“ เจ้าฝารั่งป่าเถื่อน ! “
ผิงซีแผดร้องเคืองขุ่น พร้อมกับเผ่นโผนกวัดแกว่งดาบเรียวบางเข้าใส่อย่างโกรธเกรี้ยว
แต่ชายที่เป็นดั่งผู้นำกลับมีท่าทีเยือกเย็น แล้วตวัดดาบแทงเข้าดอกพู่ระหงปลดออกจากหูพ่อภู่ พลางหันดาบตรงเข้าไปชี้ใส่ผิงซี จนนางต้องชะงักเท้าตั้งวงดาบอย่างหวาดระแวง
“ ของมีคมไม่เหมาะสมกับสาวชาววังดอกหนา แม่หญิงคนงาม “
น้ำเสียงภายใต้ผ้าปิดปากแฝงความมั่นอกมั่นใจเปี่ยมล้น นัยน์ตาสีเขียวอ่อนที่มองมาส่องสะท้อนความเจ้าเล่ห์เจ้ากล ดั่งอสรพิษหมายสกดจิตเหยื่อโอชะก็ไม่ปาน
ทว่าผิงซีหาใช่สมั่นน้อยอ่อนด่อยกำลังขวัญ นางกระดกปากมุมยิ้มเหี้ยมหาญ ไปพร้อมร่ายไหวเพลงดาบกรีดเฉือนแหลมคม
ทันทีนั้น ดาบในมือหัวหน้าชายชุดดำพลันตวัดต้านรับ เคลื่อนเร็วรี่ไปสี่-ห้ากระบวนท่า พอมันควงดาบพลิกตัวหลบ ดอกพู่ระหงตรงปลายดาบมันกลับถูกผิงซีฟันขาดสะบั่นไปในพริบตา
“ โอ๊ะ โย้ว !.. แม่หญิงคนงามเหตุใดมีเชิงดาบดุดันนัก เช่นนี้จะมีพ่อชายใดกล้ามาสู่ขอเล่า ? “
มันกล่าวหยอกล้อพลางแกว่งดาบเป็นทรงกลมล่อหลอก วิชาดาบมันเชี่ยวชาญกว่าชายชุดดำที่ผิงซีปะทะมา มันถึงกับสามารถกล่าวเริงเล่นไม่กลัวคมดาบนางแม้แต่น้อย
เช่นนั้นผิงซีมีแต่ออกวิชาอาวุธอันลึกล้ำไปออกขั้น
“ เชิงดาบเล็กน้อยเพียวนี้เจ้าว่าดุดันแล้วฤา เช่นนั้นข้าร่ายรำพัดโรมรันกับเจ้าเป็นไร ! “
วาจาไม่ทันจบสิ้น พัดจีบในมือนางพลันคลี่ออกพร้อมโบกไกวไปมา โชยชายรูปผีเสื้อปีกไพรินสีฟ้าสด ให้วูบไหวล่อลวงตา
ทวงท่านางอ่อนช้อยงดงาม จนชายผู้นำเคลิบเคลิ้มราวพบนางฟ้านางสวรรค์มาโปรด
แม่หญิงงามสะพรั่งในอาภรณ์สไบสีชมพูพลิ้วไสว ขับกับจุดแสงสีฟ้าเล็กๆบนพัดจีบ อันเลื่อนไหลสอดสัมพันธ์พราวพราย
ดูงามผสานอย่างไม่เคยพบพาน ห่มร่มสไบอย่างหญิงชาวสยาม ที่ร่ายรำพัดจีบสีเงินยวงของชาวจีน แต่อีกมือกลับกวัดแกว่งดาบฝรั่ง งามตระการต่ยิ่ง ทว่าความงดงามของนางกลับแฝงความอันตรายในชั่ววูบ เมื่อนางวกดาบเสือกแทงด้วยเพลงกระบี่ง๊อไบ๊อันทรงพลัง
คมดาบกราดเกรี้ยวพุ่งทะลวงจนชายหนุ่มแตกตื่น ปัดป่ายดาบด้วยความหวาดกลัว ก่อนจะเซถลาถอยห่างสุดหวาดหวั่น
“ โว้ว !...หวาดเสียวยิ่ง !..”
