EP.10 การเผชิญหน้ากันอีกครั้ง
“เกิดอะไรขึ้นหนูพัด ร้องไห้ทำไมคะ” หยกทิพย์รีบย่อตัวลงเพื่อให้ความสูงเสมอกับบุตรสาว หยิบผ้าเช็ดหน้าสีครีมจากกระเป๋าขึ้นมาเช็ดน้ำตาให้บุตรสาวทันที
“นะ…หนูพัดจะไปโรงเรียนแล้วค่ะ” เด็กน้อยละล่ำละลักบอกด้วยเสียงสะอื้นจนผู้เป็นแม่เกือบจะใจอ่อนอยู่แล้วเชียว แต่ก็ใจแข็งจำต้องดัดนิสัยหัดพูดโกหกของบุตรสาวทั้งนี้ก็เพื่ออนาคตของพัดพารัดชาเอง
“อ้าว! ไหนหนูพัดบอกแม่ว่าหนูไม่สบายไงคะ”
“หนูสบายดีค่ะคุณแม่ แต่หนูขี้เกียจไปโรงเรียน อยากนอนดูการ์ตูนอยู่บ้านค่ะ” เด็กหญิงตอบแล้วก้มหน้าลงเตรียมใจไว้ว่าจะต้องโดนมารดาดุ หรือไม่ก็ต้องโดนตีแน่ๆ
“หนูก็เลยโกหกแม่หรือคะ”
“ค่ะ” หนูน้อยก้มหน้าต่ำลงไปอีกจนผู้เป็นแม่ต้องจับใบหน้ารูปไข่ให้เงยขึ้น บรรจงซับหยาดน้ำตาให้อย่างเบามือ เด็กหญิงมีใบหน้าเหมือนตุ๊กตาไม่ผิดเพี้ยน เพราะมีผิวขาวใสอย่างลูกครึ่งไทยอเมริกัน ดวงตาคมเข้มอย่างมารดา ริมฝีปากเล็ก ผมสีน้ำตาลอ่อนดัดเป็นลอน
“ที่จะไปโรงเรียนเพราะไม่อยากไปโรงพยาบาลใช่มั้ยคะหนูพัด”
เด็กหญิงส่ายหน้ารัวๆ แล้วโผเข้ากอดมารดาเอาไว้แน่น “เปล่าค่ะคุณแม่” หยกทิพย์กอดตอบบุตรสาวแล้วรอให้เด็กหญิงได้อธิบายเหตุผลของตนเองอย่างใจเย็น “ตอนแรกหนูพัดกลัวหมอไม่อยากไปโรงพยาบาล แต่หนูพัดกลัวคุณแม่ไม่รักมากกว่าค่ะ ถ้าหนูพัดเป็นเด็กไม่ดีคุณแม่จะไม่รักหนูพัดใช่มั้ยคะ” เพียงเท่านั้นเองจากที่แค่ร้องไห้น้ำตานองหน้าก็เปลี่ยนเป็นปล่อยโฮออกมาด้วยความกลัว
“ใครบอกว่าแม่จะไม่รักหนูคะ”
“ไม่มีค่ะ แต่หนูพัดรักคุณแม่ หนูพัดกลัวคุณแม่ไม่รัก”
“โถเด็กน้อย” หยกทิพย์น้ำตาซึมยกมือขึ้นลูบศีรษะบุตรสาวอย่างอ่อนโยน “หนูเห็นใช่มั้ยลูกว่าแม่ต้องตื่นมาทำงานตั้งแต่ตีสาม”
“ค่ะ ป้าจันทร์บ้านตรงข้ามเคยบอกหนูพัดว่าคุณแม่เป็นคนขยันมาก”
“แล้วหนูพัดรู้หรือเปล่าว่าทำไมแม่ต้องขยัน ทั้งๆ ที่แม่นอนอยู่บ้านเฉยๆ ก็ได้” หยกทิพย์พูดต่อไป ราวกับว่าเธอกำลังคุยกับเด็กโตหาใช่เด็กเล็ก นั่นเพราะเธออยากให้บุตรสาวได้ใช้กระบวนการคิด วิเคราะห์อย่างผู้ใหญ่ ให้พัดพารัดชาได้มีส่วนร่วมในการดำรงชีวิตเพื่อให้เด็กหญิงได้รู้คุณค่าของการทำงาน
เด็กหญิงส่ายหน้าอีกครั้ง เธอโตมาพร้อมกับการเห็นมารดาทำงานไม่หยุดจนแทบกลายเป็นภาพชินตาไปเสียแล้ว
“แม่ทำทุกอย่างก็เพื่อหนูไงลูก เงินที่แม่หามาได้ก็เพื่อค่าข้าวค่าขนมของหนู ค่าเทอม ค่าสมุด ค่าดินสอ ค่าชุดนักเรียนของหนู ถ้าหนูไม่ไปโรงเรียนก็เท่ากับว่าเงินที่แม่หามาก็ถูกทิ้งไปโดยเปล่าประโยชน์”
“หนูพัดขอโทษค่ะคุณแม่ หนูพัดจะไม่ขี้เกียจไปโรงเรียนอีกแล้วค่ะ”
“หนูคิดว่าแม่เหนื่อยมั้ยลูก”
“เหนื่อยค่ะ บางคืนหนูพัดเห็นคุณแม่แอบนั่งร้องไห้ด้วย คุณแม่เหนื่อยมากๆ เลยใช่มั้ยคะ” เด็กหญิงยื่นมือน้อยๆ ไปแตะที่แก้มของมารดาแผ่วเบา “หนูพัดสงสารคุณแม่จังค่ะ”
หยกทิพย์นิ่งเงียบ รู้สึกราวกับมีก้อนแข็งแล่นมาเกาะที่ลำคอจนตีบตันไปหมด ขอบตาร้อนผ่าว มือบางสั่นจนแทบควบคุมไม่อยู่ เธอพยายามสะกดกลั้นหยาดน้ำตาเหล่านั้นเอาไว้อย่างสุดความสามารถ เธอไม่คิดว่าบุตรสาวจะเห็นเธอนั่งร้องไห้ เธอไม่อยากให้บุตรสาวเห็นว่าบางครั้งเธอก็อ่อนแอและรู้สึกท้อแท้กับชีวิต แต่เธอก็เป็นเพียงผู้หญิงตัวเล็กๆ คนหนึ่ง เป็นผู้หญิงที่มีเลือดเนื้อ มีชีวิต มีหัวใจเหมือนผู้หญิงคนอื่นๆ แม้ว่าเธอจะพยายามทำตัวกล้าแกร่งเป็นคุณแม่เลี้ยงเดี่ยวที่หยัดยืนด้วยสองขาของตัวเอง แต่เธอก็ต้องยอมรับความจริงว่าเธออ่อนแอทุกครั้งที่หลับตานอน
ภาพเหตุการณ์ที่แสนเจ็บปวด คนรักที่เดินจากเธอไปอย่างไร้เยื่อใย บิดาบังเกิดเกล้าที่เฆี่ยนตีเธอจนเธอแทบแท้งลูก มันสาหัสสากรรจ์เกินกว่าที่ผู้หญิงตัวเล็กๆ อย่างเธอจะทานทนไหว
“ถ้าหนูสงสารแม่ หนูก็ต้องเป็นเด็กดีของแม่นะลูก”
“ค่ะคุณแม่ หนูพัดจะเป็นเด็กดี หนูพัดสัญญาค่ะ” เด็กหญิงชูนิ้วก้อยขึ้นเกี่ยวก้อยมารดาเป็นการทำสัญญา น้ำตาของบุตรสาวแห้งแล้วแต่น้ำตาของผู้เป็นมารดากำลังรินไหลรดหัวใจ
