EP.9 การเผชิญหน้ากันอีกครั้ง
หม้ายทรงเสน่ห์ที่หนุ่มน้อยหนุ่มใหญ่เทียวขายขนมจีบมาถึงหกปี แต่หญิงสาวกลับใจแข็งไม่คิดตกลงปลงใจกับใคร เธอเลี้ยงบุตรสาวมาเพียงลำพังได้อย่างน่าชื่นชม
“คุณแม่ขาวันนี้หนูพัดไม่อยากไปโรงเรียนเลยค่ะ”
เด็กหญิงถือขันสีเงินตามมารดาเข้ามาในบ้าน แล้วทำเสียงออดอ้อนแสร้งเดินไปนั่งแปะที่ม้านั่งแล้วยกมือขึ้นวางลงบนหน้าผากของตนเอง “หนูพัดรู้สึกไม่ค่อยสบายเลยค่ะ สงสัยหนูพัดจะเป็นไข้”
“ตายแล้วไม่สบายเหรอลูก”
หยกทิพย์แสร้งทำเป็นไม่รู้แผนการของบุตรสาว ด้วยเตรียมใจแล้วว่าเมื่อถึงวัยหนึ่งลูกของเธอจะต้องเริ่มฝึกโกหก โดยปกติแล้วเด็กวัยสี่ถึงห้าปี จะเป็นวัยที่ช่างพูดคุยช่างซักถาม เด็กยังไม่เข้าใจความหมายของการโกหก โดยเจตนาของเด็กไม่ได้ต้องการหลอกลวงอะไร แต่การที่พูดไม่ตรงกับความคิดของตนเองนั้นก็เพราะต้องการหลีกเลี่ยงการโดนทำโทษ แตกต่างจากการโกหกในความหมายของผู้ใหญ่
ในกรณีของพัดพารัดชาก็คงเพราะไม่อยากไปโรงเรียน ครั้นจะเกเรไม่ไปขึ้นมาเสียเฉยๆ ก็กลัวว่าแม่จะทำโทษไม่ให้รับประทานขนมจึงโกหกออกมา ซึ่งหยกทิพย์ไม่คิดนิ่งเฉยแต่จะสอนให้ลูกได้รู้ว่าการโกหกเป็นสิ่งที่ไม่ดี ไม่ควรทำ เมื่อคิดดังนั้นเธอจึงทำหน้าตาตกใจแล้วอังมือที่หน้าผากก่อนจะชักมือออกราวกับว่าหน้าผากของพัดพารัดชานั้นร้อนเสียเต็มประดา
“แบบนี้หนูพัดไม่ต้องไปโรงเรียนแล้วใช่มั้ยคะ” เด็กหญิงถามทันที
“ค่ะหนูพัดไม่ต้องไปโรงเรียนแล้ว”
เมื่อได้ยินคำตอบเช่นนั้นดวงตาของเด็กหญิงก็มีประกายแวววับ เพราะการโกหกครั้งแรกของตนสำเร็จอย่างง่ายดาย
“แต่หนูพัดต้องไปโรงพยาบาลกับแม่ค่ะ” หยกทิพย์เดินไปหยิบกระเป๋าถือแล้วปิดไฟ ปิดพัดลม เตรียมตัวจะออกจากบ้าน
“ไปโรงพยาบาลทำไมคะคุณแม่”
เด็กหญิงตัวน้อยถามด้วยความไม่เข้าใจ โรงพยาบาลเป็นสิ่งที่พัดพารัดชาหวาดกลัวและไม่ชอบเอาเสียเลย เด็กหญิงไม่ชอบกลิ่นยาในโรงพยาบาล ไม่ชอบคุณหมอใจร้ายที่ชอบเอาเข็มมาแทงแขนตน ไม่ชอบเห็นคนเจ็บป่วยเพราะรู้สึกสงสารพวกเขาจนอยากร้องไห้
“ก็หนูพัดไม่สบายแม่ก็ต้องพาไปหาหมอไงคะ”
พูดพลางคว้าข้อมือลูกสาวให้เดินตามออกมานั่งที่ม้านั่งสีขาวตัวเล็กๆ หน้าบ้านชั้นเดียว เปิดตู้รองเท้าแล้วหยิบรองเท้าหุ้มส้นออกมาวางที่พื้น “ใส่รองเท้าเสียสิคะ เดี๋ยวเราจะได้รีบไปโรงพยาบาลกัน” หันมาสั่งด้วยน้ำเสียงเรียบๆ ก่อนจะหันไปหยิบรองเท้าแตะที่สานด้วยต้นกกออกมาสวม แล้วจัดการปิดประตูบ้านล็อกกุญแจทันที
แรกทีเดียวเธอเช่าห้องเช่าอยู่หน้าตลาด ทำขนมไทยใบตองจำพวกข้าวต้มมัด ขนมกล้วย ขนมใส่ไส้ ขนมเทียน ขนมตาล ตะโก้ขายอยู่ในตลาด ตอนนั้นเธออุ้มท้องพัดพารัดชาไปด้วย มีเงินติดตัวพอสำหรับค่าทำคลอดและเลี้ยงดูลูกน้อยได้ราวๆ ครึ่งปีก็จริง แต่เธอก็ยอมลำบากทำงานไม่หยุดเพราะไม่อยากประมาท จนกระทั่งเมื่อลูกสาวอายุได้สองขวบเธอจึงได้ย้ายออกจากห้องเช่าหน้าตลาดที่ทั้งแคบและค่อนข้างอับมาเช่าบ้านหลังนี้แทน
เธอไม่ได้ขายขนมในตลาดอย่างเมื่อก่อนแล้ว แต่ทำขนมขายส่งตามร้านแทน ซึ่งต้องตื่นมาทำขนมตั้งแต่ตีสามกว่าจะเสร็จก็รุ่งสาง จัดการอาบน้ำทำกับข้าวเตรียมไว้สำหรับตักบาตรและให้บุตรสาวรับประทานก่อนไปโรงเรียน จากนั้นเธอก็จะเตรียมตัดและห่อใบตองสำหรับทำขนมในวันต่อไป ช่วงบ่ายหากมีเวลาว่างเธอก็มักจะรับงานทำบายศรีซึ่งเธอมีฝีมือทางด้านนี้อยู่บ้าง
ความขยัน อดทน และประหยัดรู้จักใช้เงินทำให้เธอพอมีเงินเก็บซึ่งเป็นหลักประกันสำหรับสองแม่ลูกอยู่พอสมควร เธอตั้งใจว่าหากเธอยังมีรายได้แบบนี้ไปอีกสักสี่ห้าปี เธอก็จะขอซื้อบ้านหลังนี้แทนการเช่า บ้านไม้ชั้นเดียวหลังเล็กๆ สีขาว มีเนื้อที่บ้านแค่เพียงสามสิบห้าตารางวา แต่กลับเป็นบ้านที่ดูอบอุ่นและน่าอยู่มากที่สุดในซอย เพราะเธอขยันทำความสะอาด ปลูกต้นไม้และปลูกไม้ดอกให้ความร่มรื่น ที่รั้วไม้หน้าบ้านปลูกดอกคำปองน้อย ซึ่งได้ชื่อว่าเป็นราชินีไม้เลื้อย ออกดอกสีชมพูสด เกสรคล้ายเกสรของดอกบัว
เจ้าดอกคำปองน้อย มีความหมายว่า การมีชีวิตรอด การก้าวข้ามผ่านกาลเวลาในห้วงหนึ่ง เปรียบเหมือนชีวิตของหยกทิพย์ เธอผ่านฝันร้ายมาอย่างชนิดที่เรียกว่าแทบเอาชีวิตไม่รอด บัดนี้เธอตั้งต้นใหม่กับลูกน้อยผู้เป็นทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิต เธอผ่านมันมาได้แล้วและเธอจะตั้งมั่นหยัดยืนเลี้ยงดูพัดพารัดชาให้เติบโตเป็นคนดีของสังคม เหมือนบิดาของเขา…
ทริบเฟน…
หยกทิพย์สะบัดความคิดฟุ้งซ่านออกไปจากใจ แล้วหันไปมองบุตรสาวที่อ้อยอิ่งไม่ยอมใส่รองเท้าให้เสร็จเสียที “เสร็จหรือยังคะหนูพัด ไปช้าโรงพยาบาลจะยิ่งคนเยอะนะคะ เราต้องรีบไปต่อคิวรู้มั้ยคะ” หญิงสาวยอบตัวลงช่วยบุตรสาวใส่รองเท้าเสียเอง ตั้งใจว่าจะพาบุตรสาวไปโรงพยาบาลรัฐบาลซึ่งอยู่ไม่ไกลจากที่พักนัก เดินออกไปหน้าปากซอยแล้วนั่งสองแถวราวๆ สิบนาทีก็ถึงแล้ว
“เราไม่ต้องไปโรงพยาบาลก็ได้นะคะคุณแม่ ให้หนูพัดนอนพักเดี๋ยวเดียวก็หายแล้วค่ะ”
“ไม่ได้หรอกลูก ถ้าไม่สบายขนาดว่าไปโรงเรียนไม่ได้แบบนี้ยิ่งต้องให้คุณหมอตรวจร่างกายให้ละเอียดนะคะ แม่มีหนูอยู่คนเดียวถ้าหนูเป็นอะไรไปแล้วแม่จะอยู่กับใครล่ะคะ” หยกทิพย์ยิ้มกว้างให้บุตรสาวก่อนจะยื่นหน้าไปหอมแก้มกลมราวกับผลลูกท้อฟอดใหญ่
“แม่รักหนูพัดนะคะ หนูพัดต้องมีสุขภาพแข็งแรงและเป็นเด็กดีของแม่นะ” พูดจบก็ดึงบุตรสาวเข้ามากอดเอาไว้ด้วยความรัก เธอไม่ได้เลี้ยงบุตรสาวอย่างตามใจ แต่ก็มั่นใจว่าไม่ได้เลี้ยงให้บุตรสาวขาด เธอมอบความรักทั้งหมดที่เธอมีให้บุตรสาว ความรักความอบอุ่นที่จะช่วยเติมเต็มเด็กหญิงขาดพ่อให้มีภูมิคุ้มกันแข็งแรง สามารถที่จะเติบโตและเผชิญกับโลกใบนี้ได้อย่างกล้าแกร่ง
“หนูพัดก็รักคุณแม่ค่ะ” เด็กหญิงกอดตอบมารดา หัวสมองน้อยๆ สับสนและรู้สึกผิด
“ไปกันเถอะ เดี๋ยวช้ากว่านี้รถจะติด” หยกทิพย์จูงมือบุตรสาวออกจากบ้าน ระยะทางจากบ้านของเธอไปจนถึงหน้าปากซอยใช้เวลาเดินราวๆ ห้านาที ระหว่างทางพัดพารัดชากำมือมารดาเอาไว้แน่น เด็กหญิงมีท่าทางคิดหนัก ในที่สุดเด็กหญิงก็ร้องไห้ออกมาอย่างไม่รู้ว่าจะจัดการกับเรื่องที่ตนเองก่อขึ้นอย่างไรดี