ตอนที่ 9 ความอาฆาตของสองพี่น้อง

3211 คำ
“เป็นยังไงล่ะ สบายใจแล้วสินะ” ป๋าวิบูลย์ยิ้มหยอกชนะชนซึ่งเดินกลับมาที่เต็นท์ พร้อมจตุรงค์และมินตรา ด้วยใบหน้าที่บ่งบอกถึงความปิติยินดี “ครับ ก็สบายใจขึ้นมากแล้วล่ะครับ” ชนะชนยิ้มตอบอย่างอ่อนระโหยโรยแรง ระหว่างที่นั่งลงบนเตียงผ้าใบสีสดตัวเดิม โดยมีจตุรงค์ช่วยประคองแทนมินตรา ถึงอย่างนั้นก็ยังสร้างความไม่พอใจให้กับเซรีที่ยืนอยู่บริเวณนั้นอยู่ดี ...พิษรักแรงหึงของเธอเป็นดั่งพายุคลั่งที่อาละวาดทำลายทุกสิ่ง โดยไม่เลือกจำเพาะเจาะจง หญิงสาวไม่พอใจที่คนข้างกายชนะชนคือจตุรงค์และมินตรา เพราะคนคนนั้นควรจะต้องเป็นเธอมากกว่า “เที่ยงกว่าแล้ว ทานอะไรสักหน่อยนะคะ จะได้หายไข้ไวๆ” เซรีเดินถือจานบาร์บีคิวเข้ามาส่งให้ชนะชนด้วยสองมือ พร้อมรอยยิ้มหวานที่มั่นใจว่าจะต้องสะกดใจชายหนุ่ม ขณะนี้ที่เต็นท์ชั่วคราวซึ่งชนะชนเคยมานอนพัก ถูกปรับเปลี่ยนให้เป็นสถานที่รับประทานอาหารของคณะนักโบราณคดีจากทุกประเทศ โดยมื้อกลางวันในวันนี้มีการย่างบาร์บีคิวรับประทานกัน จนควันกับกลิ่นหอมฉุยจากเนื้อย่าง สัปปะรด และมะเขือเทศตลบอบอวลไปทั่ว “ขอโทษนะ ผมยังค่อยไม่หิว” ชนะชนตอบกลับเซรีด้วยภาษาอาหรับอย่างสุภาพ แต่แฝงท่าทีเย็นชาไว้ จนหญิงสาวถึงกับยืนถือจานบาร์บีคิวค้าง แต่แค่นี้ไม่เพียงพอจะทำให้เธอยอมแพ้ “ถ้าอย่างนั้นดิฉันวางไว้ตรงนี้นะคะ ทานหมดแล้วอยากเติมเมื่อไหร่ก็บอกได้ค่ะ ดิฉันจะไปหยิบมาให้ คุณจะได้ไม่ต้องลุกไปลุกมา” เธอบอกเขาด้วยภาษาไทยอีกครั้ง พร้อมรอยยิ้มหวานฉ่ำกว่าเดิม แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้ชนะชนหันมาสนใจเธอมากขึ้นกว่าเดิมเลย “ครับ ขอบคุณ” เขาตอบกลับด้วยภาษาอาหรับอีก ราวกับไม่อยากให้คนในคณะเข้าใจในสิ่งที่เขาพูด ถึงแม้จะมีจตุรงค์ที่สามารถแปลความหมายของคำพูดเหล่านั้นได้ ...เขามั่นใจว่าจตุรงค์จะเข้าใจในสิ่งที่เขากำลังทำ และสามารถยอมรับมันได้ ถึงแม้ว่าจะมีเพียงเขาที่ระลึกถึงช่วงเวลาในอดีตชาติได้ แต่จากหลายๆ เหตุการณ์ที่ผ่านมาก็บ่งบอกได้เป็นอย่างดีแล้วว่า จตุรงค์คือคนที่เข้าใจในตัวตนและความรู้สึกของเขามากที่สุด “ท่านอื่นๆ ถ้าอยากเติมก็เรียกดิฉันได้นะคะ ขอให้คิดว่าเป็นไมตรีจากพวกเราชาวอียิปต์ค่ะ” เซรียิ้มบอกทุกคน แล้วเดินออกไป แต่ยังมิวายชำเลืองมองชนะชนที่นอนหลับตานิ่ง “ชนะชน! เสียมารยาทนะ น่าจะรับมากินให้คุณเซรีเธอดีใจสักหน่อย เธออุตส่าห์เดลิเวอรี่ถึงที่” เจ๊แหม่มตำหนิชนะชนทันทีที่เซรีเดินห่างออกไปแล้ว “โธ่! เจ๊... เอ้ย! ผอ.ครับ คนเป็นไข้กินอะไรไม่ค่อยจะลงหรอกครับ อยากจะนอนอย่างเดียว” จตุรงค์รีบออกรับแทนเพื่อนที่ยังคงนอนนิ่งคล้ายจะผล็อยหลับไปแล้ว “ยิ่งป่วยไข้ยิ่งต้องกินให้แข็งแรง ไม่กินแล้วเมื่อไหร่มันจะหายกัน” เจ๊แหม่มยังคงเข้าข้างเซรี ด้วยการยกคำพูดของเธอมาขยายความต่อ “เดี๋ยวผมทานครับ ขออนุญาตนอนพักก่อนสักครู่” ชนะชนตอบแทนจตุรงค์ ซึ่งจนมุมให้กับเจ๊แหม่มไปอย่างไม่กล้าขึ้นสังเวียนอีก “ที่จริงคุณเซรีเธอก็เป็นคนดีมีน้ำใจนะ ผิดกับน้องสาวของเธอจริงๆ” ป๋าวิบูลย์พูดขึ้นบ้างเป็นเชิงหยอกชนะชน ในเมื่อทุกคนต่างก็ดูออกว่าสาวอียิปต์คนนี้สนใจในตัวชายหนุ่มอยู่มากทีเดียว “แต่เกดว่าคุณๆ สองคนเธอไม่ค่อยชอบมินเลยล่ะค่ะ เวลาเห็นมินทีไร แหม! รังสีอำมหิตแผ่ออกมาอย่างกับคลื่นความถี่วิทยุ” เกสรียกมือเป็นเชิงขออนุญาตออกความเห็น แน่นอน! หญิงสาวพูดออกมาตามที่ตาเห็น แม้จะแฝงความรู้สึกหมั่นไส้ไว้บ้าง ในเมื่อเธออุตส่าห์เชียร์เพื่อนสาวคนสนิทให้ได้ปิ๊งรักกับหัวหน้าหนุ่มคนนี้แท้ๆ แล้วเรื่องอะไรจะปล่อยให้เนื้อคู่ของมินตราเพื่อนรักต้องมาถูกคนอื่นฉกไปด้วย “เกด! พูดอะไรของเธอน่ะ คุณๆ เขาจะไม่ชอบฉันเรื่องอะไรกัน” มินตราปรามเพื่อนด้วยความตกใจ ถึงแม้จะรู้สึกแบบนั้นบ้างลึกๆ ข้างในใจ “นั่นสิ! เกสรี เราน่ะก้าวร้าวใหญ่แล้วนะ อยู่ๆ ก็พูดอะไรออกมา” เจ๊แหม่มดุเจ้าหน้าที่สาวในความดูแล จนอีกฝ่ายนั่งจ๋อยน้ำตาซึมด้วยความน้อยใจ ...ทั้งๆ ที่เธอไม่ได้ใส่ไฟ หรือใส่สีตีไข่เลยแม้แต่น้อย แล้วทำไมถึงไม่มีใครเห็นอย่างที่เธอเห็นเลย “ไม่หรอกครับ ผมเองก็เห็นแล้วก็รู้สึกอย่างที่เกสรีบอก” ชนะชนพูดขึ้นขณะที่ยังนอนหลับตาอยู่ จึงไม่เห็นสายตาของคนทั้งคณะที่หันมามองเขาด้วยความตกใจ “เอ่อ... ฉันว่านายน่าจะกินมื้อเที่ยงได้แล้วนะชนม์ เดี๋ยวก็เป็นโรคกระเพาะหรอก” จตุรงค์รีบเปลี่ยนเรื่อง พร้อมกับลุกขึ้นเดินไปหยิบจานบาร์บีคิวของชนะชนที่เซรีจัดมาให้ แต่แล้วก็ต้องบ่นอุบ “นายเล่นนอนพักนานเกิน จนมันเย็นหมดแล้วนี่” “ไม่เป็นไร ฉันกินได้ วางไว้แบบนั้นแหละ” ชนะชนตอบเสียงเรียบ แฝงบุคลิกเข้มขรึมเย็นชาไว้ในท่าที “ได้ยังไง ยิ่งเป็นไข้ก็ควรต้องกินอะไรร้อนๆ ฉันจะไปเอามาให้ใหม่” จตุรงค์พูดสวนขึ้น แล้วเดินออกไปทันทีโดยไม่รอให้เพื่อนทักท้วงอะไรอีก และไม่กี่อึดใจก็กลับมาพร้อมจานบาร์บีคิวควันฉุย “นายกินเถอะ ฉันกินจานเก่านั่นแหละ” ชนะชนตอบเนือยๆ เมื่อเพื่อนสนิทยื่นจานบาร์บีคิวให้ “นายนั่นแหละกินจานนี้ จานเก่าฉันจะกินเอง ไม่กินเดี๋ยวฉันป้อนนะ ให้สองสาวนั่นกับนักโบราณคดีทุกคณะเขาเข้าใจกันให้หมดว่า ฉันกับนายเป็นคู่เกย์ที่สวีทวี้ดวิ้วที่สุดในโลก” คำพูดของจตุรงค์ทำให้ชนะชนจำต้องลุกขึ้นรับจานบาร์บีคิวมานั่งกินเป็นมื้อเที่ยง โดยที่จตุรงค์หยิบจานบาร์บีคิวที่เซรีจัดให้ชนะชนมากินเสียเองอย่างที่ได้พูดไว้ “นี่ๆ หรือหัวหน้าชนะชนกับรองหัวหน้าจตุรงค์จะเป็นคู่เกย์กันจริงๆ มินว่าไง?” เกสรีแอบกระซิบถามเพื่อนสาว ระหว่างที่เดินมาที่ซุ้มบาร์บีคิวและบุฟเฟ่ต์ซึ่งอยู่เต็นท์ข้างๆ “พูดอะไรแบบนั่นน่ะเกด คราวก่อนก็เหมาว่าหัวหน้าเขาชอบฉันทีนึงแล้ว เดี๋ยวเขารู้ก็โกรธเอาหรอก” มินตราดุเพื่อน สีหน้าเคร่งเครียด “แหม! ก็แค่ขำๆ น่า แต่เรื่องที่เขาชอบเธอน่ะ ฉันพูดจริงนะ” “เกด... ถ้าพูดแบบนี้อีก ฉันโกรธจริงๆ นะ” “จ้าๆ” เกสรียิ้มขำท่าทางเอาเรื่องของเพื่อนสาว และตอบรับอย่างขอไปที เพราะมั่นใจในความรู้สึกของตัวเองว่าถูกต้อง ก็แหม ! ขนาดหัวหน้าชนะชนยังรู้สึกได้เลยนี่ ว่าสองสาวนั่นไม่ชอบเพื่อนของเธอ แสดงว่าเขาจะต้องคอยจับตามองคนที่ประสงค์ร้ายกับมินตราอยู่ตลอดเวลาแน่ๆ ...แน่นอนว่า สิ่งที่เกสรีคาดเดานั้นไม่ได้ผิดไปจากความเป็นจริงเลย เพราะแม้กระทั่งเวลานี้ ในยามที่เขาป่วยไข้และจำต้องนั่งรับประทานอาหารอันไร้รส อย่างซังกะตายตามคำสั่งของเพื่อนผู้หวังดี ชนะชนก็ยังอดชำเลืองมองตามหลังมินตราไปด้วยความเป็นห่วงไม่ได้ แม้จะรู้ว่าเซรีและเซเรียคงไม่มีทางใส่ยาพิษลงไปในอาหารที่นักโบราณคดีจากทุกคณะรวมทั้งตัวเองต้องกิน ครั้งนี้ เขาเพียงกังวลว่าสองคนนั้นจะดักทำร้ายหรือหาเรื่องมินตรา แต่ก็พอจะเบาใจได้บ้างเมื่อมีเกสรีอยู่กับเธอด้วย และแม้จะมีเรื่องเกิดขึ้นจริง