EP.11 การเผชิญหน้ากันอีกครั้ง
“พี่…คุณทริบเฟน”
หยกทิพย์ผงะด้วยความตกใจ ใบหน้าถอดสีจนซีดเผือดด้วยไม่คิดว่าจะเป็นเขาจริงๆ เมื่อเธอรวบรวมสติได้เธอก็หมุนตัวหมายจะเดินกลับเข้าไปในบ้าน ทว่าคนตัวโตไวกว่าเขายื่นมือผ่านรั้วที่สูงเพียงแค่เอวของเขาแล้วคว้ามือหญิงสาวเอาไว้ได้อย่างรวดเร็ว
“เดี๋ยวสิ! เรามีเรื่องต้องคุยกัน”
เผียะ!
เร็วกว่าคนตัวโตคือการที่หยกทิพย์หมุนตัวกลับมาแล้วสะบัดฝ่ามือตบลงบนใบหน้าของชายหนุ่มเต็มแรง “อย่าแตะต้องตัวฉัน!”
ทริบเฟนปล่อยมือทันที เขายักไหล่อย่างไม่ยี่หระ ไม่สนใจด้วยซ้ำว่าใบหน้าซีกซ้ายของเขาจะเป็นรอยนิ้วมือจากแรงตบ “คิดว่าฉันอยากแตะต้องผู้หญิงสกปรกอย่างเธอนักหรือไง ฉันมาที่นี่ก็เพื่อจะบอกกับเธอว่าสามีของเธอเสียชีวิตแล้ว”
“ฉันไม่เคยมีสามี!”
หญิงสาวเถียงทันควัน กำมือเข้าหากันแน่น แต่เมื่อเห็นว่าบุตรสาวยืนอยู่หน้าประตูมองมายังเธอและทริบเฟนด้วยสายตาตกใจ หน้าเบะเหยเกคล้ายจะร้องไห้ น้ำเสียงห้วนตวาดใส่ทริบเฟนเมื่อสักครู่ก็แปรเปลี่ยนเป็นเสียงหวานนุ่ม “หนูพัดเข้าไปรอแม่ในบ้านก่อนลูก เดี๋ยวแม่ตามเข้าไปค่ะ”
“คุณแม่รีบตามหนูพัดเข้ามาเร็วๆ นะคะ” เด็กหญิงพยักหน้าอย่างว่าง่าย แต่ยังไม่วายกำชับมารดา
“ค่ะ แม่จะรีบตามเข้าไป”
หยกทิพย์พยายามส่งยิ้มให้บุตรสาวทั้งที่ตอนนี้เธออยากจะกรีดร้องออกมาจนสุดเสียง อยากหยิกทึ้งตัวเองด้วยความเกลียดชัง เกลียดชังหัวใจและร่างกายที่ไม่เคยลืมผู้ชายใจร้ายคนนี้ได้เลยแม้สักเสี้ยวนาที แค่มือหนาเอื้อมมาจับมือเธอไว้หัวใจของเธอก็กระตุกแรงด้วยความโหยหา
บ้าที่สุด!
“ก็ผู้ชายคนที่ทำให้เธอมีเด็กคนนั้นยังไงล่ะ” เมื่อไม่มีเด็กอยู่ใกล้ๆ ทริบเฟนก็ไม่จำเป็นต้องระวังคำพูดอีกต่อไป “จริงสิเรียกว่าสามีคงไม่ถูก เพราะเธอคงไม่นับพ่อฉันเป็นสามีของเธอ ก็แค่เหยื่อที่เธอหลอกล่อเอาไว้สนองตัณหาความใคร่สินะ”
หยกทิพย์ยืนนิ่งน้ำตาไหลอาบแก้ม เธอไม่ได้เสียใจกับการเสียชีวิตของบานเนอร์ ทริสตัน มหาเศรษฐีแห่งวงการอัญมณีโลก แต่เธอเสียใจที่บิดาแท้ๆ ของพัดพารัดชาเรียกบุตรสาวว่า ‘เด็กคนนั้น’ หัวใจของคนเป็นแม่แทบแหลกสลาย เจ็บเสียยิ่งกว่ามีใครเอาคมมีดมากรีดลงบนหัวใจแล้วโรยด้วยเกลือหมายจะให้แดดิ้นด้วยความทรมานก่อนจะขาดใจตาย
“เสียใจด้วยนะคะกับการจากไปของคุณท่าน” หญิงสาวใช้หลังมือเช็ดน้ำตาก่อนจะตอบออกไปด้วยเสียงสั่นเครือ เธอเบือนหน้าไปทางอื่นไม่ต้องการมองเห็นหน้าเขา เพราะกลัวว่าเขาจะจับพิรุธได้จากดวงตาของเธอ
“ฉันต่างหากที่ต้องเสียใจกับเธอด้วย เพราะในพินัยกรรมของคุณพ่อไม่ได้มอบอะไรให้กับผู้หญิงแพศยาอย่างเธอเลย” ทริบเฟนกัดฟันกรอด น้ำตาของหญิงสาวมีฤทธิ์ไม่ต่างจากน้ำกรดร้าย มันกัดไหม้เผาหัวใจเมื่อคิดว่าน้ำตาเหล่านั้นคือน้ำตาแห่งความอาลัยที่เธอมีให้แก่บิดาของเขา
‘หยกทิพย์รักคุณพ่อ…’
“หรือคะ คุณมาเพื่อที่จะบอกเพียงเท่านี้หรือคะ”
หญิงสาวตอบกลับด้วยน้ำเสียงราบเรียบ ไม่ได้สนใจเรื่องพินัยกรรมสักนิด “ถ้าเรื่องแค่นี้คุณไม่น่าที่จะต้องสละเวลาอันมีค่ามาเองเลย ฝากใครมาก็ได้นี่คะ ถ้าไม่มีอะไรแล้วฉันขอตัวค่ะ” หญิงสาวปิดฉากการสนทนาลงอย่างรวดเร็วเธอก้าวฉับๆ เข้าบ้านโดยที่ชายหนุ่มไม่ได้ยื่นมือมารั้งอย่างในครั้งแรก ทว่าถ้อยคำที่เขาตะโกนอยู่นั้นร้ายแรงเสียยิ่งกว่าโซ่ตรวนล่ามขาเธอไว้ให้มิอาจก้าวเดิน
“ฉันมาคุยเรื่องพัดพารัดชา”
“ทำไม! ลูกของฉันเกี่ยวอะไรด้วย” จากผู้หญิงเย็นชากลายเป็นนางยักษ์ในบัดดลเมื่ออีกฝ่ายพูดถึงลูก สัญชาตญาณของความเป็นแม่ปกป้องลูกน้อยถูกปลุกขึ้นมาทันที
“จะไม่เกี่ยวได้ยังไงในเมื่อพัดพารัดชาเป็นลูกของคุณพ่อ นั่นก็เท่ากับว่าเป็นน้องสาวของฉันเหมือนกัน” ทริบเฟนตวาดห้วนกลับไปไม่ต่างกัน หึ! ทำท่าทางเป็นรักลูก ลองรู้ข้อเสนอที่เขาจะมอบให้ ขี้คร้านจะไปหอบลูกมาประเคนให้เขาน่ะสิไม่ว่า
“หนูพัดเป็นลูกของฉัน ไม่ใช่ลูกของคุณท่าน” หญิงสาวตัวสั่นเทิ้มด้วยความโกรธ เธออยากจะกระโจนเขาข่วนหน้าแล้วตบตีเขาให้สาแก่ใจแต่ก็มิอาจทำได้ดังใจ
“อย่าโกหกหน่อยเลยเด็กคนนั้นโขลกหน้าตามาจากตระกูลทริสตันอย่างกับแกะ ผมสีน้ำตาลนั้นก็ได้มาจากคุณย่าของฉัน แล้วแบบนี้จะบอกว่าไม่ใช่ลูกของคุณพ่อได้ยังไง” ทริบเฟนกอดอกมองผู้หญิงตรงหน้าอย่างประเมิน ถ้าเขาเสนอเงินให้เธอสักสามสิบล้านเธอน่าจะยอมยกพัดพารัดชาให้เขาแน่ ดูจากบ้านหลังเล็กเท่ารูหนู แถมเสื้อผ้าที่เธอใส่ก็เป็นเสื้อผ้าถูกๆ เครื่องประดับสักชิ้นติดตัวก็ไม่มี เธอคงอยู่แบบยากจนแร้นแค้นหากได้เงินเธอคงรีบตะครุบเอาไว้เหมือนสุนัขหิวโซเห็นก้อนเนื้อ
‘ก็เพราะว่าเด็กคนนี้เป็นลูกของคุณไง เขาเหมือนย่าของคุณและเขาเหมือนคุณ…’ หญิงสาวเม้มริมฝีปากเข้าหากันสนิท เลือกที่จะเบือนหน้าหนี ไม่ปฏิเสธและไม่ตอบรับสิ่งที่ชายหนุ่มพูดมา
“ฉันต้องการรับพัดพารัดชาไปดูแล”
หยกทิพย์หันกลับมามองหน้านายแพทย์หนุ่มเต็มตาเป็นครั้งแรก ดวงตาเธอเหลือกขึ้นด้วยความตกใจ ใบหน้าซีดขาว เธอเซถอยหลังหลายก้าวคล้ายจะล้มลงทุกขณะ แข้งขาอ่อนแรงไม่สามารถพยุงร่างกายให้ยืนอยู่ได้
‘ไม่จริงใช่มั้ย! เธอได้ยินผิดไปใช่มั้ย!’