บทที่ 11เสแสร้ง

1998 คำ
สายตาของหานชางเหยียนเยียบเย็นลงหลายส่วน ในใจของเขานั้นเต็มไปด้วยความละอายที่มีต่อบุตรสาวและภรรยาหลวง ยิ่งคิดถึงใบหน้าของบุตรสาวและสายตาของเมิ่งสืออีที่มองเขาอย่างรังเกียจทั้งตัดพ้อเขาก็ยิ่งรู้สึกไม่สบายตัวและขมขื่น เมื่อลู่ลี่เห็นหานชางเหยียนนิ่งไปทั้งสีหน้าเศร้าสลดนางจึงได้จับมือของเขาเอาไว้ มือของลู่ลี่เย็นเยียบจนหานชางเหยียนสะดุ้งเล็กน้อย "ลู่ลี่ไยมือเจ้าเย็นเช่นนี้" ก่อนหน้าที่หานชางเหยียนจะออกมาจากห้องลู่ลี่กำหิมะเอาไว้ในมือ ทั้งอดทนไม่ยอมกอดเตาอุ่นตามคำแนะนำของแม่นมมือของนางจึงเย็นเช่นนี้ "ลู่ลี่ไม่เป็นอันใดเจ้าค่ะ คงเพราะรีบร้อนออกมาด้วยใจเป็นห่วงพี่หญิงจึงไม่ได้ใส่ถุงมือทั้งยังไม่ได้ให้คนเตรียมเตาอุ่นมาด้วย" หานชางเหยียนเอ่ยด้วยน้ำเสียงอบอุ่น "ลำบากเจ้าแล้ว เจ้าช่างดียิ่ง เช่นนั้นพวกเรากลับกันเถิดเจ้าร่างกายบอบบางอยู่ข้างนอกนานเช่นนี้จะไม่สบายเอาได้" ลู่ลี่กระหยิ่มในใจ ไม่ว่าวิธีการใดของแม่นมล้วนได้ผลทั้งหมด หานชางเหยียนลุ่มหลงนางเพียงนี้ เชลยนางนั้นไม่อาจเทียบเคียงได้ เช่นนั้นก็จงเหี่ยวแห้งตายไปพร้อมกับบุตรสาวที่คนสกุลหานไม่ยอมรับเสียเถิด แม้ในใจจะรู้สึกเยาะหยันเพียงใดทว่าเบื้องหน้าลู่ลี่กลับแสร้งตีหน้าเศร้าแสดงความรู้สึกห่วงใยออกมา "แต่ว่าพี่หญิงกับเจี่ยเอ๋อร์" หานชางเหยียนเอ่ยเสียงขรึม "ไม่เป็นไร ให้พวกนางอยู่ที่นี่ต่อไปเถิดเจ้าไม่ต้องห่วงผู้อื่นให้มาก ระวังรักษาสุขภาพของตนเองให้ดีอย่าให้ล้มป่วย" หานชางเหยียนเอ่ยกับไฉไฉอีกประโยค "เจ้าอยู่ที่นี่ดูแลฮูหยินกับบุตรสาวของข้าให้ดี ที่ผ่านมาเจ้านับว่าทำความชอบข้าขอบคุณเจ้ามาก" หานชางเหยียนประคองลู่ลี่ขึ้นรถม้า เรือนหลังนี้อยู่ห่างจากจวนสกุลหานอยู่มาก เรียกว่าคนละฟากฝั่งท้องถนนเดิมทีชาวบ้านละแวกนี้ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าสตรีอาภัพที่ไร้สามีผู้นี้คือผู้ใดเพราะเมิ่งสืออีแทบไม่ออกจากเรือนไปสนทนากับผู้ใด ส่วนไฉไฉเองวันทั้งวันก็ยุ่งจนหัวหมุนเพราะต้องเตรียมการเรื่องคลอดบุตรให้ผู้เป็นนายจึงทำให้ไม่มีผู้ใดกล้ามาพูดคุยสอบถาม กระทั่งวันนี้แม้ว่าจะเป็นช่วงที่พระอาทิตย์ลับขอบฟ้าไปแล้วแต่หลายคนก็ยังไม่เข้าเรือนนอน ยามที่หานชางเหยียนมาถึงก็มาอย่างเงียบเชียบแต่ในเวลาที่ลู่ลี่ตามมากลับนั่งรถม้าคันโอ่อ่าใหญ่โตที่มีตราสัญลักษณ์ของสกุลหานมาพร้อมกับคนจำนวนหนึ่งเรื่องนี้จึงทำให้ชาวบ้านสนใจมามุงดู แต่ถึงจะมุงดูพวกเขาก็ยังมุงดูอย่างเงียบกริบเพราะทหารที่ติดตามท่านแม่ทัพมาแต่ละคนช่างน่ากลัวและมีสายตาที่ดุดันเหลือเกิน กระทั่งรถม้าของท่านแม่ทัพกลับไปพร้อมกับอนุแล้วเสียงนินทาจึงเริ่มดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง ฮูหยินใหญ่ของจวนแม่ทัพเป็นแค่เชลยสงคราม ไม่ผิดที่จะถูกขับไล่มาอยู่ที่นี่ ฮูหยินรองช่างดียิ่ง ใจกว้างดุจขุนเขาที่ห่วงใยฮูหยินใหญ่เพียงนี้ ฮูหยินใหญ่มีชีวิตที่น่าสงสารมิหนำซ้ำยังคลอดบุตรสาว หากคลอดบุตรชายท่านแม่ทัพคงรับกลับจวนไปแล้ว ความผิดนี้เป็นของจวนแม่ทัพ ไยรังแกสตรีท้องแก่ได้เพียงนี้ และอีกสารพัดคำของชาวบ้านที่นินทาและพูดถึงกันโดยไม่มีที่สิ้นสุด ไฉไฉพ่นลมหายใจออกมาหลังจากได้ระบายทุกเรื่องออกไปจนหมดสิ้นแล้ว บัดนี้นางยืนอยู่หน้าประตูเรือนใหญ่คิดปิดประตูแล้วเดินกลับเข้าเรือนแต่แล้วก็มีรถม้าสองคันพร้อมกับคนกลุ่มหนึ่งมาหยุดอยู่หน้าเรือน ไฉไฉมองเห็นตรารถม้าของจวนสกุลหานก็ยิ้มกว้างออกมา เมื่อสักครู่นายท่านบอกว่าจะจัดการเองก็ย่อมเป็นเช่นนั้น เห็นได้ชัดว่าได้เตรียมการล่วงหน้าเอาไว้แล้ว คนของจวนนางล้วนรู้จักจึงสั่งให้พวกเขายกข้าวของที่มีทั้งเตาอุ่นและของใช้จำเป็นหลายอย่างไปวางไว้ด้านใน และแล้วคนผู้หนึ่งก็ขี่ม้าสีขาวกำยำใหญ่โตมาหยุดที่หน้าเรือน เขาส่งยิ้มอบอุ่นให้ไฉไฉแล้วขยับกายลงจากหลังม้าหยุดยืนอยู่เบื้องหน้านาง ไฉไฉเบิกตากว้างแทบไม่เชื่อสายตาตนเอง นางเอ่ยคำประดุจเหม่อลอยออกมา "คุณชายฮวา ท่านมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร ข้าฝันไปใช่หรือไม่" "ไยข้าจะมาไม่ได้เล่า ข้ากับหานชางเหยียนเป็นสหายรักกันเจ้าไม่รู้หรือ" ไฉไฉไม่ได้ฝันไปจริง ๆ คุณชายรูปงามอันดับหนึ่งในเมืองหลวงบัดนี้ยืนอยู่เบื้องหน้านางแล้ว คุณชายฮวาผู้นี้มาจากตระกูลบัณฑิตมีบิดาเป็นท่านเจ้ากรมสำนักศึกษา มารดาเป็นยอดอาจารย์หญิงที่สั่งสอนองค์หญิงในวังหลวง ส่วนเขาคือบัณฑิตมากความสามารถที่เก่งรอบด้านที่สุดผู้หนึ่ง ด้วยใบหน้างดงามดุจเทพเซียนและความสามารถด้านการบรรเลงเพลงพิณและเขียนพู่กันของเขาที่นับว่าเป็นยอดปรมาจารย์ทำให้มีสตรีน้อยใหญ่ต่อแถวกันถึงสามช่วงถนนเพื่อหมายแต่งงานกับเขา ทว่าเขากลับรักอิสรเสรีและยังเจ้าสำราญจึงไม่ยินยอมแต่งกับผู้ใด นามของเขาคือ 'ฮวาซานเหริน' ไฉไฉเคยเห็นเขาในภาพวาดที่มีคนวาดขายในเมืองหลวงอยู่หลายครา แต่นางไม่เคยเห็นตัวจริงของเขามาก่อน เพราะเขาเป็นคนที่หาตัวยากนักไปมาไร้ร่องรอย แต่เพราะความโดดเด่นอันยากที่จะลืมเลือนของเขาเพียงนางเห็นใบหน้านี้ก็จำได้ทันทีว่าเขาคือผู้ใด เขาปล่อยให้ไฉไฉดื่มด่ำกับใบหน้าของเขาครู่หนึ่งจากนั้นจึงเอ่ยว่า "ในนี้มีตั๋วเงินหนึ่งพันตำลึงเป็นของชางเหยียนที่เตรียมเอาไว้ให้ฮูหยิน พรุ่งนี้ก็ไปไถ่ของที่จำนำกลับคืนมาเถิด ข้าได้หาบ้านหลังใหม่ให้ฮูหยินอยู่แล้ว พรุ่งนี้จะให้คนมารับ อ้อยังมีแม่นมที่ข้าได้คัดสรรมาช่วยฮูหยินเลี้ยงดูบุตรสาววันพรุ่งนี้ข้าจะให้นางมาพบฮูหยินเช่นกัน" ไฉไฉยังตกตะลึง ในยามที่ฮวาซานเหรินยัดตั๋วเงินใส่มือของนาง ไฉไฉก็เผลอจับมือเรียวขาวผ่องดุจหยกเนื้อละเอียดของฮวาซานเหรินเอาไว้อย่างลืมตัว ฮวาซานเหรินอมยิ้ม เขาก้มมองมือไฉไฉแต่ก็มิได้ดึงออก กระทั่งไฉไฉได้สติจึงรีบปล่อยมือแล้วกล่าวตะกุกตะกัก "บ่าวขออภัยคุณชายเจ้าค่ะ" ฮวาซานเหรินเห็นท่าทางของไฉไฉก็พลันอมยิ้ม "เจ้าคงสงสัยว่าข้ามาได้อย่างไร เฮ้ย เรื่องของสหายก็คือเรื่องของข้า ที่ผ่านมาข้าเองก็ไม่เคยรู้ว่าเขาจะทำให้สตรีท้องแก่ลำบากเพียงนี้ เอาล่ะเมื่อหมดธุระแล้วข้าต้องขอตัวก่อน แม่นางเจ้าเองก็ต้องรักษาสุขภาพด้วย ข้าขอลา" ฮวาซานเหรินผู้นี้ยังให้เกียรติไฉไฉ มิได้มองว่าเป็นสาวใช้ยิ่งทำให้ไฉไฉที่เดิมชื่นชอบเขาอยู่แล้วกลับชื่นชอบเขามากยิ่งขึ้น กระทั่งเขาขึ้นม้าสีขาวจากไปแล้วไฉไฉก็ยังยืนนิ่งค้างอยู่กับที่ครู่หนึ่ง อ้ายอ้ายร้องจนเหนื่อยหลังจากดูดนมไปครู่หนึ่งก็หลับคาเต้า เมิ่งสืออีได้ยินเสียงคนขนข้าวของอยู่ด้านนอกก็พลันนึกประหลาดใจ เวลานั้นไฉไฉเปิดประตูเข้ามาพร้อมกับสั่งให้คนนำเตาอุ่นมาวางในห้องเล็กหลายจุด ห้องที่เย็นยะเยือกจึงอบอุ่นขึ้นภายในพริบตา พวกเขาล้วนทำงานอย่างเงียบเชียบเพราะไม่มีใครอยากรบกวนให้คุณหนูใหญ่ตื่น เมิ่งสืออีเปิดม่านบังตาออกไฉไฉดูแลความเรียบร้อยจากนั้นจึงให้คนทั้งหมดออกไป ไฉไฉขยับเข้ามาใกล้เมิ่งสืออีเอ่ยเสียงเบา "เป็นนายท่านที่สั่งเอาไว้เจ้าค่ะ บอกว่าพรุ่งนี้จะกลับมาใหม่ ฮูหยินนายท่านกลับมาแล้วต่อไปพวกเราไม่ลำบากแล้วเจ้าค่ะ บ่าวเห็นว่านายท่านครานี้ดูจะห่วงใยคุณหนูอยู่มาก กระทั่งยังไม่กล้าบังคับขัดใจท่าน