เขาก็พร้อมที่จะไปช่วยเธอ ต่อให้สภาพร่างกายเป็นเช่นไรก็ตาม ไม่มีวัน... ที่จะปล่อยให้เธอต้องเผชิญหน้ากับสิ่งเลวร้ายเพียงลำพังอีกแล้ว “หัวหน้าคะ ที่ซุ้มมีบุฟเฟ่ต์ด้วย ดิฉันเลยตักสลัดผักมาฝากค่ะ แล้วก็ชาร้อนสำหรับไล่ไข้หวัดด้วยค่ะ” มินตราเดินถือถาดใบย่อมกลับมาจากซุ้มอาหาร และตรงเข้ามาหาชนะชนก่อนเป็นอันดับแรก ...เธอก็ยังคงเป็นเธอ ที่ยังคอยเป็นห่วงเป็นใยคนรอบข้าง ด้วยหัวใจอันบริสุทธ์ ต่างจากเซรีที่จะหว่านพืชเพื่อหวังผลเสมอ ไม่เปลี่ยนแปลงไปจากอดีตชาติเลยแม้แต่นิดเดียว “ขอบคุณมากนะ” ชนะชนยิ้มให้มินตรา ระหว่างที่รับถาดอาหารมาวางไว้บนโต๊ะตรงตำแหน่งที่นั่งของตัวเอง ผิดกับที่ปฏิบัติต่อเซเรียอย่างสิ้นเชิง ทำเอาทุกคนตรงนั้นมองกันตาค้าง ไม่เว้นแม้แต่เซรีและเซเรียซึ่งนั่งอยู่ภายในเต็นท์ของเจ้าหน้าที่ชาวอียิปต์ข้างซุ้มอาหาร “ดูท่าทางหัวหน้ากับลูกน้องคู่นี้ คงจะมีอะไรๆ มากกว่าผู้บังคับบัญชากับผู้ใต้บังคับบัญชานะคะ” เซเรียหันไปพูดกับพี่สาวเป็นภาษาอาหรับ พลางหัวเราะร่วน แต่เซรีกลับไม่ขำด้วย... แม้สักนิดเดียว “เธออยากจะพูดอะไรกันแน่เซเรีย พูดมาตามตรงดีกว่า ไม่ต้องมาอ้อมค้อม!” คนเป็นพี่ถามกลับเสียงขุ่น ขณะที่ตายังจ้องมองมินตราด้วยความริษยา “ก็แค่จะให้พี่ทำใจ เขาเทคแคร์กันขนาดนั้น พอเขากลับประเทศของเขา อาจจะไปเทคแคร์กันมากกว่านี้ก็ได้ แล้วพี่จะเอาอะไรไปสู้” “ก็แค่จริตมารยาของแม่นั่น เขายังไม่ได้เป็นแม้แต่แฟนกัน แต่ถึงเป็นแฟนกันแล้วก็เลิกได้ ขนาดคนแต่งงานแล้วยังหย่ากันได้เลยนี่ คนอย่างพี่ไม่มีทางยอมแพ้ใครง่ายๆ เธอพูดจาเหมือนไม่รู้จักพี่สาวตัวเองเลยนะเซเรีย!” คำพูดของเซเรียจุดชนวนให้เซรีโกรธจัด จนเผลอตัวระเบิดอารมณ์และเผยธาตุแท้ออกมา แต่นั่นแหละคือสิ่งที่เธอต้องการล่ะ เซเรียยิ้มมองพี่สาวผู้เป็นเสมือนเครื่องมือในการแก้แค้นชิ้นหนึ่งของเธอ ...ทำไมฉันจะไม่รู้จักนิสัยเธอเล่าเซรี ในเมื่อฉันเกิดมาเป็นน้องสาวของเธอถึงสองภพสองชาติแล้ว ก็เหมือนกับอดีตพี่ชายของเธอคนนั้นไง พี่ชายที่เธอยังคงหลงรักหัวปักหัวปำคนนั้น อาจจะเป็นโชคดีของเธอก็ได้ที่เวลานี้เขากลายเป็นคนของครอบครัวอื่น ในเมื่อจารีตของสามัญชนกับฟาโรห์นั้นไม่เหมือนกัน แต่สำหรับฉัน... ไม่ว่าแบบไหนมันก็เหมือนกันนั่นแหละ เพราะถึงยังไงเขาก็จะต้องมีชีวิตอยู่อย่างทุกข์ทรมานด้วยน้ำมือของฉันอยู่ดี ใช่! หมายรวมถึงผู้หญิงของเขาคนนั้นด้วย ก็ในเมื่อฉันกลับขึ้นมาบนโลกใบนี้ก็เพื่อการนี้นี่ เซเรียมองพี่สาวที่ลุกหนีไป แล้วค่อยๆ หันกลับไปมองชนะชนกับมินตราด้วยแววตาอาฆาต!! “พรุ่งนี้เจอกันใหม่นะคะ” เซรีส่งยิ้มหวานให้คณะนักโบราณคดีจากประเทศไทย ซึ่งกำลังทยอยลงจากรถบัส หลังเสร็จสิ้นการเยี่ยมชมพีระมิดทั้งสามแห่งเมืองกิซาห์ รวมทั้งอิ่มหนำสำราญกับซุ้มอาหารบาร์บีคิว – บุฟเฟ่ต์แบบเติมไม่อั้น และรถบัสคันเดิมนำคนทั้งหมดมาส่งยังบ้านพักเอกอัครราชทูตไทยแล้ว “พรุ่งนี้คุณน้องจะไปกับพวกเราอีกหรือคะ?” เจ๊แหม่มออกอาการตื่นเต้นดีใจที่จะได้เจอสาวอียิปต์คนโปรดอีก ตรงข้ามกับชนะชนที่ปั้นหน้าเคร่งขรึมตลอดเวลา และไม่แม้แต่จะเหลือบตามองเซรี “ค่ะ ก็ต้องไปคอยดูแลเรื่องอาหารน่ะค่ะ” เซรีตอบยิ้มๆ ก่อนที่รอยยิ้มจะค่อยๆ เจื่อนลง เมื่อแอบชำเลืองมองชนะชนแล้วพบว่าเขาไม่มีทีท่าจะสนใจเธอเลย... แม้แต่นิดเดียว “หัวหน้าคะ เดี๋ยวดิฉันล้างแผลให้เหมือนเดิมนะคะ” “รบกวนหน่อยนะ” เสียงของมินตราดังแว่วมาเข้าหู ซ้ำพอหันไปมองยังพบภาพที่ชนะชนยิ้มขอบคุณเจ้าของคำพูด อย่างที่ไม่เคยยิ้มให้กับเธอ เป็นภาพที่บาดตาและบาดลึกลงไปในหัวใจอ่อนๆ ของเซรี จนหญิงสาวทนไม่ไหวอีกต่อไป “นี่ๆ เมื่อกี๊ฉันเห็นหัวหน้ามองเธอตาเยิ้มด้วยล่ะ” “บอกแล้วไงว่าให้เลิกพูดแบบนี้เสียที ทำไมไม่เชื่อกันบ้างนะเกด” สองสาวเดินคุยกันผ่านหน้าเซรี และระหว่างที่มินตรากำลังจะก้าวเท้าลงจากบันไดรถนั้นเอง... “ว้าย!!” “มิน!!” เกสรีร้องเรียกเพื่อนเสียงลั่น เมื่อเห็นอีกฝ่ายสะดุดอะไรบางอย่างและเสียหลักพลัดตกจากบันไดรถ โชคดีที่ชนะชนคว้าตัวเธอไว้ได้ทันก่อนที่หญิงสาวจะล้มหัวฟาดพื้น ถึงอย่างนั้นก็ทำให้ทุกคนพากันตกใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นอย่างมาก “ไม่เป็นไรใช่ไหม?” เขาก้มหน้าถามมินตราซึ่งยังคงอยู่ในอ้อมกอด และซบหน้าอยู่กับอกของเขา “มะ... ไม่ค่ะ” เธอตอบเสียงสั่น เหมือนเนื้อตัวที่ยังสั่นเทาไม่หายด้วยความกลัว แล้วรีบผละออกจากอ้อมอกนั้น พร้อมกับไหว้เขาพลางก้มหน้างุด “ขอบคุณนะคะ แล้วก็ขอโทษค่ะ ขอโทษทุกๆ คนด้วยค่ะ” หญิงสาวโค้งขอโทษไปทั่ว ไม่เว้นแม้แต่กับเซรีผู้ที่จงใจยื่นปลายเท้าออกมาทำให้เธอสะดุดล้ม “จะเดินจะเหินก็ระมัดระวังหน่อย อย่ามัวแต่คุยกันสิจ๊ะสองสาว” เจ๊แหม่มตักเตือนกึ่งดุมินตราและเกสรี ทำเอาสองสาวยืนจ๋อย ขณะที่ชนะชนหันขวับไปจ้องหน้าเซรีอย่างโกรธๆ นึกรู้ว่าเธอเป็นต้นเหตุให้มินตราพลัดตกลงมา ในเมื่อรูปการของอุบัติเหตุ รวมไปถึงนิสัยเสแสร้งและกลั่นแกล้งคนอื่นลับหลังเขา เป็นวิสัยที่เซรีกระทำมาตั้งแต่อดีตชาติแล้ว “นม... มิราเป็นเยี่ยงไรบ้าง นางปรับตัวได้บ้างรึไม่?” ชายหนุ่มหวนนึกถึงช่วงเวลาก่อนที่เขาจะได้รับการสถาปนา เพื่อขึ้นครองบัลลังก์ฟาโรห์ หลังจากที่เขาพามิราเข้ามาอยู่ในวังหลวง และมีเหตุจำเป็นต้องเดินทางไปยังเมืองใหญ่ข้างเคียงเป็นเวลา 7 ราตรี โดยฝากฝังเธอไว้กับแม่นมของเขา แต่แล้ว... “เอ่อ... พระชายาทรงประชวรด้วยพระอาการไข้มาหลายเพลาแล้ว หมอหลวงก็ไม่อาจจักรักษาให้พระอาการทุเลาได้” คำตอบของแม่นมทำให้เขาต้องรีบไปหามิราที่ห้องทันทีด้วยความร้อนใจ และพบว่าเธอกำลังนอนตัวสั่นจากพิษไข้อยู่บนพระแท่นทองคำโดยปราศจากผ้าห่ม ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้เขาได้ให้ข้าราชบริพารจัดเตรียมข้าวของทุกอย่างไว้ให้เธอจนครบถ้วนแล้ว รวมไปถึงผ้าขนสัตว์ 2 ผืน สำหรับห่มนอนด้วย “นม... มิรานอนเยี่ยงนี้ทุกคืน หาได้มีผ้าห่มไม่เช่นนั้นหรือ นางจักเป็นไข้ก็ไม่แปลก ในเมื่อยามราตรีมาเยือนนั้นหนาวเย็นเพียงไหนทุกคนย่อมรู้ แลผ้าห่มขนสัตว์ที่ข้าเตรียมไว้ให้นางไปไหนเสียเล่า” “เอ่อ... ผ้าผืนนั้น พระมเหสีเซรี...” “เซรีอีกแล้วรึ!” ชื่อของบุคคลอันเป็นต้นเหตุที่ได้ยิน ยิ่งทำให้อารมณ์โกรธของเขาพุ่งพล่าน ชายหนุ่มจำได้ว่าเขารีบออกจากห้องมิราไปยังห้องของเซรีที่อยู่ใกล้ๆ กัน รวมทั้งจำได้แม่นยำถึงคำพูดและอากัปกิริยาทุกอย่างของเซรี “น้องหาได้อยากกลั่นแกล้งชายาของท่านพี่ไม่ เพียงแต่น้องน้อยใจที่ท่านพี่ไม่ใส่พระทัยน้องบ้างเลย” เซรีพูดด้วยเสียงอันสั่นเครือคล้ายกำลังจะร้องไห้ แต่นั่นไม่ได้ช่วยให้ความโกรธของเขาจางลง “พี่พึ่งรู้ว่าเจ้าไร้เหตุผลถึงเพียงนี้ พี่หรือไม่ใส่ใจเจ้า เจ้าอยากได้ห้องใหม่ในวังหลวงพี่ก็ให้แล้ว เจ้าจักต้องการอันใดอีก ข้าวของเครื่องใช้ทุกอย่างเจ้าก็มีมากกว่าผู้ใด เซรี... พวกเราควรจักเจียมตัวในฐานะลูกพระชายา หากไม่มีองค์ฟาโรห์เชปซีสกาฟแล้ว พี่กับเจ้าจักมีวันได้มายืนอยู่ตรงนี้หรือก็หาไม่” “นั่นก็ด้วยเหตุที่ท่านพี่มีพระปรีชาสามารถ แลมีสิ่งอันควรการครองบัลลังก์ เว้นเสียก็แต่ดำริของท่านพี่เรื่องนี้นั่นแล หากมัวแต่เจียมตัว พวกขุนนางไพรฟ้าข้าราชบริพารที่ไหนจักเกรงเรา” คำพูดของเซรีและท่าทางเชิดหน้าอวดดีของเธอ ยิ่งทำให้เขาโมโหหนักขึ้น “เจ้ารู้รึไม่เหตุใดพี่จึงไม่อยากครองบัลลังก์ เพราะพี่ไม่มีสิ่งอันควรแก่การครองบัลลังก์แม้เพียงสักข้อหนึ่ง เจ้าเองก็เช่นกัน หาได้มีสิ่งอันควรให้ขุนนางไพร่ฟ้าข้าราชบริพารเทิดทูนในฐานะมเหสี การถือดี อวดดี หาได้ทำให้พวกเขายำเกรงไม่ แต่สิ่งที่จักทำให้พวกเขายำเกรง คือ พระราชจริยาวัตร พระราชปฏิบัติ พระราชกรณียกิจ แลพระมหากรุณาธิคุณที่ฟาโรห์แต่ละพระองค์ทรงประกอบขึ้นด้วยพระราชหฤทัย เจ้าจงจำไว้เซรี... หากเจ้ายังหาได้เปลี่ยนความคิดไม่ มเหสีผู้เคียงบัลลังก์อยู่ข้างพี่จักไม่ใช่เจ้า!” นัยน์ตาของเขาในเวลานั้นฉายแววโกรธจัดไม่ผิดไปจากเวลานี้เลย ต่อให้กี่ภพชาติผันผ่าน เซรีก็ไม่เคยปรับปรุงตัวเองให้ดีขึ้น ในใจของเธอยังคงมีแต่ความถือดี ความอิจฉาริษยา ความพยาบาทอาฆาต และทิฐิมานะทั้งหลาย... ไม่มีที่สิ้นสุด “อย่าคิดว่าผมไม่รู้ว่าเป็นฝีมือคุณ!” ชนะชนหันไปจ้องหน้าเซรีพร้อมกับพูดกับเธอเป็นภาษาอาหรับ ทั้งคำพูดและแววตาทำให้หญิงสาวชะงักไป ...ความโกรธและความรู้สึกผิดหวังในตัวเธอ เต้นเร่าอยู่ในดวงตาคมคู่นั้น คล้ายเป็นสิ่งที่เซรีเคยสัมผัสมาก่อน มันทำให้เธอทั้งเสียใจ น้อยใจ และเจ็บปวด หลายความรู้สึกประเดประดังกันเข้ามาอย่างบอกไม่ถูก ไม่ใช่แต่เซรีเท่านั้น มินตราเองก็แปลกใจตัวเอง กับความรู้สึกอบอุ่นและปลอดภัย ยามได้อยู่ในอ้อมกอดของชนะชน เหมือนเป็นสิ่งที่เธอเคยสัมผัสมาแล้วนานแสนนานจนรู้สึกโหยหา สองสาวหาคำตอบให้ตัวเองไม่ได้กับความรู้สึกลึกๆ ที่เกิดขึ้นข้างในใจ ตรงข้ามกับเซเรียที่รู้และเข้าใจในทุกสิ่งทุกอย่างที่เป็นไป พร้อมๆ กับที่คอยเฝ้ามองตัวหมากแต่ละตัวของเธอที่จะต้องเดินไปในเส้นทางที่เธอเลือกให้... นับจากนี้
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม