หลังจากแต่งงานแล้วเมิ่งสืออีก็ไม่ได้พบหน้าสามีของนางอีกเลย และนางก็ไม่ได้รับอนุญาตให้พบกับบิดาและมารดาของตนเองเช่นกัน กระทั่งสิบวันผ่านมามารดาของนางจึงได้รับอนุญาตจากหานชางเหยียนให้มาพบกับบุตรสาวได้
ชีวิตของเมิ่งสืออีที่เคยวาดฝันอย่างงดงามเอาไว้บัดนี้พังทลายลงไปหลังจากแต่งงานกับเขา แต่เมื่อเห็นใบหน้าของมารดาเมิ่งสืออีกลับไม่อาจร้องไห้ออกมาได้
"แม่ขอโทษที่ปกป้องลูกไม่ได้ ทำให้ลูกต้องมากลายเป็นตัวประกันเพื่อพวกเราเช่นนี้ สืออีแม่ทำให้ลูกลำบากแล้ว ในคืนแต่งงานแม่ทัพหานเขาพาสตรีอื่นเข้าหอใช่หรือไม่"
เมิ่งสืออีฝืนยิ้มแม้ว่าภายในใจระทมทุกข์เพียงใดนางก็ไม่อยากให้มารดารู้
"การแต่งงานเป็นลูกที่ตัดสินใจเองเจ้าค่ะ ลูกได้แต่งกับบุรุษในดวงใจลูกมีความสุขมาก ท่านแม่อย่าฟังความคนอื่นให้มากเลยเจ้าค่ะ ท่านแม่ทัพอาจจะละเลยไปบ้างแต่เพราะมีงานราชการต้องทำมากมาย ท่านแม่ก็รู้ว่าการแต่งงานที่เร่งด่วนของพวกเราเช่นนี้ ไม่อาจจะทำตามประเพณีได้ทุกอย่าง"
ถึงแม้ว่าบุตรสาวจะยิ้มแต่ดวงตากลับเศร้าหมอง ที่ระหว่างคิ้วยังเกิดร่องรอยเล็ก ๆ ทั้งใบหน้ายังอิดโรยยิ่งนัก มารดาจึงอดเอื้อมมือออกไปสัมผัสระหว่างคิ้วแล้วคลึงเบา ๆ เพื่อผ่อนคลายให้บุตรสาว
สองแม่ลูกนิ่งเงียบไปชั่วขณะ แม้จะไม่เอ่ยออกมาแต่มารดาย่อมรู้ว่าบัดนี้ในใจของบุตรสาวเป็นเช่นใด
ในที่สุดมารดาก็พูดขึ้น
"แม่ทัพหานจะต้องกลับเมืองหลวงพรุ่งนี้ วันนี้จึงได้ให้แม่มาพบกับเจ้าได้"
เมิ่งสืออีตกตะลึง
"เร็วเพียงนี้หรือเจ้าคะ"
มารดาพยักหน้า สองมือเหี่ยวย่นค่อย ๆ ดึงร่างบอบบางของบุตรสาวเข้าไปกอด
"แม่เฝ้าฟูมฟักเจ้ามาอย่างทะนุถนอม หลายคราที่ทะเลาะกับท่านพ่อของเจ้าด้วยเขาต้องการให้เจ้าร่ำเรียนเพลงยุทธ์และแม่ไม่ยินยอม ในยามนี้แม่กลับคิดว่าเป็นแม่ที่ทำพลาดไป หากเจ้ามีวรยุทธ์ยามจากไปไกลแม่คงไม่ห่วงเจ้าเช่นนี้"
ก่อนหน้านี้เมิ่งสืออีทำใจล่วงหน้าเรื่องลาจากเอาไว้แล้ว แต่เมื่อถึงเวลาจริง ๆ นางกลับรู้สึกใจหายและหวาดกลัวเหลือเกิน เพราะนางรู้อยู่เต็มอกว่าสามีผู้นี้มิได้รักนางมิหนำซ้ำยังรังเกียจ แต่นางก็ยังฝืนเอาไว้ไม่อาจทำให้ท่านแม่ไม่สบายใจ
นางลูบหลังปลอบประโลมท่านแม่อย่างเงียบเชียบ กลืนก้อนน้ำตาลงไปในอก ตั้งแต่วันนี้นางมิใช่คุณหนูใหญ่ของจวนท่านเจ้าเมืองที่บอบบางและอ่อนแอคนเดิม แต่นางกลายเป็นภรรยาผู้อื่นที่สามีไม่รัก
มีเพียงความเข้มแข็งเท่านั้นที่จะเป็นเกราะกำบังและหลักยึดของนางเอาไว้ได้ในยามที่อยู่ห่างไกลบิดามารดา
"บุตรสาวที่แต่งงานแล้วก็เหมือนน้ำที่สาดออก ลูกจะอยู่กับท่านแม่ตลอดไปได้อย่างไรเจ้าคะ"
มารดาปาดน้ำตาของตนเองช้า ๆ ขยับกายออกจากอ้อมอกบอบบางของบุตรสาว
"สืออีของแม่โตแล้วสินะ เป็นเช่นนี้จริง ๆ"
"เจ้าค่ะ สืออีโตแล้วท่านแม่อย่าเศร้าโศกไปเลย ท่านยังจำได้หรือไม่ไยจึงตั้งชื่อของข้าว่าสืออี"
มารดาพยักหน้าพร้อมกับยิ้มน้อย ๆ ทั้งน้ำตา
"ไยจะลืมได้เล่า ในวันที่แม่เพิ่งรู้ว่าตั้งครรภ์เด็กในท้อง แม่ไปขอพรที่วัดเพื่อเสี่ยงเซียมซี ยังได้หมายเลขสิบเอ็ด คำทำนายที่ได้เป็นมงคลยิ่งนัก ในครรภ์ของแม่คือบุตรสาว และบุตรสาวของแม่มีวาสนาได้เป็นใหญ่ อนาคตจะมีผู้มีบุญคอยช่วยเหลือหนุนนำ ผู้ใดจะคาดคิดว่าแม่จะคลอดเจ้าออกมาเป็นหญิงจริง ๆ เพราะเหตุนี้เจ้าจึงได้มีนามว่าสืออี[1]"
"ท่านแม่ลูกรู้สึกว่าคำทำนายนั่นย่อมเป็นจริง ท่านแม่อย่าห่วงลูกเลยนะเจ้าคะ ลูกเพียงหวังอยากให้ท่านแม่อยู่ดีมีสุข ไม่ต้องกังวลกับลูกจนเกินไป อาจมีคนพูดให้ท่านแม่ไม่สบายใจเกี่ยวกับท่านแม่ทัพว่าห่างเหินลูก แต่ความจริงมิได้เป็นเช่นนั้น ท่านแม่ทัพใส่ใจลูกมิใช่น้อยเจ้าค่ะ"
มารดาพยักหน้าพร้อมกับรอยยิ้มอ่อนโยน
"แม่เชื่อเจ้า ลูกแม่เจ้าจากไปไกลแต่ไม่ต้องห่วงนะ สินเดิมของเจ้าแม่มีให้เป็นจำนวนมาก ถึงเวลานี้พวกเราจะแร้นแค้นแต่แม่ไม่ยินยอมให้ลูกลำบากเป็นอันขาด"
วันรุ่งขึ้นก่อนออกเดินทางเมิ่งสืออีทำพิธีกราบลาบิดามารดาด้วยความเศร้าโศก การกราบลาครั้งนี้อาจจะเป็นครั้งสุดท้ายของนางก็เป็นได้
นางถูกสาวใช้ประคองขึ้นรถม้าโดยที่หานชางเหยียนตามนางเข้ามาด้วยสีหน้าราบเรียบท่าทางของเขามิได้เหมือนสามีที่เพิ่งแต่งภรรยา แต่เหมือนโจรป่าที่ฉุดคร่าหญิงงามมาเป็นตัวประกันเสียมากกว่า
เมิ่งสืออีทำตัวไม่ถูกเมื่ออยู่กับเขาเพียงลำพัง นางจึงรินชาปรนนิบัติแต่เขากลับปัดจอกชาของนางทิ้ง
เมิ่งสืออีเจ็บแต่ไม่ร้องออกมา นางกัดฟันเพราะถูกน้ำชาร้อนหกลวกมือ เขาเพียงปลายสายตามองเล็กน้อยและไม่เอ่ยคำใดและไม่ใส่ใจว่านางจะได้รับแผลน้ำร้อนลวกเพราะฝีมือของตนเอง
ถึงนางจะเจ็บแต่นางกลับไม่ลนลานและไม่กรีดร้อง สตรีนางนั้นยังนั่งตัวตรงสง่า ใบหน้าสะคราญนิ่วลงเล็กน้อยนางเก็บถ้วยน้ำชาที่หล่นลงพื้นขึ้นมาแล้วเปลี่ยนถ้วยน้ำชาใบใหม่
นางรินน้ำชาให้เขาใหม่แต่ไม่ยกให้แล้วเพียงแต่เลื่อนมาวางตรงหน้าโดยไม่เอ่ยคำใด จากนั้นก็คว้ากล่องไม้เล็กออกมาจากถุงผ้าที่ปักลวดลายดอกไม้แดงสลับชมพู ในนั้นคงเป็นกล่องยาของนาง เขาสังเกตได้ว่ามีขวดยาเล็ก ๆ หลายขวดวางเรียงอยู่ในนั้น
เมิ่งสืออีหยิบขวดยาที่เขียนว่ายาทาแผลน้ำร้อนไฟไหม้ออกมาขวดหนึ่ง
เขามองนิ้วเรียวของนางในยามที่สัมผัสเนื้อยาสมุนไพรสีเหลืองอ่อนแล้วทาลงบนหลังมืออย่างเพลิดเพลิน ท่วงท่าของนางช่างอ่อนช้อยนุ่มละไมดุจกิ่งหลิวต้องลม
ทหารที่วัน ๆ เอาแต่ขลุกอยู่กับชายหนุ่มในสนามรบเห็นแล้วก็พลันรู้สึกว่าช่างแปลกตาและดึงดูดใจยิ่งนัก
นางตั้งหน้าตั้งตาทายาให้ตนเองอย่างเบามือจนกระทั่งเสร็จเรียบร้อยจึงรู้สึกเหมือนว่าตนเองถูกจ้องมองอยู่ นางจึงเหลือบเนตรงามขึ้นมองเล็กน้อยพลันสบกับดวงตาคมของเขาโดยไม่ตั้งใจ
หานชางเหยียนถูกจับได้ว่าแอบมองคนจึงตัวแข็งทื่อจากนั้นจึงส่งเสียง "หึ" แก้เก้อออกไปคำหนึ่ง ท่าทางปั้นปึ่งเย็นชาเช่นเคย
เมิ่งสืออีก้มหน้าลง หัวใจของนางปวดร้าวยิ่งนักกับท่าทางเย็นชาของเขา นางเพิ่งเคยรักผู้ชายเป็นครั้งแรกในชีวิต และผู้ชายที่นางรักก็ยังเป็นสามีของนาง นางทำผิดอันใดไยสวรรค์จึงได้ลงโทษให้หัวใจของนางเจ็บปวดเช่นนี้
ดูท่าแล้วคำทำนายในเซียมซีของท่านแม่นั้นจะไม่แม่นเสียแล้ว!
หลังจากออกเดินทางได้หลายวัน เมิ่งสืออีก็เริ่มชินกับความเย็นชาของสามี จู่ ๆ หานชางเหยียนก็สร้างเรื่องที่ทำให้นางรู้สึกปวดใจร่างกายแข็งชาจนน้ำตาเล็ด เมื่อเขาพาสตรีนางหนึ่งขึ้นรถม้ามาด้วย
เขาบอกกับนางว่าสตรีนางนี้คืออนุของเขาที่จะพากลับเมืองหลวงไปพร้อมกัน
ชายหนุ่มหญิงสาวเอียงคอออเซาะ หานชางเหยียนก็ไม่เกรงใจนางแม้แต่น้อยเขาทำกับว่านางเป็นท่อนไม้ท่อนหนึ่งในยามที่เคลียคลอกอดประคองหญิงสาวนางนั้น
"อาหลันป้อนข้าสิ"
สตรีนางนั้นเอ่ยด้วยน้ำเสียงถ่อมตน
"ท่านแม่ทัพ ข้าน้อยเกรงใจฮูหยินเจ้าค่ะ"
หานชางเหยียนเอ่ย
"ไม่มีสิ่งใดให้เจ้าต้องเกรงใจทั้งนั้น อีกอย่างข้าคือสามีของเจ้า ไยต้องใช้คำห่างเหินเช่นนั้น เรียกข้าว่าท่านพี่สิ"
เมิ่งสืออีสะอึก นางเคยเรียกเขาว่าท่านพี่ แต่เขากลับตำหนินาง ทว่ากลับสตรีอื่นเขากลับร้องขอให้นางเรียกเขาว่าท่านพี่
เมิ่งสืออีกำมือแน่น หากว่าการแต่งงานครานี้ไม่ใช่เพราะว่านางต้องเป็นตัวประกันให้กับท่านพ่อท่านแม่ นางคงร้องขอหนังสือหย่าจากเขาไปแล้ว
เมื่อเห็นพวกเขาพลอดรักกันคาตา นางเจ็บปวดจนไม่อาจมองได้ จึงทำได้เพียงหลับตานั่งหันหลังให้คนทั้งคู่
ก่อนหน้านี้นางตระหนักได้แล้วว่าเขาไม่รักนาง แต่นางก็ทำใจได้แล้วและตั้งใจจะไม่ยุ่งกับเขาและจะอยู่เพียงเงียบ ๆ ลำพังแต่เขาก็ยังทำให้นางลำบากใจและเจ็บปวดไม่หยุดหย่อน เขาให้สตรีนางนั้นแต่งกายงดงามด้วยเสื้อผ้าไหมหนานุ่มราคาแพง ในขณะที่เมิ่งสืออีกลับถูกเขาสั่งให้สวมเพียงชุดธรรมดาและเสื้อกันลมแบบมีหมวกที่เนื้อหยาบกร้านด้วยเหตุผลที่ว่า
"ข้าไม่ชอบสตรีอวดตน ยิ่งสตรีที่มาจากสกุลเมิ่งเช่นเจ้าก็ยิ่งต้องเจียมตัว"
ที่แท้อาภรณ์งดงามเหล่านั้นเขาก็ตั้งใจมอบให้อนุของเขา ในที่สุดเมิ่งสืออีก็ทนไม่ไหว
"ท่านแม่ทัพ ให้ข้าลงไปเถิดเจ้าค่ะ พวกท่านทำสิ่งใดจะได้สะดวก หรือไม่ให้ข้าไปอยู่ด้านนอกก็ได้"
หานชางเหยียนหัวเราะหยัน ก้มลงจูบแก้มอนุฟอดใหญ่แต่น้ำเสียงที่เอ่ยกับนางช่างเย็นชายิ่งนัก
"ทำไมหรือ ทนดูไม่ได้หรือ หึ ถึงจะทนดูไม่ได้ก็ต้องทนดู เจ้าจะได้เห็นว่าการที่แต่งกับคนเช่นข้าโดยที่ข้าไม่เต็มใจแล้วรังเกียจเจ้าเช่นนี้ทำให้เจ้าทรมานเพียงใด ไม่ต้องไปที่ใดทั้งนั้นแม้จะขัดหูขัดตาข้าแต่การมีเจ้าอยู่ที่นี่ก็สนุกดีเหมือนกัน"
คนทั้งคู่คลอเคลียกันอยู่ทั้งวันกระทั่งเวลาล่วงเข้ายามเย็นก่อนที่จะถึงจุดพักรถม้า จู่ ๆ เมิ่งสืออีก็ได้ยินเสียงครึกโครมที่ด้านนอกพร้อมกับเสียงของทหารที่ตะโกนขึ้นมาว่า
"ท่านแม่ทัพ มีคนร้ายดักซุ่มโจมตีขอรับ"
อนุของหานชางเหยียนหวีดร้องขึ้นมาทันใด
"ว๊าย ท่านพี่ข้ากลัวเจ้าค่ะ"
เมิ่งสืออีเองก็หวาดวิตก นางไม่คาดคิดว่าจะเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้น ธนูหลายดอกพุ่งทะลุเข้ามาในรถม้า เมิ่งสืออีถูกมือใหญ่ข้างหนึ่งกดใบหน้านางลงไปบนโต๊ะเพื่อหลบลูกดอก จากนั้นเขาก็ตะโกนเสียงดัง
"จอดรถม้าข้างทางตรงที่สามารถหลบได้"
เพราะเขากดศีรษะของนางเร็วไปจนซีกแก้มข้างหนึ่งกระแทกกับโต๊ะตัวเล็กในรถม้าทำให้แก้มของนางแดงช้ำเมิ่งสืออีเจ็บจนพูดไม่ออกแล้ว
"หมอบลงกับพื้นหากไม่อยากถูกลูกธนู"
นางคิดว่าเขาบอกนาง แต่น้ำเสียงอ่อนโยนนั้นย่อมมิใช่ ที่แท้เขากำลังบอกอนุของเขานางนั้น แต่ในเมื่อได้ยินแล้วเมิ่งสืออีก็ไม่รอช้า นางหมอบลงไปบนพื้นมือคว้าถุงผ้าที่มีของสำคัญในนั้นมาได้
ในยามนั้นรถม้าก็จอดสนิท
"รีบลงมาเร็วเข้า"
เมิ่งสืออีรีบลงจากรถม้า จากนั้นก็ถูกสั่งให้วิ่งเข้าไปในป่ายังได้ยินเสียงของเขาตะโกนดังก้อง
"เมิ่งสืออีหากไม่อยากตายก็หลบให้ดี"
เขามิได้อยู่คอยปกป้องนางแต่รีบคว้าข้อมือของอนุอันเป็นที่รักและพาขึ้นม้าตัวหนึ่งควบจากไปอย่างไร้เยื่อใย เมิ่งสืออีไม่มีเวลาให้เสียใจแล้ว เมื่อทหารสองฝ่ายกำลังต่อสู้กันเอาเป็นเอาตายและรถม้าคันนั้นก็ถูกธนูไฟยิงกระหน่ำจนไฟลุกพรึ่บขึ้นมา
เมิ่งสืออีกอดถุงผ้าของตนเองแน่นจากนั้นก็ดึงหมวกขึ้นมาคลุมศีรษะโชคดีที่นางสวมชุดคลุมสีดำจึงกลืนไปกับความมืด เมิ่งสืออีทำตามที่หานชางเหยียนสั่ง
นางวิ่งไปหาที่หลบซ่อนอย่างรวดเร็ว เบื้องหลังก้อนหินใหญ่ก้อนหนึ่งบัดนี้จึงมีสตรีที่น่าสงสารนางหนึ่งซ่อนกายอย่างเงียบเชียบ และใบหน้าของนางนั้นนองไปด้วยน้ำตาที่ไหลออกมาไม่ขาดสายด้วยความรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจปนหวาดกลัว
หัวใจของนางแหลกสลายกลายเป็นผุยผงไปแล้วเมื่อเห็นคาตาว่าสามีของตนเองคว้ามืออนุแล้วพาขึ้นม้าหนีไปด้วยกัน ทิ้งนางซึ่งเป็นภรรยาแต่งเอาไว้เบื้องหลังโดยไม่แยแสว่านางจะเป็นจะตายเลยแม้แต่น้อย
เชิงอรรถ
1. ^ สืออี คือ เลข 11 ในภาษาจีน