เมิ่งสืออีถูกไฉไฉประคองมานั่งที่โต๊ะ เมื่อสักครู่มีอาหารส่งมาจากจวนสกุลหานที่ทั้งร้อนและหอม หน้าตาน่ารับประทาน เมิ่งสืออีไม่ได้กินอาหารดี ๆ เช่นนี้มานานแล้วและไม่เชื่อว่าคนจากสกุลหานจะเอาใจใส่นางเพียงนี้ นางจึงไม่แน่ใจนักว่าอาหารพวกนี้ปลอดภัยหรือไม่
ไฉไฉเห็นท่าทางลังเลก็เดาออกว่าเมิ่งสืออีรู้สึกอย่างไร
"ไม่ต้องห่วงเจ้าค่ะ ไม่มียาพิษบ่าวลองชิมดูทุกอย่างแล้วไม่มีปัญหา"
เมิ่งสืออีตกใจยิ่งนัก
"เจ้าบ้าหรืออย่างไร หากมีพิษเล่า"
ไฉไฉเอ่ยสีหน้าราบเรียบ
"ก็นับว่าบ่าวได้ช่วยฮูหยินกับคุณหนูใหญ่เอาไว้แล้ว บ่าวยอมตายเจ้าค่ะ"
เมิ่งสืออีคาดไม่ถึงว่าไฉไฉจะปกป้องนางด้วยชีวิตเพียงนี้ เวลานี้จึงได้แต่นับความดีความชอบของไฉไฉเอาไว้แล้วต้องหาทางตอบแทนให้ดีในวันหนึ่ง
"หากข้าไม่มีเจ้า ข้าก็ไม่รู้ว่าตนเองจะอยู่ในจวนนี้ได้อย่างไร"
ไฉไฉเอ่ยว่า
"ฮูหยินอย่าคิดมากเลยเจ้าค่ะ เป็นหน้าที่ของบ่าวอยู่แล้วตั้งแต่วันนั้นที่ฮูหยินเอาตัวมาบังให้บ่าวไม่ต้องถูกโบยแม้จะท้องแก่เพียงนั้นบ่าวก็ตัดสินใจแล้วว่าจะอยู่ปกป้องฮูหยินตลอดไป"
เมิ่งสืออีจับมือของไฉไฉเอาไว้แล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม
"ไฉไฉเจ้าห้ามทำเช่นนี้อีกเป็นอันขาด ชีวิตเจ้ามีค่าต่อข้ามากข้าไม่ต้องการเห็นเจ้าเป็นอะไรไป เจ้าก็เหมือนน้องสาวของข้าคนหนึ่ง ญาติเพียงคนเดียวในเมืองหลวงแห่งนี้ของข้า"
ไฉไฉซาบซึ้งจนน้ำตาไหล เมิ่งสืออีก็เช่นกันสตรีทั้งสองล้วนมองหน้ากันแล้วยิ้มให้กันจากนั้นก็โผเข้ากอดกันทั้งน้ำตา ที่ผ่านมาช่างหนักหนายิ่งนัก
การอยู่ในจวนสกุลหานเหมือนอยู่ในถ้ำเสือ นอกจากเมิ่งสืออีจะถูกทรมานแล้วไฉไฉยังถูกพวกบ่าวด้วยกันดูถูกและกลั่นแกล้ง หลายครั้งที่นางยังถูกพ่นน้ำลายใส่หน้าอย่างสนุกสนาน คนพวกนั้นล้วนเป็นลิ่วล้อของลู่ลี่ทั้งหมดแต่ไฉไฉก็ไม่เคยคิดทิ้งฮูหยินไปที่ไหน เพราะสงสารฮูหยินที่แสนดีผู้นี้ด้วยใจจริง
ผ่านมาครู่ใหญ่เมิ่งสืออีก็รับประทานอาหารเสร็จแล้ว เวลานี้มีบ่าวรับใช้ที่ถูกส่งมาดูแลพวกเขาจะกลับหลังจากฮูหยินรับประทานอาหารเสร็จเพราะว่าเรือนหลังเล็กนี้ไม่มีที่ให้ผู้ใดนอนพักค้างแรมได้อีก