“ถ้าอย่างนั้นกลับบ้านกันเถอะหนูพัด ไปเปลี่ยนชุดนักเรียนเดี๋ยวแม่ไปส่งที่โรงเรียนนะคะ” หยกทิพย์จูงมือบุตรสาวกลับบ้าน ปกติจะมีรถโรงเรียนมารับส่งแต่นี่สายมากแล้ว พัดพารัดชาคงต้องเข้าเรียนช้าสักหน่อย แต่ถึงจะเข้าช้าก็ดีกว่าไม่ไปโรงเรียนเลย
สองแม่ลูกจูงมือกันกลับมาที่บ้าน หยกทิพย์เปิดประตูรั้วก่อนจะปลอบใจบุตรสาวด้วยขนมหวานแสนอร่อย “ถ้าหนูพัดเลิกเรียนกลับมาบ้าน แม่จะทำแพนเค้กราดน้ำผึ้ง ใส่วิปครีมเยอะๆ แล้วใส่สตรอว์เบอร์รี่ให้สองลูกเลย ดีมั้ยคะ”
“ว้าว! ดีค่ะ หนูพัดอยากรีบไปโรงเรียนใจจะขาดแล้ว” เด็กหญิงมีท่าทางกระตือรือร้นอย่างเห็นได้ชัด ระหว่างที่หยกทิพย์กำลังไขกุญแจประตูบ้านอยู่นั้น เสียงกริ่งหน้าบ้านก็ดังขึ้น
หยกทิพย์หันไปที่ประตูรั้วทันที ปกติแล้วหากเป็นคนรู้จักมักไม่กดกริ่ง แต่จะตะโกนเรียกกันอย่างคุ้นเคย เพราะระยะห่างจากบ้านและประตูรั้วห่างกันไม่ถึงสิบก้าว หญิงสาวเพ่งมองชายรูปร่างสูงอย่างรู้สึกคุ้นเคยอย่างบอกไม่ถูก เขาสวมกางเกงสีเข้ม เสื้อเชิ้ตสีขาวดูสะอาดตา ทว่ามองหน้าไม่ชัดเพราะเขาสวมแว่นตาดำเอาไว้
เหมือน...
แค่คิดว่าเหมือนใครที่เธอเฝ้าคิดถึง หัวใจก็กระตุกวูบแทบจับจังหวะไม่ได้
‘อะไรกันนี่! เธอคิดถึงเขามากเสียจนตาฝาดเลยหรือ ก็แค่คนรูปร่างท่าทางเหมือนกันเท่านั้นเอง’ หญิงสาวปัดความรู้สึกเหล่านั้นทิ้งไป แล้วเดินมาที่ประตูรั้วแล้วเอ่ยถามผู้มาใหม่ด้วยท่าทางเป็นมิตร
“สวัสดีค่ะ มาหาใครหรือคะ”
เจ้าของร่างสูงยังคงยืนนิ่ง ดวงตาภายใต้แว่นดำจ้องจับมาที่ใบหน้าสวยหวานของหยกทิพย์ด้วยความรู้สึกหลากหลาย หัวใจของเขาเต้นผิดจังหวะแต่เมื่อเหลือบไปเห็นเด็กหญิงตัวน้อยด้านหลัง เขาก็สำเหนียกว่าไม่ควรอาลัยอาวรณ์ผู้หญิงแพศยาคนนี้ ‘เธอเป็นเมียของพ่อ’ จำไว้ให้ขึ้นใจนะทริบเฟน อย่ายอมให้ผู้หญิงคนนี้หลอกลวงนายได้อีก
“ฉันเอง…”
ทริบเฟนถอดแว่นกันแดดออก เผยให้เห็นใบหน้าหล่อเหลาที่หักอกผู้หญิงด้วยความเฉยชามานับไม่ถ้วน