เมิ่งสืออีหลบอยู่ตรงนั้นจนกระทั่งครึ่งคืนผ่านพ้น เมิ่งสืออีจึงไม่ได้ยินเสียงดาบและเสียงต่อสู้กันแล้ว นางออกจากที่หลบซ่อนอย่างระมัดระวังจากนั้นจึงเดินตามเส้นทางเล็ก ๆ มาเรื่อย ๆ และในที่สุดนางก็พบกับศพคนกลุ่มหนึ่งที่ล้มตายเป็นจำนวนมาก
เมิ่งสืออีปิดปากตนเองเมื่อนางหวาดกลัวจนรู้สึกมวนท้องและเกือบจะอาเจียนออกมาเมื่อเห็นสภาพศพที่เต็มไปด้วยเลือดอันน่าสยดสยองนั้นในยามนั้นสายตาของนางก็กวาดมองไปจนพบร่างของสตรีผู้หนึ่งที่สวมอาภรณ์ผ้าไหมงดงาม
นะ...นั่นมิใช่อนุของท่านแม่ทัพหรอกหรือ
ถึงจะหวาดกลัวแต่เมิ่งสืออีก็ยังตัดสินใจเดินเข้าไปใกล้กระทั่งนางเห็นสตรีนางนั้นชัดเจน ร่างทั้งร่างของสตรีนางนั้นถูกธนูยิงจนพรุนและตายสนิท
เมิ่งสืออีตัวสั่นขึ้นมาทันใด หากเป็นนางที่มากับหานชางเหยียนก็คงมีสภาพไม่ต่างกันแล้วหานชางเหยียนเล่าอยู่ที่ใด นางย่อมรู้ว่ากำลังคนของหานชางเหยียนมีน้อยยิ่งนัก ถึงเขาจะเก่งกาจเพียงใดแต่น้ำน้อยย่อมแพ้ไฟ เกรงว่าหานชางเหยียนอาจจะไม่รอดแล้ว
เมิ่งสืออีเห็นคนตายเกลื่อนจึงรู้สึกหวาดผวา หูของนางแว่วเหมือนได้ยินเสียงของบุรุษตะโกนให้ฆ่า นางตกใจกลัวจึงสาวเท้าวิ่งหนีสุดชีวิตต้องรีบออกไปจากสถานที่อันซึ่งเต็มไปด้วยคนตายให้เร็วที่สุด ทว่าเมื่อวิ่งออกมาได้ครู่ใหญ่นางก็เหนื่อยจนต้องหยุดฝีเท้า
เมิ่งสืออีหอบหายใจได้ครู่หนึ่งและแล้วนางก็ได้ยินเสียงคนต่อสู้กันดังขึ้นไม่ไกลจากจุดที่นางยืนอยู่ เมิ่งสืออีหยุดเท้าแต่ไม่ทันแล้วเมื่อมีผู้ชายคนหนึ่งหันมาพบนางเข้าเสียก่อน
เมิ่งสืออีหันหลังคิดวิ่งหนี ผู้ชายคนนั้นก็ตะโกนเสียงดัง
"นั่นนางจับตัวนางเอาไว้"
จากนั้นก็มีคนวิ่งตามนางมา เพราะความมืดเมิ่งสืออีจึงสะดุดศพของคนผู้หนึ่งแล้วล้มกลิ้ง ทว่าก่อนที่นางจะถูกจับตัวก็มีใครคนหนึ่งมาช่วยนางเอาไว้
ที่แท้เป็นทหารในกองทัพของหานชางเหยียนที่เอาตัวบังดาบและถูกโจรสังหารแทนนาง โจรร้ายคิดจับตัวเมิ่งสืออีแต่ในยามนั้นก็มีคนหนึ่งมาช่วยนางเอาไว้ได้ทัน เขาจัดการสังหารคนร้ายสี่ห้าคนด้วยดาบเดียว เมิ่งสืออีตื่นตะลึง
"หานชางเหยียน"
เขาเดินมาใกล้นางร่างกายเต็มไปด้วยเลือด นางค่อย ๆ ลุกขึ้นอย่างทุลักทุเลโดยที่หานชางเหยียนไม่ช่วยนางเช่นเคย
"ท่านกลับมาช่วยข้าหรือ"
หานชางเหยียนมองนางเหยียด ๆ "เจ้าคิดเช่นนั้นหรือ หากอยากคิดเข้าข้างตัวเองก็เชิญคิดตามสบาย"
น้ำเสียงของเขาอ่อนแรงจนนางจับสังเกตได้ และดูเหมือนว่าร่างสูงใหญ่จะยืนไม่มั่นคง
เมิ่งสืออีถอนหายใจอย่างโล่งอก ไม่ว่าเขาจะอยู่ที่นี่ด้วยเหตุใดก็ล้วนเป็นเรื่องดี นางไม่สนใจเรื่องน้อยเนื้อต่ำใจอะไรพวกนั้นแล้วนอกจากเรื่องรอดชีวิตออกไปจากที่นี่ก่อน แต่ท่าทางของหานชางเหยียนเหมือนว่าจะได้รับบาดเจ็บสาหัส
"ท่านแม่ทัพ ท่านเป็นอย่างไรบ้าง"
ใบหน้าขาวหล่อเหลาของเขามีเลือดไหลลงมาเป็นทาง นางตกใจจนพูดไม่ออกแล้วและในยามนั้นหานชางเหยียนก็เหยียดยิ้มเอ่ยชมด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบ
"เก่งนี่ เอาตัวรอดมาได้" และฉับพลันเข่าก็พลันอ่อนแรงร่างสูงทรุดลงทันใด
"ท่านแม่ทัพ!"
เมิ่งสืออีคว้าร่างของเขาเอาไว้ได้ทัน เขาเอ่ยเสียงเบาว่า
"ข้าถูกธนูอาบยาพิษจากคนที่ลอบสังหาร"
เมิ่งสืออีรู้มาเล็กน้อยว่ากำลังทหารของเขาส่วนใหญ่ยังรั้งอยู่ที่เมืองอวี เรื่องนี้คงเข้าถึงหูของศัตรูหรือไม่ก็พวกโจรที่หวังปล้นชิงสิ่งของ เพราะยามนี้รถม้าสินเดิมของนางก็หายไปจนเกลี้ยงแล้ว
คงเพราะเขาตัวโตจนเกินไปนางจึงรับน้ำหนักประคองเขาไม่ไหว สุดท้ายคนทั้งคู่จึงทรุดลงไปบนพื้น มือของเมิ่งสืออีสั่นระริกในยามที่นางสำรวจลมหายใจของเขาและพบว่ามันรวยรินยิ่งนัก
"ท่านถูกยาพิษหรือ"
หานชางเหยียนพยักหน้า พยายามเปิดดวงตาที่กำลังจะปิดขึ้นแล้วจ้องมองนาง
"เจ้าไปเถิดข้าไม่อยากเห็นหน้าเจ้า"
กล่าวคำถากถางระคายหูคนจบเขาก็ทรุดลงไปอีก หัวใจของนางนั้นปวดจนชาชินแล้ว กระทั่งก่อนตายคนผู้นี้ก็ยังไม่อยากเห็นหน้า นางกลายเป็นตัวอะไรในสายตาของสามีไปแล้วกันนะ
คนใจร้ายคนนี้สมควรตายไปให้พ้น ๆ!
แต่ถึงใจหนึ่งจะคิดเช่นนี้ แต่เขาก็คือคนเดียวที่ยังทำให้ท่านพ่อท่านแม่ของนางรอดชีวิต นางย่อมรู้ว่าหากหานชางเหยียนตายต่อไปฮ่องเต้แคว้นลู่ต้องส่งผู้อื่นมาควบคุมเมืองอวี
นางเคยได้ยินว่าแม่ทัพผู้อื่นโหดเหี้ยมนัก หากคนพวกนั้นไม่ละเว้นท่านพ่อท่านแม่เหมือนกับหานชางเหยียน พวกเขาอาจจะได้รับความลำบากกระทั่งอาจจะต้องเสี่ยงชีวิต
ดังนั้น หานชางเหยียนจะตายไม่ได้
เมิ่งสืออีปล่อยให้หานชางเหยียนพิงร่างของนางจากนั้นจึงเทของในถุงผ้าออกมาจนกระทั่งพบกล่องไม้ที่ใส่ยาของนาง ในนี้มียาวิเศษอยู่เม็ดหนึ่ง เป็นยาช่วยแก้สารพัดพิษของล้ำค่าที่มารดายกให้นางพกติดตัว
เมิ่งสืออีไม่รอช้ารีบยัดยาลูกกลอนเม็ดนั้นเข้าปากเขาทันใด
"ท่านแม่ทัพ นี่เป็นยาถอนพิษ ท่านกลืนลงไป"
หานชางเหยียนไม่ได้สงสัยอันใดหรือว่าเขาไม่มีใจคิดเรื่องอื่นเพราะกำลังจะตายแล้วก็เป็นได้จึงยอมกลืนยาเม็ดนั้นโดยดี เมิ่งสืออีรอคอยด้วยใจร้อนรน นางไม่กล้าขยับไปที่ใดได้แต่โอบร่างของเขาเอาไว้ท่ามกลางศพที่นอนตายเกลื่อนพื้น
ชีวิตนี้นางไม่เคยต้องหวาดกลัวสิ่งใด ทว่าตั้งแต่ได้พบกับหานชางเหยียนความน่ากลัวและความทรมานในโลกนี้ที่มีนางได้ประสบพบเจอมาทั้งหมดและเกือบจะทำให้นางกลายเป็นหญิงวิปลาศไปแล้ว
เดิมทีเมิ่งสืออีเป็นคนเชื่อในพระพุทธองค์ คิดว่าคนที่ทำดีย่อมได้ดีตามคำกล่าวสั่งสอนแต่ยามนี้นางรู้สึกสงสัยในคำสอนอยู่หลายครั้ง
นางไม่เคยร้ายกับผู้ใดแต่สิ่งที่ได้รับกลับตรงกันข้าม กระนั้นในเวลานี้นางก็ยังสวดอ้อนวอนขอให้ยานี้ช่วยชีวิตหานชางเหยียนได้ นางยังขอให้เขาปลอดภัย เพราะมีเพียงเขาเท่านั้นที่เป็นเกราะคุ้มกันภัยให้ครอบครัวของนางได้
หนึ่งก้านธูปต่อมาหานชางเหยียนจึงได้ลืมตาขึ้น เมิ่งสืออีดีใจจนร้องไห้ออกมา
"หานชางเหยียนท่านฟื้นแล้ว"
เมื่อนางกล่าวจบคำหานชางเหยียนก็ไอรุนแรงแล้วกระอักเลือดสีดำออกมาคำโต ดูเหมือนว่าชีวิตของนางจะยังไม่รันทดเพียงพอเมื่อจู่ ๆ นางก็ได้ยินเสียงของหมาป่าหอนดังสนั่น หานชางเหยียนที่พ่นเลือดออกมาจนหมดคล้ายเขาจะมีแรงขึ้นมาแล้วจึงเอ่ยว่า
"ต้องรีบไปจากที่นี่ ไม่เช่นนั้นสัตว์ป่าจะออกมาแทะศพ และพวกมันจะสนใจสิ่งมีชีวิตที่เคลื่อนไหวได้มากกว่าศพพวกนั้น"
เมิ่งสืออีกลัวจนร่างเย็นเฉียบ แต่นางก็ยังฝืนพูดออกมา
"ท่านลุกไหวหรือไม่"
หานชางเหยียนพยักหน้าเขารวบรวมกำลังและปล่อยให้นางช่วยประคองลุกขึ้นยืนสำเร็จจากนั้นพวกเขาก็เริ่มเดินช้า ๆ เสียงฟ้าร้องพลันดังขึ้น เมิ่งสืออีตกใจเสียงฟ้าผ่าที่ดังอยู่ใกล้ ๆ จนเผลอหวีดร้องและกอดเขาแน่น เขาไม่ผลักนางออกคงเพราะไม่มีแรง
ฝนตกลงมาอย่างหนักเมิ่งสืออีกลัวว่าหานชางเหยียนจะไม่สบายนางจึงยอมสละเสื้อคลุมกันฝนของตนเองให้เขาสวม ส่วนตัวเองยอมตากฝนหนาวจนฟันกระทบกันดังกึก ๆ มือและเท้าของนางยังเย็นเยียบยังบังเกิดอาการชาและรู้สึกเหมือนร่างกายจะหลุดออกเป็นชิ้น ๆ
หานชางเหยียนใกล้จะไม่ได้สติแล้ว แม้ตอนนี้พิษจะถูกกำจัดออกไปแล้วแต่ก็ยังเหลือตกค้างหานชางเหยียนยังได้รับบาดเจ็บจากแผลที่ถูกธนูยิงและแผลจากดาบที่ไหล่เป็นทางยาวอีกหนึ่งแผลเขาจึงบังเกิดอาการไข้ขึ้น
ในเวลานั้นนั่นเองที่พวกเขาพบรถม้าคันหนึ่ง เมิ่งสืออีไม่แน่ใจว่าเป็นมิตรหรือศัตรูแต่หานชางเหยียนได้ยินเสียงเห่าของสุนัขดังขึ้นเขาจึงเอ่ยด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง
"พวกเรารอดแล้ว นั่นอาเจาลูกน้องของข้า"