ไฉไฉปรนนิบัติเมิ่งสืออีล้างหน้าบ้วนปากจากนั้นก็ประคองมานั่งข้างเตาไฟอุ่น เวลานี้ไฉไฉก็ห่อตัวให้เมิ่งสืออีจนนางกลายเป็นซาลาเปาลูกใหญ่ลูกหนึ่ง
"ฮูหยินเจ้าคะ คุณชายฮวาฝากตั๋วเงินไว้ให้ท่านพันตำลึง ยังบอกว่าได้หาบ้านให้ใหม่แล้วพรุ่งนี้จะมารับเจ้าค่ะ พวกเราจะได้ย้ายบ้านกันแล้วนะเจ้าคะ คุณชายฮวาผู้นี้ช่างดียิ่งนัก"
เมิ่งสืออีมองใบหน้าแดงก่ำในยามที่เอ่ยถึงบุรุษของไฉไฉ นางขมวดคิ้วมุ่น
"ผู้ใดคือคุณชายฮวา แล้วไยต้องฝากเงินให้ข้า ข้าไม่รู้จักเขา"
ไฉไฉอมยิ้ม
"เขาเป็นสหายของนายท่านเจ้าค่ะ เป็นคุณชายรูปงาม หล่อเหลาปานเทพเซียนบนสวรรค์ ฐานะไม่ธรรมดาเป็นคุณชายผู้เพียบพร้อมจากสกุลบัณฑิตนับเป็นคุณชายอันดับหนึ่งในเมืองหลวง"
เมิ่งสืออีกะพริบตาปริบ ๆ
"ข้าไม่ได้ต้องการหาคู่ครองคนใหม่ เจ้าไม่จำเป็นต้องยกยอคนปานนั้น ข้าเพียงอยากรู้ว่าไยคนผู้นั้นต้องมาช่วยข้า"
"คุณชายฮวาเป็นสหายของนายท่านเจ้าค่ะ นายท่านคงขอให้เขาดูแลฮูหยินเจ้าค่ะ"
นางรับตั๋วเงินจำนวนหนึ่งพันตำลึงมาถือเอาไว้ในมือ ตั้งแต่นางมาอยู่ที่นี่ได้รับเงินเบี้ยหวัดเพียงน้อยนิดไม่พอจะซื้อแป้งชาดสักกระปุกเลยด้วยซ้ำ นางจึงไม่เคยเห็นเงินมากมายเช่นนี้มานานแล้ว
"เงินของคุณชายฮวาหรือ"
"เงินนายท่านเจ้าค่ะ บอกว่าให้คุณชายฮวาจัดการ"
เมิ่งสืออีหัวเราะแต่ดวงตากลับไม่ยิ้ม นางรู้สึกสมเพชเวทนาคนผู้นั้นขึ้นมาโดยพลัน
"เขาคงกลัวว่าหากตนเองจัดการด้วยตัวเองจะทำให้ฮูหยินผู้เฒ่าตำหนิ หรือไม่ก็ทำให้ลู่ลี่เข้าใจเขาผิดว่ามีใจให้ข้าแม่ลูก จึงได้วานเรื่องนี้ให้ผู้อื่นทำ หานชางเหยียนหนอหานชางเหยียน เสียแรงเจ้าเป็นแม่ทัพเสียเปล่าแต่กลับไร้ความสามารถเช่นนี้ ช่างน่าสมเพชยิ่งนัก"
จวนสกุลหาน
หานชางเหยียนจามไม่หยุดหลังจากเขากลับมาถึงจวนฮวาซานเหรินก็มาพบเขา คนทั้งสองจึงมาสนทนากันที่เรือนหลักของหานชางเหยียน
ฮวาซานเหรินมองหน้าสหาย
"ทำไมไม่สบายหรือ หรือว่ามีผู้ใดนินทา"
หานชางเหยียนเลิกคิ้ว
"ผู้ใดจะกล้านินทาข้า"
"คนที่อยากนินทาเจ้ามีเยอะมาก ยิ่งตั้งแต่รู้ว่าจวนสกุลหานขับไล่สตรีท้องแก่ที่มีตำแหน่งเป็นถึงฮูหยินเอกท่านแม่ทัพออกจากจวน ทั้งยังปล่อยให้นางคลอดบุตรเพียงลำพัง เรื่องในจวนนี้รวมทั้งเรื่องของตัวเจ้าชั่วพริบตาในเมืองหลวงนี้ไม่มีผู้ใดไม่พูดถึง"
หานชางเหยียนถอนหายใจ
"เจ้าจะพูดมากไปไย คิดตอกย้ำให้ข้าปวดใจหรืออย่างไร ถ้าเจ้าคิดทำเช่นนั้นยินดีด้วยเจ้าทำสำเร็จแล้ว ข้าปวดใจจริง ๆ"
ฮวาซานเหรินเอ่ยว่า
"ข้ารู้ว่าเจ้าปวดใจ แต่ข้าก็ยังจะตอกย้ำเช่นเดิม สหายควรจะซื่อตรงต่อกัน เรื่องที่สกุลหานทำกับฮูหยินเอกนั้น หากเรียกว่าอำมหิตก็คงไม่เกินไป"
หานชางเหยียนไม่โต้ตอบเพราะเขารู้ว่าหากในเวลานั้นหาหมอตำแยไม่ได้เมิ่งสืออีและบุตรสาวของเขาอาจจะไม่รอดชีวิตจริง ๆ เขาไม่ชอบนางแต่เขาก็ไม่เคยคิดจะทำให้นางตาย เมื่อคิดถึงใบหน้าบุตรสาวและเมิ่งสืออีแล้วก็ถอนใจออกมา
"ซานเหรินข้ายังมีเรื่องอยากจะบอกเจ้า"
ฮวาซานเหรินท่าทางตื่นเต้น
"เรื่องอันใด"
หานชางเหยียนยกยิ้มมุมปาก
"เจี่ยเอ๋อร์ของข้า นางน่าเอ็นดูจริง ๆ เป็นเด็กทารกที่ไม่เหมือนผู้ใด นางพิเศษมากจริง ๆ"
ฮวาซานเหรินส่ายหน้า ก่อนจะรั้งสายตากลับมามองจอกสุราของตนเอง
"เจ้าพูดคำนี้มานับไม่ถ้วนแล้ว บอกตามตรงข้าเบื่อที่จะฟังแล้ว"
หลังจากดื่มสุราไปหลายจอก ใบหน้าขาว ๆ ของฮวาซานเหรินก็เริ่มกลายเป็นสีแดง เขาขยับเข้ามาใกล้หานชางเหยียนพร้อมกับเอ่ยว่า
"ซินแสผู้นั้นที่เจ้าให้ข้าสืบข้าสืบได้ความแล้ว"
หานชางเหยียนมองหน้าสหายรัก
"เขาเป็นผู้ใด"
"เป็นซินแสจริง แต่ข้าว่ามีเรื่องสำคัญที่เจ้าจำเป็นต้องรู"
"เรื่องอันใด"
ฮวาซานเหรินเดาะลิ้นเอ่ยยิ้ม ๆ
"ข้าพูดได้แต่อยากให้เจ้าทำใจก่อน"
หานชางเหยียนเอ่ยน้ำเสียงขรึม
"ยังจะพูดมากอีก สืบได้ความว่าอย่างไร"
ฮวาซานเหรินสีหน้าเคร่งขรึมขึ้นมาโดยพลัน
"คนที่ชักนำให้ซินแสรู้จักกับท่านย่าของเจ้าเป็นคนของอนุหมิ่นมารดาของลู่ลี่ ดูเหมือนว่าจะเป็นความตั้งใจที่จะทำให้ท่านย่าของเจ้าได้พบกับซินแสผู้นั้น เจ้าจะว่าอย่างไร"
หานชางเหยียนยังคงเข้าข้างลู่ลี่
"เจ้าหมายความว่าอย่างไร หากจะเกี่ยวข้องจริงก็แค่ชักนำให้รู้จักกันมิใช่หรือ ผู้ใดก็รู้ว่าท่านย่าของข้าชอบเรื่องดูดวงชะตายิ่งนัก"
ฮวาซานเหรินเอ่ยต่อ
"ถ้าหากซินแสผู้นั้นรับเงินเพื่อใส่ความคนเล่า เจ้าคิดเห็นว่าอย่างไร"