มันตะโกนร้องลั่น สวนทางกับผิงซีที่ร้องบอกเหี้ยมหาญ ดั่งนักรบกระหายศึก
“ ยังมีหวาดเสียวกว่านี้อีกเจ้าฝารั่งดั้งขอ ! “
ผิงซีกู่ร้องพลางเสือกส่งเพลงกระบี่ติดตามฉับไว
แต่แล้วเจตนามุ่งมาดฟาดฟันของนาง กลับถูกขัดจังหวะด้วยกลุ่มนายตระเวนหลายสิบนาย ที่วิ่งกรูเข้ามาในลานสวนแก้ว
“ พวกคนร้ายอยู่นี่ จับพวกมันให้หมด ! “...
พลันนั้นเหล่านายตระเวนที่มาใหม่ ต่างกรูเข้าฟาดฟัน ทั้งพวกผิงซีและเหล่าฝรั่งชุดดำต่างผงะกาย เข้าต้านรับข้าศึกที่ถาโถมมา
“ ทุกคนถอย ! “...”
หัวหน้าชายชุดดำตะโกนลั่น พลางตวัดดาบกวัดแกว่งวิ่งฝ่าวงล้อมนายตระเวน โดยมีสองชายชุดดำที่แบกพ่อภู่กับกระถางแปดมังกรวิ่งติดตามไปไม่ห่าง
ผิงซีที่หมายจะวิ่งติดตาม กลับต้องละล้าละลังกระทันหัน เมื่อหันมาเห็นน้องสาวอยู่ในวงล้อมนายตระเวน นางจึงพลันเผ่นโผนเข้าใช้ดาบฟาดฟัน แล้วดึงน้องสาวออกจากวงล้อม
“ พวกเจ้ารีบคุมกันคุณหนูเล็กหนีออกไป เหตุการณ์ตึงมือหนักหนาแล้ว ! “
ผิงซีดึงรั้งน้องสาวมาไว้กับคนสนิทร่างยักษ์ ทั้งที่ตวัดดาบฟาดฟันผู้ที่ขวางหน้าไม่ยั้ง
“ พี่ซี !...ท่านจะตามมันไปคนเดียวหรือไร ? มันอันตรายหนา !...”
แม่หญิงจันจีนตะโกนร้องเตือนพี่สาวสุดห่วงใย ขณะถูกชายร่างยักษ์จูงมือให้ถอยห่าง ฝ่าวงล้อมดาบให้ห่างไกลพี่สาวไปทุกที
“ ต้องรีบไปแล้วคุณหนู มิเช่นนั้นพวกเราต้องเอาชีวิตมาทิ้งไว้ที่นี่หมดสิ้นแล้ว “
ชายร่างยักษ์ควงหมัดฝ่าวงล้อมไป ตะโกนร้องเรียกให้รีบล่าโดยพลัน
โดยแม่หญิงจันจีนจำต้องยินยอมเร่งฝีเท้า ตามหลังทั้งสองคนสนิทไปอย่างร้อนรน
แม่หญิงจันจีนเหลียวมองหลัง เห็นเพียงสไบไสวสีชมพู ที่กำลังกลืนหายเข้าไปในความมืดทุกขณะ…
… เสียงเกราะกระทบ ฆ้องเตือนภัยถูกตีกระหน่ำดังสนั่น จนนายตระเวน และทหารประจำวังต่างวิ่งอลหม่านภายในพระราชฐาน
ปล่อยทิ้งให้ทหารยามสองนาย ที่เฝ้าทางประตูทิศใต้ยืนฉงนฉงายกับเหตุแปรเปลี่ยน เพราะประตูทิศใต้อยู่ห่างไกลสวนแก้วมากโขอยู่ จึงไม่รู้เหตุโกลาหลใดภายในวัง
กระทั้งชายชุดดำเผ่นโผนเข้ามาใช้ดาบทิ่มแทงมันทั้งคู่ โดยไม่ทันตั้งสติรู้ตัว
อ๊าก !...อ๊ า ก ก ก !....
ทหารยามทั้งคู่ตกตายทั้งที่ยังงงงัน มือยังเกร็งค้าง ไม่ทันได้ชักดาบออกจากฝัก ร่างก็ล้มกระแทกพื้นด้าวดื้นสิ้นชีพไปทั้งที่เหลือกตาค้าง
ไม่อาจเหลือบเห็นสิบคนร้ายที่วิ่งออกนอกประตูวัง ด้วยความร้อนรน
เหล่าชายชุดดำต่างบ่ายหน้าตรงไปยังท่าเทียบเรือ ที่คลองคูเมืองอันมีเรือพวกมันจอดคอยท่า
แม้บางคนจะบาดเจ็บ พวกมันยังกุมบาดแผลเร่งฝีเทัาไม่หยุด ไม่ต่างจากคนผู้แบกพ่อภู่กับกระถางทองเหลือง ที่ตะบึงวิ่งลัดท้องทุ่งพระเมรุอันกว้างใหญ่
จะมึเพียงหัวหน้าพวกมันที่วิ่งเยาะๆตามมันมาห่างๆ หนำซ้ำยังเหลียวมองหลังเป็นระยะๆ คล้ายยังอาลัยอาวรณ์ต่อผู้ตามมาอยู่ไม่คลาย
ตราบกระทั้งมันวิ่งมายังกลางท้องทุ่งโล่งกว้าง ที่ซึ่งมีแสงจันทร์สาดส่องอาบร่าง มีกำแพงพระบรมมหาราชวังแลเห็นไกลๆอยู่ทางขวา ทางเบื้องซ้ายยังแลเห็นป้อมปืนใหญ่ของวังหน้า ( ธรรมศาสตร์ในปัจจุบัน ) ความรู้สึกบางชนิดทำให้มันชะงักกาย หันหลังยืนรอคอยแม่หญิงชาววังที่ตะบึงวิ่ง จนสไบปลิวไสวในสายลมโชย
“ ช่างเป็นแม่หญิงที่น่าสนใจยิ่งนัก ! “
หัวหน้าชายชุดดำกล่าวรวยรื่น พลางสะบัดดาบจรดปลายลงพื้นด้วยใบหน้ากระหยิ่มยิ้มย่อง แล้วจึงปลดผ้าโผกหัวแก้มัดผ้าบดบังใบหน้า เผยให้เห็นเค้าโครงหน้าคมคาย ริมฝีปากบางเฉียบยกยิ้มอย่างมีเลศนัย
เรือนผมมันเป็นรอนหยักโศกสีน้ำตาลอมแดงยาวสยาย ขับเน้นให้ใบหน้าเรียวยาวคมสันโดดเด่นกลางแสงจันทร์ นัยน์ตาลึกซึ้งใต้โหนกคิ้วหนา จ้องมองแม่หญิงที่วิ่งใกลัเข้ามาเรื่อยๆ ด้วยอารมณ์เริงรื่นดั่งได้เห็นนางฟ้านางสวรรค์วิ่งฝ่าเนินหญ้า มายังลานกว้างที่เคยตั้งพระเมรุของเหล่าเจ้านาย
“ เป็นแม่หญิงยิงเรือ เหตุใดโลดแล่นตามพ่อชายไม่รู้จักมักจี่มา หรือความรูปงามของข้าเข้าไปจี้แปลบใจเจ้า จนอดรนทนไม่ไหวฤา ฮิ ฮิ ฮิ ? ”...
มันกล่าวกระหยิ่มยิ้มย่อง เท้าสะเอวย่อขาพักดั่งขุนนางสูงศักดิ์เกี้ยวพาราสีหญิงงาม
ตรงข้ามกับผิงซีที่มีสีหน้าไม่อภิรมณ์อย่างเห็นได้ชัด นางชะงักเท้าหอบหายใจ เหงื่อพราวเต็มใบหน้า
ถึงกระนั้นนางยังขืนหยัดยืนหลังตรง โบกพัดจีบไปมาไล่ความร้อน อีกมือกำดาบฝรั่ง เผชิญหน้ากับมันโดยไม่ครั่นคร้าม
“ อย่าได้ปากดีนักเจ้าหัวขโมย หากไม่ยากสิ้นชีพกลางลานพระเมรุ ก็ส่งมอบของข้าพเจ้ามา “
“ คิก คิก คิก !...เจ้านี่สายตาแหลมคมยิ่ง รู้ได้เช่นไรว่าข้ามีสายพันธ์เดียวกับหัวขโมย จะต่างเพียงข้าอภิรมณ์ปล้นสะดมสมบัติโอราฬควรเมืองต่างหาก “
“ ชิ !... ขโมยก็คือขโมย มีสูงต่ำอันใด “
“ ย่อมต้องมีอยู่แล้วแม่หญิงคนงาม มิเช่นนั้นผู้คนคงไม่ขนานนามข้า ว่าเทพบุตรโจรสลัดแห่งอันดามันดอก ! …ท่านอยู่แต่ในรั้วในวัง คงไม่เคยได้ยินกระมั้ง ? ”
“ เจ้าคือ อูซาเรเน่ ไพเพอซาร์ต อย่างนั้นฤา ? ”
ผิงซีเอ่ยชื่อมันอย่างระแวดระวัง สายตาจ้องจับใบหน้าคมเข้มด้วยความเคร่งเครียด
“ อุ๊บ๊ะ !... มิคาดว่าชื่อเสียงข้าขจรขจายมาถึงวังเจ้าฟ้าเจียว นับว่ากระเดื่องดั่งโขอยู่ใช่หรือไม่ ? “
อูซาเรเน่หัวร่อภาคภูมิ ประหนึ่งได้รับการอวยยศจากแม่หญิงชาววังก็ไม่ปาน
“ หากเป็นเจ้าจริงนับว่าประเสริฐยิ่งแล้ว ครานี้เป็นอันว่ายิงศรดอกเดียวได้นกสองตัวแล้ว “
ผิงซีกล่าวเคร่งขรึม พลางกระชับดาบแน่นเข้าใกล้
ผิดกับจอมสลัดที่ขมวดคิ้วขุ่น ถามไปด้วยความงงงันขึ้น
“ นกสองตัวอันใด ? ”
“ เมื่อต้นปีเจ้าปล้นสินค้าจากกกองสำเภาตระกูลอั้ง ฆ่าคนตายไปหลายสิบชีวิต ครานี้ข้าไม่เพียงลงมือทวงถามสิ่งของ ยังต้องนำชีวีวิตเจ้าไปเซ่นสังเวยสหายผู้ล่วงลับในคราเดียว “
ผิงซีเอ่ยชัดถ้อยชัดคำ ไปกับร่ายไหวดาบเข้าใส่ราวพายุโหม
ไม่ทันที่อูซาเรเน่จะได้ร้องสักครึ่งคำ ก็ต้องเร่งรุดตวัดดาบต้านรับปลายคมที่ถาโถมมาไม่หยุดยั้ง
ดีที่จอมสลัดปะดาบมานับครั้งไม่ถ้วน ชั้นเชิงดาบนับว่าแพรวพราว ราวกระแสคลื่นทะเลไหลระรอก
สองเท้าของจอมสลัดเคลื่อนขยับระริกระรี้ดั่งนักระบำยิปซี ดาบสะบัดแกว่งไกวราวใบไม้ปลิวไสว ต้านรับตอบโต้ได้ทุกแรงรุกไล่ของผิงซี จนนางนึกประหวั่น ไม่คาดว่าเชิงดาบของโจรสลัดป่าเถื่อน จะพิสดารถึงเพียงนี้
“ เจ้าเรียนเชิงดาบจากนักเริงระบำมาหรือไร เหตุใดมีแต่กระบวนท่าฉาบฉวยเช่นนี้ ! “
ผิงซีกล่าวเบี่ยงเบนสมาธิ ทั้งที่ใจประหวั่นนึกหาหนทางสยบมันให้ได้โดยไว
นางคลี่พัดโบกสะบัดให้แสงไพรินบนปีกผีเสื้อล่อหลอกตา พลางแกว่งไกวดาบร่ายไหวโฉบเฉี่ยว
“ เจ้ารู้ได้เช่นไร ว่าข้าเรียนดาบมาจากเมียคนที่เก้า นางเป็นนักระบำเท้ามือหนึ่งแห่งปีนัง หากเจ้าอยากเรียน ข้าจะสอนให้ดีหรือไม่ ? “
มันกล่าวเย้ยหยัน พลางควงดาบหมุนสลายการโจมตีของนาง ทว่าม้นประมาทหญิงงามเกินไป เพราะแสงไพรินสีฟ้าสดได้สะบัดวูบเข้านัยน์ตาอูซาเรเน่จนพร่าเลือน
โ อ๊ ะ ! !..
อูซาเรเน่ร้องระทึก รีบถอยห่าง หากยังเชื่องช้ากว่าปลายดาบผิงซี ที่กรีดเฉือนเข้าต้นแขนมัน จนเป็นแผลยาว
โอ้ย ย ย ย !...
จอมสลัดร้องร่ำเจ็บปวด พลางเซถลาลงไปนั่งจ้ำเบ้ากับพื้น
“ ส่วนเพลงกระบี่ข้า ร่ำเรียนมาจากนักพรตผู้ทรงศีล หากเจ้าอยากเรียนเกรงว่าต้องตอนตัวเองเป็นขันทีก่อน แล้วข้าจะสอนให้สักท่าสองท่าดีหรือไม่ ! “
ผิงซียิ้มเย้ยหยันมันเป็นการสนองกรรมกลับ พร้อมกับตวัดดาบชี้ปลายคมไปเบื้องหน้าจอมสลัด สมทับด้วยวาจาเหน็บแนมอีกหลายประโยคอย่างสาสมใจ
มิคาดอูซาเรเน่ยังคงระบายยิ้มไปกับปลายดาบ เอ่ยเสียงเรียบใส่โดยไร้ความหวาดกลัวสักนิด
“ ไม่ต้องรบกวนแม่หญิงดอก เมียคนที่หกของข้าสอนข้าใช้เข็มอาบยาพิษ ได้ชะงักนัก แม้แต่จี้แทงเข้าที่ไหล่ศัตรูมันยังไม่รู้ตัว พอเดินสักสามก้าวก็จะล้มพับไม่สมประดี ต่อให้มีฝีมือมากล้น ก็ไร้ความสามารถต่อยตีแล้วกระมั้ง ? ”
อูซาเรเน่ร้องบอกกระตือรือล้น พลางถอยหนีไปอีกหลายก้าว
บันดาลให้ผิงซีตื่นตกใจ พอหันไปมองที่ไหล่ตามคำกล่าวมัน กลับยิ่งแตกตื่นกว่าเก่า
ที่หัวไหล่เปลือยไร้ผ้าปกปิด ตรงผิวเนียนละเอียดของนางปรากฏเข็มเงินปักตรึงอยู่จริงๆ
“ ไอ้โจรโฉด !...ใช้อุบายต่ำทราม นับเป็นลูกผู้ชายอยู่ฤา ? ”
นางตวาดขุ่นเคือง พร้อมกระชับดาบเดินเข้าฟาดฟัน แต่เพียงไม่กี่ก้าว นางก็มีอันวิงเวียนหัว ตาพร่า แขนขาชา เรี่ยวแรงหดหายแทบทรงกายไม่อยู่
“ พิษแม่ม่ายดำจากหมู่เกาะบาหลีออกฤทธิ์แรงฉับไว จะทำให้กล้ามเนื้อชาด้านไปทั้งร่าง หลับสบายในพริบตา จัดอันดับเป็นยาสลบที่รุนแรงสุดในเจ็ดคาบสมุทรเจียวนาแม่หญิง ฮ่า ฮ่า ฮ่า !...”
อูซาเรเน่หัวร่อร่าขณะลุกขึ้นยืน กล่าววาจาเบิกบานภาคภูมิใจดั่งนักรบผู้มีชัยเหนืออริราชอย่างราบคาบ
ผิดกับผิงซี ที่มีสีหน้าเคร่งเครียด ขมวดคิ้วขุ่น เมื่อทรุดเข่าลงไปกระแทกพื้น ดวงตานางพร่าพราย คล้ายกับโลกรอบกายหมุนคว้าง ดั่งอยู่ใจกลางพายุหมุนอันบ้าคลั่ง
ทั่วกายนางชาขึ้นเรื่อยๆ ไร้เรี่ยวแรงแม้แต่จะขยับปากด่าทอ กระทั้งดาบร่วงหลุดจากมือ พร้อมกับเรืนร่างอรชรล้มลงกระแทกพื้น
พลันนั้นโลกได้มืดดับสนิท นางสิ้นสติสมประดีไปในทันใด….