หรือว่าความจริงแล้วนายท่านจะมีใจให้ฮูหยินแล้วเจ้าคะ" เมิ่งสืออีช้อนสายตาขึ้นมองไฉไฉกล่าวน้ำเสียงเคร่งขรึม "เจ้ากล่าวเหลวไหลอันใด ถึงข้าจะไม่ได้คลุกคลีกับเขามากมายก็พอรู้จักเขาอยู่บ้าง หานชางเหยียนก็เพียงแค่รู้สึกผิดกับเจี่ยเอ๋อร์เขาจึงมีท่าทางเช่นนั้น หาได้เกี่ยวกับข้า" "แต่บ่าวว่า..." "ไม่ต้องว่าอะไรทั้งนั้น ไม่เห็นหรือกระทั่งมาพบข้ายังพาสตรีนางนั้นมาด้วยเขาจะมีใจให้ข้าได้อย่างไร" ไฉไฉย่นจมูก "เพราะว่าฮูหยินรองเป็นบุตรสาวของอนุในจวนของท่านอัครเสนาบดี จึงได้รับการส่งเสริมให้แต่งกับนายท่าน นางเป็นเพียงบุตรสาวอนุย่อมไม่มีทางได้เป็นฮูหยินเอกอยู่แล้วคนที่เจียมตัวสมควรเป็นนาง" "นางจะเจียมตัวได้อย่างไร ในเมื่อหานชางเหยียนรักนางเพียงนั้น เป็นข้าที่มาทีหลังข้าย่อมรู้ตัวดี" "แต่ท่านคือภรรยาเอกนะเจ้าคะ ยังมีฐานะสูงส่งเป็นถึงคุณหนูท่านเจ้าเมือง ส่วนฮูหยินรองนางเป็นเพียงแค่บุตรสาวของอนุในจวนมหาเสนาบดีเท่านั้น ไม่อาจเทียบฐานะของท่านได้" เมิ่งสืออีกล่าวถอนหายใจยาวกล่าวต่อ "อย่ากล่าวเพ้อเจ้ออีกเลย เขาทำดีกับลู่ลี่เพียงนั้นเจ้าก็เห็นมิใช่หรือ ที่ผ่านมาคนของจวนแม่ทัพปล่อยให้ลู่ลี่รังแกพวกเราตามใจชอบ นั่นก็แสดงว่าพวกเขาเกรงใจและยังให้ท้ายนางผู้นั้นวันนี้ข้าเองก็ได้ยินกับหูเห็นกับตาแล้วว่าหานชางเหยียนเอาใจใส่ลู่ลี่เพียงใด ข้าไม่คิดพึ่งพาเขามานานแล้วตั้งแต่วันที่เขาไม่ยอมตอบจดหมายข้าแม้แต่ฉบับเดียวข้าก็เข้าใจทุกอย่างแล้ว เจ้าเลิกพูดถึงคนคู่นั้นเถิด ข้าคิดถึงคราใดก็รู้สึกคลื่นไส้ทุกที" ก่อนหน้านี้เมิ่งสืออีเป็นสตรีอ่อนแอนุ่มนิ่ม แต่เพียงไม่กี่เดือนที่นางอุ้มท้องอีเจี่ยเอ๋อร์ทั้งยังได้รับความไม่เป็นธรรมมาหลายอย่างยิ่งทำให้เมิ่งสืออีเข้มแข็งขึ้น ไฉไฉเห็นฮูหยินของตนมีสีหน้าไม่สู้ดีเมื่อกล่าวถึงคนคู่นั้น นางจึงยิ้มเอาใจเมิ่งสืออีกล่าวเสียงอ่อน "ไม่พูดแล้ว ๆ เจ้าค่ะ เช่นนั้นท่านทานข้าวเย็นหน่อยนะเจ้าคะ นมแพะชามเดียวไม่เพียงพอบำรุงร่างกายเจ้าค่ะ นายท่านให้คนนำอาหารมาให้เยอะเลย ของบำรุงร่างกายดี ๆ ล้วนเป็นอาหารที่เหมาะสำหรับคนอยู่ไฟหลังคลอดช่วยเร่งบำรุงน้ำนมด้วยเจ้าค่ะ" "เจ้ารู้ดีเพียงนี้" "บ่าวมีน้องสองคนนี่เจ้าคะ ท่านป้ายังเป็นหมอตำแยบ่าวจึงรู้เรื่องพวกนี้ดี"
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม