“มิ... รา...“
เสียงละเมอของชนะชนทำให้มินตราซึ่งอาสาเฝ้าไข้ชายหนุ่มอยู่ที่เต็นท์พยาบาล ระหว่างที่เจ้าหน้าที่คนอื่นๆ ในคณะไปเยี่ยมชมพีระมิดอีก 2 แห่ง นั่งมองใบหน้าซีดๆ ที่เต็มไปด้วยเหงื่อของเขาด้วยความเป็นห่วง
...เขาละเมอชื่อนี้ออกมาหลายครั้งแล้ว มันคงเป็นชื่อคนรักของเขาและคงเกี่ยวข้องกับคำพูดที่เขาละเมอออกมาเมื่อเช้านี้ด้วย แต่นั่นเป็นภาษาอียิปต์ไม่ใช่เหรอ หมายความว่าหัวหน้าของเธอมีคนรักเป็นชาวอียิปต์ หรือเป็นเพราะอาการประสาทหลอนจากคำสาปและอาถรรพณ์ อย่างที่เจ้าหน้าที่บางคนนึกหวาดกลัว จะว่าไปเขาเองก็ดูแปลกไปตั้งแต่ตอนที่กลับมาจากทะเลทรายขาวเมื่อวานแล้ว อย่าบอกนะว่านั่นเป็นเพราะเขาโดนคำสาปฟาโรห์เข้าเสียแล้ว มินตราครุ่นคิดพลางย่นหน้าให้กับเรื่องเล่าลือเหล่านั้น
“องค์ฟาโรห์ทรงใจดีจะตายไป ทรงเป็นถึงพระเจ้าแผ่นดิน ไม่ทรงทำกับประชาชนแบบนั้นหรอก” หญิงสาวพึมพำ ก่อนจะใช้ผ้าเช็ดหน้าของตัวเองชุบน้ำสะอาดที่ทางเจ้าหน้าที่อียิปต์จัดใส่ขันมาให้ เช็ดตามใบหน้าและส่วนต่างๆ ของร่างกายที่อยู่นอกเสื้อผ้าของชนะชนอีกครั้ง เพื่อลดความร้อนจากอาการไข้ตามหลักการพยาบาลเบื้องต้น
...เธอคิดว่านั่นเป็นแค่ความหลังฝังใจของเขาเสียมากกว่า แต่หากเป็นเพราะคำสาปและอาถรรพณ์จริงๆ เธอก็ไม่ได้นึกหวาดกลัวอะไร ตรงกันข้ามมินตรากลับเชื่อมั่นว่าชนะชนและเธอจะไม่เป็นไร ทั้งๆ ที่ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่าทำไมถึงคิดแบบนั้น
“คุณเขาเป็นยังไงบ้าง?”
เสียงตั้งคำถามที่ดังมาจากทางด้านหลังเรียกให้มินตราหันไปมองเซรีที่เดินหน้าบึ้งเข้ามา วันนี้หญิงสาวอยู่ในชุดเสื้อลูกไม้สีชมพูแขนยาวกับกางเกงยีนส์เข้ารูปสีน้ำเงินดูสวยหวาน ผิดกับมินตราและชนะชนซึ่งยังคงสวมเสื้อผ้าในโทนไว้ทุกข์ พลอยให้สมาชิกคนอื่นๆ ในคณะต้องสวมตามไปด้วย
“ยังหลับอยู่เลยค่ะ” มินตราตอบคำถามเซรีด้วยคำง่ายๆ ที่คิดว่าคงไม่ยากนักกับการที่ชาวต่างชาติจะทำความเข้าใจ
“ดิฉันจะเฝ้าไข้เขาให้เอง คุณไปที่พีระมิดเมนเคอเรเถอะ พวกของคุณกำลังจะเข้าไปที่นั่น” เซรีบอกมินตรา ฟังดูคล้ายปรารถนาดี ทั้งที่ความจริงแล้วเธอแค่อยากอยู่ใกล้ชนะชน โดยไม่มีก้างขวางคอต่างหาก
“ขอบคุณนะคะ ไม่เป็นไรหรอกค่ะ รบกวนคุณเปล่าๆ ดิฉันจะเฝ้าหัวหน้าเองค่ะ” มินตรายิ้มขอบคุณเซรีอย่างจริงใจ หากแต่เซรีไม่ได้คิดเช่นนั้น
...หญิงสาวมองว่ามันเป็นรอยยิ้มที่มินตราใช้เย้ยหยันเธอ ผู้หญิงคนนี้คงกำลังหลงรักหัวหน้าของตัวเองอยู่ และประกาศตัวเป็นศัตรูความรักของเธออย่างเต็มตัว ซ้ำยังดูถูกว่าเธอไม่มีทางได้หัวใจของเขามาครอง แน่นอนว่าเธอไม่มีทางยอมแพ้แค่นี้ แล้วก็จะขอรับคำท้าที่ส่งมาพร้อมกับรอยยิ้มนั้นด้วย เซรีเชิดหน้ามองมินตราด้วยความหมั่นไส้ระคนเกลียดชัง ขณะที่มินตรายังคงยิ้มให้อีกฝ่ายโดยไม่รู้เรื่องรู้ราวใดๆ ด้วย
“ที่เขาไม่ฟื้นเพราะคุณปฐมพยาบาลไม่ถูกวิธีล่ะสิ ถ้าทำไม่เป็นก็ควรไปทำหน้าที่ของคุณจะดีกว่า ฉันจะดูแลเขาเอง” เซรีเปิดฉากกล่าวหาจนมินตราถึงกับนั่งงง
“ดิฉันก็ทำตามหลักการปฐมพยาบาลเบื้องต้นทุกอย่างแล้วนะคะ หัวหน้าอาจจะอ่อนเพลียมากเลยหลับสนิทก็ได้”
“คุณเรียนแต่โบราณคดีมา จะมารู้เรื่องพยาบาลดีกว่าคนที่จบพยาบาลอย่างฉันได้ยังไง”
ท่าทางอวดดีกับอารมณ์ขุ่นมัวของเซรี ทำให้มินตรายิ่งงุนงงมากขึ้น นอกเหนือจากการได้รับรู้ว่าอีกฝ่ายใช้ภาษาไทยคล่องราวกับเป็นเจ้าของภาษาเสียเอง และไม่เฉพาะมินตราเท่านั้นที่ได้รับรู้...
“การดูถูกคนอื่นโดยที่ยังไม่ได้รู้จักเขาอย่างถ่องแท้ เป็นการกระทำที่ผิดพลาดอย่างร้ายแรงเลย” ชนะชนพูดพร้อมกับยันตัวเองให้ลุกขึ้นนั่งบนเตียงผ้าใบสีแสบตา ซึ่งทางเจ้าหน้าที่อียิปต์จัดมาให้เช่นกัน
“หัวหน้า! อย่าพึ่งรีบลุกสิคะ เดี๋ยวจะล้มนะคะ” มินตราผวาลุกขึ้นประคองเขา โดยที่ชนะชนเองก็ไม่ได้ปฏิเสธใดๆ ไม่ว่าจะเป็นทางคำพูดหรือสีหน้าท่าทาง เป็นภาพที่บาดตาบาดใจจนเซรีแทบจะกรีดร้องออกมา ถึงอย่างนั้นเธอก็ทำได้เพียงแค่แอบจ้องมองมินตราแบบจะกินเลือดกินเนื้อ เพื่อรักษาภาพลักษณ์ของตัวเองในยามอยู่ต่อหน้าชนะชน
“มินตรา... ช่วยพาผมไปที่พีระมิดฟาโรห์คาเฟรที” ชนะชนบอกแกมขอร้องหญิงสาว และไม่แม้แต่จะชำเลืองมองเซรี
“แต่อาการของหัวหน้ายังไม่ดีเลยนะคะ”
“นั่นสิคะ ควรจะนอนพักรอคนอื่นๆ กลับมาจะดีกว่านะคะ เพื่อนของคุณตอนนี้ก็ออกจากพีระมิดคาเฟร ไปที่พีระมิดเมนเคอเรกันหมดแล้วด้วย” เซรีเสริมคำพูดของมินตรา ด้วยท่าทีที่แสดงออกว่าเป็นห่วงชนะชนมาก
“ผมรู้ตัวเองดีว่ายังไหว” ชายหนุ่มตอบอย่างเย็นชา แล้วลุกขึ้นเดินออกไป ทำให้มินตราต้องรีบตามไปประคอง แต่ก็ใช่ว่าเซรีจะยอมแพ้เพียงแค่นี้
“เดี๋ยวดิฉันจะตามเซเรียให้ไปช่วยนำทางให้นะคะ” เธอรีบเดินตามไปบอกเขา แต่กลับถูกชนะชนหันขวับมาจ้องหน้า นัยน์ตาวาวโรจน์
“ไม่ต้อง!” เขาสวนขึ้นเสียงเข้ม คล้ายไม่พอใจในสิ่งที่เธอพูด ไม่สิ! เหมือนจะไม่พอใจทุกสิ่งทุกอย่างที่เป็นเธอมากกว่า
“แต่ว่าคุณอาจจะหลงได้นะคะ แล้วถ้าเข้าไปสุ่มสี่สุ่มห้า ก็อาจจะทำให้ดวงพระวิญญาณในนั้นไม่พอพระทัยก็ได้” เซรีพยายามหาข้ออ้างมาชักแม่น้ำทั้งห้าอีก
“หึ! คุณกลัวว่าองค์ฟาโรห์จะทรงไม่พอพระทัยจริงๆ น่ะหรือ?” ชนะชนหัวเราะขื่นๆ ก่อนจะเดินต่อไปโดยไม่สนใจเซรี ยิ่งทำให้หญิงสาวร้อนรุ่มไปด้วยไฟริษยา ในเมื่อเห็นตำตาว่าชายหนุ่มปฏิบัติต่อมินตราต่างจากที่ปฏิบัติกับเธอราวฟ้ากับเหว เหมือนจงเกลียดจงชังเธอมาแต่ชาติปางก่อน
...ใช่! แววตาคู่นั้น สายตาที่จ้องมองมาของเขา มันเหมือนกับมีบางอย่างแฝงอยู่ เป็นความรู้สึกเจ็บแค้นและชิงชัง ทั้งๆ ที่เธอไม่เคยทำอะไรให้เขาต้องรู้สึกแบบนั้นเลยสักนิด เซรียืนน้ำตาคลอมองชนะชนที่ค่อยๆ เดินห่างออกไปพร้อมกับมินตรา ลึกๆ ในอกอัดแน่นไปด้วยความเสียใจ น้อยใจ ซึ่งเป็นเชื้อฟืนอย่างดีที่เติมไฟริษยาให้ยิ่งเพิ่มขึ้นเป็นทวีคูณ เธอไม่มีทางยอมแพ้แค่นี้แน่ เซรีบอกตัวเองพลางมองตามหลังมินตราไปอย่างโกรธแค้น และราวกับเป็นความแค้นที่ฝังลึกมานานแสนนานข้ามภพข้ามชาติ
“จะไปไหนกัน คณะของพวกคุณอยู่ที่พีระมิดเมนเคอเรแล้ว ไม่ใช่ที่นี่” เซเรียเดินตรงเข้ามาขวางทางชนะชนกับมินตรา ไม่ให้เข้าไปในพีระมิดขององค์ฟาโรห์คาเฟร ซึ่งเป็นพีระมิดเดียวจากพีระมิดทั้งสามที่มีรูปปั้นสฟิงซ์ (สิงโต) หน้าคนตั้งตระหง่านอยู่ด้านหน้าทางเข้า
...แค่ได้แกล้งถ่วงเวลาเขา แม้เพียงแค่เศษเสี้ยวนาที เธอก็รู้สึกสนุกกับการที่ได้เห็นเขาต้องทุกข์ทรมาน และแสดงกิริยาราวกับกระหายที่จะเข้าไปให้ได้
“หัวหน้าอยากจะเข้าไปสักการะดวงพระวิญญาณขององค์ฟาโรห์น่ะค่ะ” มินตราเป็นฝ่ายตอบแทนชนะชน ด้วยภาษาอังกฤษตามที่เซเรียส่งภาษาถามมา ขณะที่ชนะชนยืนจ้องหน้าเซเรียนิ่ง
“ถ้าอย่างนั้นฉันจะนำทางให้แล้วกัน”
“ไม่จำเป็น!”
คราวนี้ชนะชนสวนขึ้นทันควันด้วยภาษาอาหรับ เสียงเข้มแบบเดียวกับในคราวที่ปฏิเสธเซรี แต่นั่นเองที่ทำให้หญิงสาวหัวเราะขบขัน และยอมเปิดทางให้แบบง่ายๆ จนมินตรางุนงงกับพฤติกรรมแปลกๆ ของคนทั้งคู่ ถึงอย่างนั้นเธอก็ไม่ได้ปริปากถามอะไรออกมา
“เดี๋ยวดิฉันถือไฟฉายให้นะคะ” มินตราบอกชนะชน หลังจากที่เดินเข้าไปภายในพีระมิด กระทั่งถึงจุดที่แสงอาทิตย์ไม่อาจสาดส่องเข้าไปถึง
“ไม่เป็นไร ผมถือเองดีกว่า” เขาปฏิเสธ น้ำเสียงอ่อนโยนผิดจากตอนที่พูดกับสองสาวพี่น้อง เพราะถึงแม้มินตราจะจดจำเรื่องราวต่างๆ ในอดีตชาติไม่ได้เลย แต่ชายหนุ่มก็ไม่อยากให้การกระทำโง่ๆ ของเขาไปกระทบกระเทือนจิตใจเธออีก
...แค่ได้พบกันอีกครั้ง และมีเธออยู่ข้างๆ แบบนี้ ก็นับว่าเป็นโชคดีที่สุดของเขาแล้ว สำหรับการถือกำเนิดมาในภพชาตินี้
“หัวหน้าระวังๆ นะคะ พื้นพีระมิดไม่ค่อยเรียบ อาจจะสะดุดล้มได้” มินตราพูดทำลายความเงียบขึ้นอีกครั้ง ระหว่างที่ทั้งเธอและเขาเดินลึกเข้าไปจนเกือบถึงส่วนในสุดของพีระมิด ซึ่งเป็นห้องที่ใช้เก็บรักษาพระศพองค์ฟาโรห์คาเฟร
“ขอโทษนะที่ทำให้ต้องลำบาก” ชนะชนตอบพลางหัวเราะขื่นๆ นึกสมเพชตัวเองที่ต้องให้นางอันเป็นที่รักคอยดูแล ทั้งที่ควรจะเป็นตัวเขาเองมากกว่าที่ต้องปกป้องดูแลเธอ
“หัวหน้าอย่าคิดมากสิคะ ดิฉันไม่ได้ลำบากอะไรเลย แล้วก็ดีใจที่ได้มาสักการะดวงพระวิญญาณขององค์ฟาโรห์ที่นี่ ขออนุญาตทำตามอย่างที่หัวหน้าทำนะคะ” มินตราบอกชนะชน พร้อมกับยิ้มให้เขาอย่างจริงใจ เป็นรอยยิ้มที่บริสุทธิ์ปราศจากความรู้สึกอื่นใดแอบแฝง จนชนะชนชะงักไปกับภาพที่ราวกับถอดแบบมาจากห้วงเวลาในอดีตชาติ
...ต่อให้ทุกข์หรือโศกเศร้าเพียงใด มิราก็จะมีรอยยิ้มให้กับเขาและคนรอบข้างเสมอ แม้กระทั่งในวินาทีสุดท้ายของชีวิต เธอก็ยังฝืนยิ้มให้กับแม่นมผู้คอยดูแล ทั้งที่ทรมานจากยาพิษอย่างแสนสาหัส
“ขอบคุณนะที่เข้าใจผม” ชนะชนยิ้มตอบมินตรา หากแต่เป็นรอยยิ้มที่มีน้ำใสๆ เอ่อท้นอยู่ตรงขอบตาด้วย ก่อนที่หยาดน้ำใสๆ เหล่านั้นจะไหลรินลงมาใสตอนที่ชายหนุ่มก้มลงกราบตรงพื้นที่ที่เคยประดิษฐานโลงพระศพขององค์ฟาโรห์คาเฟร
...เป็นน้ำตาแห่งความสำนึกผิดต่อบรรพบุรุษ และต่ออดีตมเหสีซึ่งได้กลับชาติมาถือกำเนิดเป็นหญิงสาวที่กำลังก้มลงกราบสักการะแด่ดวงพระวิญญาณอยู่ข้างๆ กันตรงนี้
“ในนี้อากาศน้อยนะคะ รีบออกไปที่พีระมิดขององค์ฟาโรห์เมนเคอเรกันดีกว่าค่ะ” มินตราบอกชนะชนที่ลุกขึ้นยืนก้มหน้านิ่ง รอจนเขาพยักหน้าจึงค่อยๆ ประคองเขาออกไปตามทางเดิม และคอยชำเลืองมองเขาด้วยความเป็นห่วงเป็นระยะๆ ขณะที่ชนะชนเดินกำกระบอกไฟฉายในมือแน่น ด้วยความเจ็บใจในสภาพร่างกายของตัวเอง
...ป่านนี้บรรพบุรุษของเขาคงกำลังมองเขา พลางหัวเราะด้วยความสมเพชในความอ่อนแอของเขาอยู่แน่ๆ อ่อนแอทางกายและใจ ไร้ซึ่งคุณสมบัติที่จะครองบัลลังก์ ก็อย่างที่เซเรียพูด สมควรแล้วที่เขาเป็นฟาโรห์องค์เดียวที่ไม่มีชื่อจารึกในประวัติศาสตร์
“ชนม์! นายเป็นไข้หนักขนาดนั้น แล้วออกมาจากเต็นท์ทำไมเนี่ย!?”
เสียงโวยวายของจตุรงค์ปลุกชนะชนให้ตื่นจากภวังค์ และกว่าจะรู้ตัวเพื่อนรักจอมกะล่อนก็เข้ามาแย่งไฟฉายไปจากมือ พร้อมกับช่วยมินตราประคองเขาออกมาจากพีระมิดฟาโรห์คาเฟรอีกแรง
...คงมีใครสักคนบอกจตุรงค์ว่าเขากับมินตราอยู่ที่นี่ และในฐานะเพื่อนก็อดที่จะเข้ามาช่วยเพื่อนหัวรั้นอย่างเขาไม่ได้ นี่เขาทำให้คนอื่นต้องเดือดร้อนอีกแล้วสินะ ชนะชนนึกโทษตัวเอง ด้วยหัวใจที่ถูกความหมองเศร้าครอบงำ
“นายน่ะควรจะกลับไปนอนที่เต็นท์ได้แล้วนะ เกิดล้มพับไปอีกจะทำยังไง” จตุรงค์ทำท่าจะพาชนะชนกลับไปที่เต็นท์ แต่เจ้าตัวกลับยืนกรานปฏิเสธ
“ฉันต้องไปที่พีระมิดขององค์ฟาโรห์เมนเคอเร ต้องไป... ขอขมาต่อดวงพระวิญญาณของพระองค์”
“นายเคยไปทำอะไรไว้ให้ดวงพระวิญญาณของพระองค์ทรงกริ้วด้วยเหรอ ตอนมาอียิปต์คราวที่แล้วหรือไง อย่าบอกนะว่าองค์ฟาโรห์คูฟู กับองค์ฟาโรห์คาเฟรด้วยน่ะ?”
“เรื่องมัน... นานมาแล้ว” ชนะชนตอบคำถามของจตุรงค์แบบเลี่ยงๆ เพราะไม่มีประโยชน์ที่จะรื้อฟื้นสิ่งที่ผ่านมาแล้วหลายพันปีเหล่านั้น ให้กับผู้ที่ไม่ได้ร่วมระลึกชาติด้วยได้รู้
...เขาไม่ต้องการให้ใครต้องมาตกอยู่ในวงเวียนกรรม และความอาฆาตแค้นไปมากกว่านี้
“ชนะชน! เป็นยังไงบ้าง ทำไมอยู่ๆ ก็ออกมาจากเต็นท์โดยพลการแบบนี้” ป๋าวิบูลย์เดินนำสองสาวต่างวัยตรงเข้ามาหาพวกชนะชนด้วยความเป็นห่วง
“นั่นสิ! ดีนะที่คุณเซรีเธอไปบอก ถึงจะให้มินตราช่วยประคองก็เถอะ ตัวบางๆ อย่างนี้จะไปรับน้ำหนักไหวได้ยังไงกัน” เจ๊แหม่มพูดสนับสนุน และยกความดีความชอบให้กับเซรี สาวอียิปต์คนโปรด
หึ! ขอให้มันเป็นความปรารถนาดีจริงๆ ที่ไม่มีอะไรเคลือบแคลงก็แล้วกัน ชนะชนลอบยิ้มเยาะ
“แต่ผอ.วิไลวรรณคะ มินตราน่ะเห็นตัวบางๆ แบบนี้ เรี่ยวแรงมหาศาลเลยนะคะ เคยวิ่งตามรถเมล์ตั้งหลายป้าย เพื่อจะได้กลับบ้านตรงเวลาด้วยล่ะค่ะ” เกสรียกมือเป็นเชิงขออนุญาตพูดแทรก แต่เพราะคำพูดของเธอนั่นเองที่ทำให้มินตรายืนหน้าแดงซ่านด้วยความอาย
“เกด!” หญิงสาวเรียกชื่อเพื่อนเป็นเชิงปราม ขณะที่คนอื่นๆ พากันอมยิ้มกับวีรกรรมของมินตรา ไม่เว้นแม้แต่ชนะชน เขาพึ่งรู้ว่าอดีตมเหสีของเขาเคยสวมบทนักวิ่งทีมชาติที่ประเทศไทยด้วย
“เอ่อ... เอาเป็นว่าเดี๋ยวผมจะพาชนม์ไปสักการะพีระมิดองค์ฟาโรห์เมนเคอเร แล้วจะตามไปทานอาหารนะครับ” จตุรงค์พูดขึ้น หลังจากทุกคนเงียบกันไปพักหนึ่ง
“ขอดิฉันไปด้วยนะคะ ดิฉันก็อยากไปค่ะ” มินตรารีบขออนุญาต ด้วยท่าทางกระตือรือร้น
...จริงอยู่ที่อาจเป็นเพราะก่อนหน้านี้ เธอไม่ได้เข้าไปในพีระมิดทั้งสามพร้อมสมาชิกคณะคนอื่นๆ ทั้งที่ควรจะได้เข้าไปพร้อมๆ กัน แต่เหตุผลอีกส่วนก็คือ ความรู้สึกผูกพันอย่างประหลาดกับโบราณสถานเหล่านี้ ราวกับเคยเห็นและเคยสัมผัสมาก่อน ทั้งๆ ที่นี่เป็นครั้งแรกที่เธอได้มาเยือนประเทศนี้ด้วยซ้ำ
“เอาล่ะๆ ถ้าอย่างนั้นทั้งจตุรงค์ แล้วก็มินตราช่วยกันดูแลชนะชนด้วยก็แล้วกันนะ” ป๋าวิบูลย์พยักหน้าสรุป ก่อนจะยืนมองเจ้าหน้าที่ในความดูแลทั้งสามคนที่พากันเดินไปยังพีระมิดขององค์ฟาโรห์เมนเคอเร พลางยิ้มชื่นชมในหัวใจที่ตั้งมั่นของหนุ่มสาว
ไม่นานนัก ชนะชน จตุรงค์ และมินตราก็เข้าไปถึงส่วนในสุดของพีระมิด ซึ่งเคยเป็นห้องสำหรับเก็บรักษาพระศพขององค์ฟาโรห์เมนเคอเร โดยพระองค์ทรงเป็นพระโอรสขององค์ฟาโรห์คาเฟร และทรงเป็นพระนัดดาขององค์ฟาโรห์คูฟู ฟาโรห์ 2 พระองค์ผู้ทรงเป็นเจ้าของพีระมิดที่ตั้งตระหง่านอยู่ข้างๆ กัน ซึ่งพีระมิดขององค์ฟาโรห์เมนเคอเรนั้นมีขนาดเล็กที่สุด ถึงอย่างนั้นก็ยังใหญ่กว่าพีระมิดของฟาโรห์ซาร์บริเวณทะเลทรายขาว
“เฮ้ๆ นายจะรีบเดินไปไหนเนี่ยชนม์ ช้าๆ ก็ได้ ยิ่งเหนื่อยก็ยิ่งทำให้อาการไข้ทรุดเร็วนะ ในนี้อากาศก็น้อยด้วย” จตุรงค์เอ่ยเตือนเพื่อน แต่ดูเหมือนชนะชนจะไม่ได้ให้ความสนใจ
...ชายหนุ่มยังคงเร่งฝีเท้าในการก้าวไปข้างหน้า เร็วที่สุดเท่าที่คนที่ถูกอาการไข้เล่นงานอย่างเขาจะทำได้ ด้วยเกรงว่าหากองค์ฟาโรห์เมนเคอเรทรงไม่พอพระราชหฤทัยในตัวเขา รวมทั้งไม่ทรงยอมรับการขอขมาจากเขาแล้ว อาจจะทำให้ผู้ที่ติดตามเขาเข้ามาทั้งสองคนต้องมาพลอยรับเคราะห์ไปกับเขาด้วย
“พูดแล้วยังไม่ฟังอีกแน่ะ ลำพังฉันน่ะไม่เท่าไหร่หรอก แต่น้องมินตราน่ะ ทั้งประคองนายทั้งเดินตามนายจนขาจะขวิดอยู่แล้ว รู้หรือเปล่า”
...ได้ผล! คราวนี้คำพูดของจตุรงค์ทำให้ชนะชนถึงกับชะงัก และหยุดเดินกะทันหันจนทั้งมินตราทั้งจตุรงค์แทบเบรกตัวเองไม่ทัน
“เฮ้ย! อะไรของนายเนี่ย อยู่ๆ ก็หยุดเดินซะอย่างนั้น เดี๋ยวก็ชนกันหัวร้างข้างแตกหรอก” จอมกะล่อนโวยวาย
“อย่าเสียงดังสิรงค์ ที่นี่เป็นโบราณสถานเก่า เป็นสถานที่สถิตของดวงพระวิญญาณ เป็นที่อันศักดิ์สิทธิ์ขององค์ฟาโรห์ ควรจะสำรวมเวลาเข้ามา” ชนะชนปรามเพื่อนเสียงเครียด แต่กลับถูกอีกฝ่ายย้อนแบบแทงใจดำ
“สรุปว่านายกลัวกลัวว่าพระองค์จะยิ่งทรงกริ้ว นายคิดมากเรื่องนี้ใช่ไหมถึงได้รีบเดิน เพื่อจะได้เข้าไปขอขมาพระองค์ ฉันไม่รู้หรอกนะว่านายเคยไปทำอะไรไว้ แต่คนที่จะมาเป็นฟาโรห์ เป็นพระเจ้าแผ่นดินปกครองไพร่ฟ้าประชาชนตั้งมากมายน่ะ พระองค์ไม่ทรงไร้เหตุผลถึงขนาดนั้นหรอก คิดมากไปได้”
“ใช่แล้วล่ะค่ะ ยิ่งถ้าหัวหน้าไม่ได้มีเจตนาที่จะทำสิ่งที่ทำให้พระองค์ทรงกริ้ว หรือเจตนาทำแต่มีเหตุผลที่ยอมรับได้ พระองค์ต้องทรงเข้าใจและให้อภัยแน่ๆ เลยค่ะ” มินตราสนับสนุนสิ่งที่จตุรงค์พูด ทั้งคำพูดและรอยยิ้มของหญิงสาวท่ามกลางแสงจากหลอด LCD ของไฟฉาย ทำให้ชนะชนชะงักไปอีกครั้ง ขณะที่หวนนึกถึงเรื่องราวในอดีตชาติเมื่อหลายพันปีก่อน ในตอนที่เขาพามิราเข้าไปกราบทูลขอคำแนะนำจากฟาโรห์เชปซีสกาฟ ผู้สถาปนาเขาขึ้นเป็นฟาโรห์ หากเขาจะแต่งตั้งเธอเป็นมเหสีแทนน้องสาวของเขา ซึ่งเป็นการขัดกับจารีตที่เคยมีมา
“ท่านพี่... เพลานี้ ท่านพี่เองก็กำลังจักเป็นองค์ฟาโรห์ผู้ครองลุ่มน้ำไนล์แล้ว จารีตนั้นก็คือตัวท่านพี่เองไม่ใช่หรือ หากท่านพี่เห็นสิ่งใดควร แลไม่เป็นผลร้าย ท่านพี่ก็จงถือปฏิบัติเถิด อันว่าความรักนั้น หากบังเกิด ณ ที่ใดก็ยากที่จะหักห้ามได้ แม้นตัวข้าเองก็อาจถือจารีตของท่านพี่ในภายหน้าก็เป็นได้”
นั่นคือพระราชดำรัสขององค์ฟาโรห์เชปซีกสาฟในครั้งนั้น และเขาเองก็ยังจดจำได้ดีถึงพระมหากรุณาธิคุณที่พระองค์ทรงมีต่อเขา มิรา รวมทั้งติติ แล้วก็เป็นไปได้ที่พระมหากรุณาธิคุณที่ทั้งคู่ได้รับ จะยังฝังแน่นอยู่ในจิตใต้สำนึก ติดตัวมาถึงในชาติปัจจุบัน
“ฉันคง... คิดมากไปเองล่ะมั้ง” ชนะชนยอมรับออกมาในที่สุด
...ใช่ ! เขาคงคิดมากไปเอง จากความรู้สึกผิดที่ตามหลอกหลอนมาตั้งแต่อดีตชาติ โดยที่ไม่เคยมีเหตุการณ์ใดๆ บ่งบอกว่าองค์ฟาโรห์ผู้เป็นบรรพบุรุษของเขาทรงกริ้วถึงขนาดสาปแช่งเขาอยู่ ณ ดินแดนเบื้องบน ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นล้วนแล้วแต่เป็นผลจากการกระทำของเขาเอง และเขาจะไม่มีทางปล่อยให้ประวัติศาสตร์ซ้ำรอยเดิมอีก เพื่อแก้ไขในสิ่งที่เขาได้เคยทำผิดพลาดไว้ รวมทั้งเพื่อลบวัฏจักรแห่งแรงอาฆาตอันก่อให้เกิดวงเวียนกรรมไม่สิ้นสุด ไม่ให้ใครต้องตกเป็นเครื่องสังเวยในภพชาตินี้
“ขอพระองค์โปรดชี้นำ...” ชายหนุ่มพึมพำระหว่างที่ก้มลงกราบสักการะแด่ดวงพระวิญญาณ