ์นางพลั่งพรูเดือดดาล ตรงเข้าคว้ากาน้ำชา สาดลาดน้ำร้อนใส่ใบหน้ามันในบัดดล…
ชั่วลัดนิ้วมือพี่สาวนางต้องรีบคว้าข้อมือแม่หญิงให้ระงับอารมณ์
เช่นเดียวกับสองคนสนิท ที่รีบเข้าไปพยุงตัวพ่อภู่ ช่วยดึงผ้าที่มัดปากเข้าไปเช็ดน้ำร้อนที่ลวกใบหน้ามันจนแดงกร่ำ
โดยไม่มีใครคาด ว่าชายที่ถูกน้ำร้อนสาดใส่ พอเปิดปากได้กลับปลดปล่อยเสียงแรกเป็นวาจาคล้องจ้องในสำเนียงแห่งรัก
“ เหมือนมัจฉามีสาครเป็นที่พึ่ง
บุญแล้วจึงได้พบประสบศรี
ต้องประสงค์อยู่ตรงไมตรีดี
หากเจ้ามีสิ่งของใดใคร่บงการ
จอมเจ้าเยาวลักษณ์พิไลพิลี้
เสียแรงพี่จงรักสมัครสมาน
อย่าด่าว่านักชักเยิ่นให้เนินนาน
จะเสียการไมตรีพี่เว้าวอน “...
…อึ้ง !....
ตะลึงไปทุกผู้คน …นี่มันคนประเภทใดกัน จึงร่ายกลอนเพลงยาวฝากรัก ทั้งที่ถูกทำร่ายเช่นนี้
“ อย่าได้เปิดปากมัน !...มิเช่นนั้นน้องจะตัดลิ้นมันลอยไปกับโคมประทีป ให้รู้แล้วรู้รอดไป “
แม่หญิงจันจีนสบถเสียงขุ่นเคือง พลางเดินกระแทกเท้าปึงปัง !...มุ่งตรงออกจากห้องไป
“ น้องจันจีน !...”
พ่อภู่ไม่ทันเอ่ยวาจาทักท้วง ก็ต้องถูกสองคนสนิทจับผ้ามามัดปาก แล้วจับไหล่มันให้นิ่งอยู่กับพื้น
ดูน่าขบขันปนอเนจอนาจ จนคุณชายน้อยอดอมยิ้มมิได้ ถึงกระนั้นคุณชายน้อยก็ยังเร่งรีบเดินตามน้องสาว
โดยนางยังไม่วายปรายตามองนักเลงกลอนผู้เมามาย ที่ยังชายตาละห้อย มองตามน้องจันจีนไปสุดอาลัยอาวร…