บทที่ 14 เจ้ามารยา

1704 คำ
อ้ายอ้ายพยายามส่งเสียงหัวเราะออกไป เพียงแต่เด็กทารกอายุสามสี่วันเช่นนางไม่อาจแสดงสีหน้าและเปล่งเสียงหัวเราะได้ ดูเหมือนว่าการหัวเราะจะเป็นเรื่องยากสำหรับนาง ดังนั้นเมื่ออ้ายอ้ายพยายามสีหน้านี้จึงกลายเป็นสีหน้าเบะคล้ายจะร้องไห้ออกมา นางอยากจะยิ้มอยากจะหัวเราะแทบตายแต่ทำไม่ได้ จู่ ๆ อ้ายอ้ายก็รู้สึกเสียใจเมื่อเสียใจก็อยากร้องไห้จนอดทนไม่ได้ต้องร้องแงเสียงดัง แว้...แว้...แว้.... มารดาตกใจจึงเอ่ยปลอบ "แม่ขอโทษ แม่ขอโทษลูกอาจจะตกใจ แม่ขอโทษ" มารดาใจเสียแต่คนที่ใจเสียกว่าก็คืออ้ายอ้าย นะ...นะ...นางไม่อยากร้องไห้สักนิด ไม่อยากร้องเลยจริง ๆ นะ หม่าม้าอ้ายอ้ายไม่อยากร้องไห้นะเจ้าคะ ให้ตายเถิดเมื่อไหร่อ้ายอ้ายจะโตนะ น่ารำคาญจริง ๆ! ในที่สุดก็สามารถปลอบอ้ายอ้ายให้สงบลงได้ ด้วยการให้นางดื่มนมอ้ายอ้ายส่งเสียง ฮึก ฮึกในลำคอ พร้อมกับดูดนมไม่หยุด หม่าม้าเช็ดน้ำตาที่ไหลออกมาเป็นทางยาวให้อ้ายอ้ายอย่างอ่อนโยน มือของหม่าม้านุ่มมาก น้ำนมก็อร่อย อ้ายอ้ายอารมณ์ดีแล้วจึงส่งเสียงอืออาในลำคอ ไฉไฉเอ่ยว่า "คุณหนูคงหิวและไม่สบายตัวเจ้าค่ะ คงไม่เกี่ยวอันใดกับเรื่องที่ฮูหยินถาม" โชคดีที่หม่าม้าเข้าใจ "ข้ารู้เด็กเล็กเพียงนี้จะเข้าใจคำพูดของข้าได้อย่างไรเล่า คงเพราะเป็นเช่นเจ้าว่าจริง ๆ" อ้ายอ้ายไม่ฝืนหัวเราะแล้ว เพราะเริ่มเข้าใจอารมณ์อ่อนไหวของเด็กทารกเช่นนางแล้ว บัดนี้จึงไม่พยายามหัวเราะแต่เปลี่ยนเป็นส่งเสียงอือออในลำคอเท่านั้น ไฉไฉที่กำลังเก็บผ้าอ้อมที่เปียกเอ่ยว่า "ต๊าย ฮูหยินเจ้าขา คุณหนูของพวกเรามิใช่ว่าฟังรู้ความแล้วหรือเจ้าคะ ดูสิฮูหยินถามก็รู้จักตอบเสียด้วย" "จริงด้วยสิ เจี่ยเอ๋อร์เข้าใจที่แม่พูดใช่หรือไม่จ้ะ ใช่หรือไม่ ไม่ต้องมีท่านพ่อก็ได้ใช่หรือไม่" เมื่อสักครู่ท่านแม่กับน้าไฉไฉยังหาว่าอ้ายอ้ายไม่เข้าใจอยู่เลย ตอนนี้อ้ายอ้ายไม่ร้องแล้วท่านแม่ก็เอ่ยชมว่าอ้ายอ้ายเข้าใจในสิ่งที่ผู้ใหญ่พูด ดูท่าทางท่านแม่เองก็ลำเอียงเข้าข้างอ้ายอ้ายไม่น้อย แต่ตอนนี้อ้ายอ้ายพอใจมาก เพราะท่านแม่รู้แล้วว่าอ้ายอ้ายสนับสนุนให้หย่าและหนีไป เมื่อพอใจจึงส่งเสียงอือ อา ในลำคอไม่หยุด 'ก็บอกแล้วว่าท่านพ่อคือไม้ผุ จะเอาไปทำฟืนก็เป็นฟืนที่ไร้คุณภาพ จะเอาไปทำเรือ เรือก็คงจม ดังนั้น ไม้ผุก็โยนทิ้งให้กลายเป็นเศษซากไม้ไร้ค่าไปเลย' "ออ...ออ....อา....อา...." ยามเว่ย[1]วันต่อมาหานชางเหยียนก็มารับเมิ่งสืออีเพื่อย้ายไปยังเรือนหลังใหม่ที่เขาได้ตระเตรียมเอาไว้ให้ ซึ่งเรือนหลังนั้นคือหนึ่งในเรือนรับรองของจวนสกุลฮวาที่หานชางเหยียนขอเช่าชั่วคราว เพราะสกุลฮวาเป็นสกุลบัณฑิตในแต่ละปีมีผู้เดินทางมาเพื่อร่ำเรียนกับบิดาของฮวาซานเหรินไม่น้อย คุณชายที่มาล้วนเป็นคนมีฐานะสูงส่งจากหลายเมืองหลายแคว้น สกุลฮวาจึงมีเรือนมากมายเพื่อรับรองแขกเหล่านี้แทนที่จะให้คุณชายผู้สูงศักดิ์พักที่โรงเตี๊ยม เมิ่งสืออีไม่ยอมให้ผู้ใดแตะต้องบุตรสาวนางจึงอุ้มอีเจึ่ยเอ๋อร์ด้วยตัวเองและปล่อยให้ไฉไฉประคองเดิน อีเจี่ยเอ๋อร์เพิ่งกินนมอิ่มนางลืมตานอนเล่นอยู่ครู่หนึ่งก็หลับไปอีกแล้วจึงไม่รู้ว่าบัดนี้ท่านพ่อของตนได้มารับท่านแม่ไปที่เรือนหลังใหม่ หานชางเหยียนรอนางอยู่ที่หน้าประตูเมื่อเดินออกมาเมิ่งสืออีจึงเห็นว่าเขาพาลู่ลี่มาด้วย ลู่ลี่ทำความเคารพนางอย่างมีมารยาท เมิ่งสืออีมองด้วยสายตาว่างเปล่าราวกับลู่ลี่ไร้ตัวตนในสายตาของนาง ลู่ลี่กำมือแน่นและกำลังอดทนไม่แผดเสียงดังด้วยความเกลียดชังออกไป สตรีนางนี้ย่อมเป็นนามตำใจของนางหากไม่มีเมิ่งสืออีแม้นางจะแต่งเข้าจวนในนามฮูหยินรองแต่นางก็ย่อมเป็นหนึ่งในจวนนี้ กระนั้นด้วยความที่ถูกฝึกฝนมาเป็นอย่างดีเมื่ออยู่ต่อหน้าหานชางเหยียนลู่ลี่ก็สามารถเสแสร้งแกล้งเป็นสตรีนอบน้อมได้อย่างเป็นธรรมชาติ "น้องสาวคารวะพี่หญิงเจ้าค่ะ วันนี้น้องสาวมาเยี่ยมพี่หญิงและจะพาพี่หญิงไปส่งที่เรือนหลังใหม่พร้อมกับท่านพี่" หานชางเหยียนเอ่ยขึ้นว่า "ลู่ลี่เจ้ามีสิ่งใดจะพูดกับฮูหยินใหญ่หรือไม่" จู่ ๆ ลู่ลี่ก็คุกเข่าลง หานชางเหยียนถึงกับตกตะลึงคาดไม่ถึงว่าลู่ลี่จะทำเช่นนี้ เมิ่งสืออีมองลู่ลี่ด้วยสายตาว่างเปล่า นางไม่เอ่ยคำใดออกมา เฝ้ามองว่าสตรีนางนี้จะใช้มารยาใดอีก "ที่ผ่านมาลู่ลี่เคยกลั่นแกล้งพี่หญิง นั่นเป็นเพราะหึงหวงจนดวงตามืดบอด จิตใจคับแคบบัดนี้ลู่ลี่สำนึกผิดแล้ว ยิ่งรู้สึกละอายใจยิ่งนักขอให้พี่หญิงโปรดอภัยให้ลู่ลี่ด้วยเจ้าค่ะ" ลู่ลี่น้ำตาคลอร้องไห้ นางจำเป็นต้องทำเช่นนี้เพื่อแสดงให้หานชางเหยียนเห็นว่านางจริงใจเพียงใด เมื่อเช้านี้ในยามที่เขาพูดคุยกับนางหานชางเหยียนทำให้ลู่ลี่กลัว ตั้งแต่รู้จักกับเขามาหานชางเหยียนไม่เคยแสดงโทสะต่อหน้านางมาก่อน แม่นมของลู่ลี่เตือนเอาไว้แล้วว่าต้องใช้ไม้อ่อนเข้าหาหานชางเหยียน ต่อหน้าต้องเอาใจให้ดีลับหลังค่อยหาทางกำจัดสองแม่ลูกโดยที่หานชางเหยียนไม่รู้ ถึงจำเป็นต้องลดเกียรติละศักดิ์ศรีแต่เพื่ออนาคตอันรุ่งเรืองในจวนแม่ทัพ ลู่ลี่จำเป็นต้องรู้จักถอยเสียบ้าง เมิ่งสืออีแค่นเสียงในลำคอ นางเกือบตายเพราะสตรีนางนี้มาแล้วจะให้ยกโทษกันง่าย ๆ หรือ ไม่มีทางเสียหรอก! หานชางเหยียนเห็นน้ำตาของลู่ลี่ก็พลันใจอ่อนยวบ เขาไม่อยากให้ลู่ลี่คุกเข่าบนพื้นหิมะเย็นเยียบ แต่ก็ไม่เข้าไปแทรกแซงเรื่องระหว่างสตรีสองคนได้ ลู่ลี่ทำผิดจริงนางต้องขอโทษเมิ่งสืออีด้วยใจจริง เช้านี้ก่อนมาที่นี่เขาอบรมลู่ลี่ไปไม่น้อย เขาบอกกับนางว่าเขารักนางแต่ก็ไม่อาจไร้น้ำใจกับเมิ่งสืออีได้ ยามนี้เมิ่งสืออียังมีบุตรสาวให้เขาเป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของคนสกุลหาน เขาขอให้ลู่ลี่สำนึกตนและทบทวนความผิด ลู่ลี่ของเขาก็เชื่อฟังเป็นอย่างดี ยามนี้จึงได้ติดตามมาขอโทษเมิ่งสืออีและปรับความเข้าใจ แต่เมิ่งสืออีใจแคบกว่าที่เขาคิดเอาไว้ ท่าทางนี้เหมือนไม่ยกโทษให้ลู่ลี่เด็ดขาด ลู่ลี่ของเขาช่างน่าสงสารยิ่งนัก เขาปล่อยให้ลู่ลี่คุกเขาต่อไปไม่ได้อีกแล้วจึงเอ่ยว่า "เมิ่งสืออี เรื่องที่แล้วมาก็ให้มันผ่านไปเถิด ลู่ลี่แสดงความจริงใจเพียงนี้ถึงขั้นยอมคุกเข่าให้เจ้า เจ้ายังไม่ยอมรับคำขอโทษอีกหรือ อย่าเหย่อยิ่งเกินไปนักเลย พวกเจ้าล้วนเป็นภรรยาข้าสมควรปรองดองกันครอบครัวจึงจะสงบสุข" เมิ่งสืออีถูกหานชางเหยียนบีบบังคับให้รับคำขอโทษ นางย่อมอึดอัดใจเป็นอย่างมาก อยากจะด่าจะทุบตีบุรุษผู้นี้อีกสักหลาย ๆ หน ว่าสิ่งที่ลู่ลี่ทำเอาไว้นั้นแค่คำขอโทษไม่อาจลบล้างได้ "หานชางเหยียน ท่านกลายเป็นไอ้โง่เสียสติไปแล้ว ที่คิดจะให้ข้ายกโทษให้นาง" วาจาหยาบคายเหล่านี้เกิดมาในชีวิตเมิ่งสืออีไม่เคยคิดว่าจะได้ใช้มาก่อน และก่อนหน้านี้นางเคยได้ยินไฉไฉด่าคนไปบ้างจึงได้จดจำมา ไม่คาดคิดว่าวันนี้นางจะได้ใช้คำพวกนี้กับหานชางเหยียน ไฉไฉถึงกับก้มหน้าอมยิ้มด้วยความสะใจ ดูท่าทางตกตะลึงของนายท่านยามนี้สิ ช่างน่าขันยิ่งนัก ฮูหยินของนางช่างด่าได้ดียิ่ง หานชางเหยียนเอ่ยอย่างเย็นชา "เจ้าจะกล้าหาญเกินไปแล้ว" เมิ่งสืออีสวนทันควัน "ต้องขอบคุณบุตรสาวของข้า ที่มอบความกล้าให้ข้า ต่อไปจำไว้ว่าข้าจะไม่ยอมอยู่เฉยเมื่อถูกรังแกอีก" "พี่หญิงลู่ลี่สำนึกผิดแล้วเจ้าค่ะ สำนึกผิดจริง ๆ" ลู่ลี่เปล่งเสียงร้องไห้สะอึกสะอื้น เบื้องหน้าแลดูอ่อนแอสำนึกผิด ทว่าเมิ่งสืออีรู้ดีว่านางผู้นี้ก็เป็นเพียงกิ้งก่าที่กำลังเปลี่ยนสีเพื่อพรางตาคน "มารยานี้เจ้าเก็บไว้หลอกหานชางเหยียนเถิด หานชางเหยียนท่านมารับข้ามิใช่หรือ เช่นนั้นข้าก็พร้อมแล้ว ไฉไฉประคองข้า" "เจ้าค่ะ" กล่าวจบเมิ่งสืออีก็ถูกไฉไฉประคองเดินเลี่ยงคน ปล่อยให้ลู่ลี่ยังคุกเข่าอยู่ตรงนั้น หานชางเหยียนเกินจะอดทนแล้วเขาจึงตวาดเสียงดัง "เมิ่งสืออี เจ้าหยุดเดี๋ยวนี้" เท้าของเมิ่งสืออีหยุดชะงักทันใด ทว่าในเวลานั้นอ้ายอ้ายก็ตื่นขึ้นมาพอดี คงเป็นเพราะว่าข้างนอกอากาศเย็นและยังมีเสียงคนพูดคุยกันไม่หยุดรบกวนการนอนของทารกน้อย อ้ายอ้ายรู้สึกหงุดหงิดจึงแผดเสียงร้องไห้จ้าขึ้นมา
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม