ตอนที่ 10 วันสุดท้ายของการเดินทาง

3705 คำ
“หัวหน้า เอ่อ... เป็นยังไงบ้างคะ?” มินตรารีบถามถึงอาการไข้ของชนะชนทันทีที่พบหน้ากันในเช้าวันใหม่ หลังจากที่นอนกระสับกระส่ายด้วยความไม่สบายใจมาตลอดคืน “ดีขึ้นมากแล้วล่ะ พรุ่งนี้คงหายสนิท ขอบคุณมากนะที่ช่วยดูแล” ชนะชนตอบยิ้มๆ ทั้งอาการไข้และอาการป่วยทางใจเกือบจะหายเป็นปลิดทิ้ง จากการเฝ้าพยาบาลของมินตรา ภาพที่เธอเช็ดตัว จัดยา และห่มผ้าให้เขาก่อนนอนยังฝังแน่นอยู่ในความทรงจำ แม้ชายหนุ่มจะรู้ดีว่าเธอทำไปเพราะความรู้สึกผิด แต่แค่นั้นก็เพียงพอแล้ว... “ดิฉันต่างหากล่ะคะที่ได้หัวหน้าช่วยไว้สองครั้งสองหนแล้ว” มินตราพูดพลางก้มหน้างุด ภาพที่เธออยู่ในอ้อมกอดของเขาผุดขึ้นในความทรงจำ แม้จะเป็นเพียงการช่วยเหลือเธอไม่ให้ได้รับอันตราย แต่มินตราก็ยังอดหน้าแดงไม่ได้ ในเมื่อที่ผ่านมาเธอยังไม่เคยมีแฟน และยังไม่เคยถูกผู้ชายคนไหนกอดนอกจากผู้เป็นพ่อเท่านั้น “อย่าคิดมากเลยนะ ผมเองก็คงทนเห็นคุณเป็นอะไรไปไม่ได้เหมือนกัน” เขาบอกเธอ และยังคงจ้องมองหญิงสาวด้วยความรักใคร่ ขณะที่มินตราเองก็เงยหน้าขึ้นมองเขา และชะงักไปกับความรู้สึกที่อยู่ในดวงตาคู่นั้นราวกับต้องมนต์ กระทั่งเสียงหนึ่งดังปลุกทั้งคู่ให้ตื่นจากภวังค์ “แหมๆ ลุกมาจีบกันแต่เช้าเลยนะ อิจฉาจริงๆ เลยแฮะ” จตุรงค์เดินล้อเลียนมาแต่ไกล จอมกะล่อนพึ่งออกมาจากห้องอาบน้ำและอยู่ในชุดเสื้อเชิ้ตสีฟ้าอ่อน กับกางเกงขายาวสีดำ ส่วนชนะชนซึ่งตื่นมาอาบน้ำแต่งตัวนานแล้ว ก็อยู่ในชุดเสื้อเชิ้ตสีครีม กางเกงขายาวสีดำ เหมือนกับมินตราราวกับนัดกันมา เป็นเหตุให้จตุรงค์โยงเรื่องมาแซวต่อได้อีก “จุ๊ๆ ๆ แถมยังใส่เสื้อผ้าสีเดียวกันด้วย ใจตรงกันนะเนี่ยคู่นี้” “ถ้ายังไม่เลิกแซว ฉันรับรองเลยว่าต้องมีอะไรบางอย่างเกิดขึ้นกับนายแน่ๆ เลยรงค์ ฉันเอาหัวฉันเป็นประกันเลย” ชนะชนปั้นหน้าอำมหิตเต็มที่ จนอีกฝ่ายหน้าเจื่อน “งั้นคิดซะว่าฉันยังไม่ได้พูดอะไรเลยก็แล้วกันนะ” จตุรงค์หัวเราะฝืดๆ แล้วหันไปทางมินตรา “เชิญคุยกันตามสบายเลยนะครับ พี่ เอ่อ... ไม่รู้ไม่เห็นอะไรเลยครับ” “ที่จริง...” มินตราพยายามจะแก้ตัว แต่จอมกะล่อนก็กลับเผ่นหนีไปเสียก่อน ทิ้งให้เธอยืนหน้าแดงอยู่กันชนะชนสองคนเหมือนเดิม “เอ่อ... คือ ดิฉันมารบกวนเวลาพักผ่อนของหัวหน้าหรือเปล่าคะ?” หญิงสาวถามชนะชนด้วยความเกรงใจ โดยไม่กล้าเงยหน้าสบตาเขาอีก “ไม่เลย ดีเสียอีก ผมจะได้มีเพื่อนคุย” ชายหนุ่มตอบยิ้มๆ โดยที่ยังไม่ยอมละสายตาไปจากเธอ จนมินตรารู้สึกตัวและเผลอเงยหน้าขึ้นสบตาเขา ก่อนจะต้องรีบก้มหน้างุดตามเดิมอย่างขัดเขิน ยิ่งทำให้ชนะชนยิ้มชอบใจ ...เธอไม่เคยเปลี่ยนไปเลยแม้แต่ในยามเขินอาย อดีตฟาโรห์หนุ่มหวนนึกไปถึงในอดีตชาติเมื่อครั้งที่มินตรายังเป็น ‘ มิรา ‘ ว่าที่พระชายาของเขา และถูกเซรีกลั่นแกล้งจนเป็นไข้นอนซม หนาวสั่นตลอดเวลาขนาดที่ผ้าห่มขนสัตว์สองผืนก็ยังไม่อาจช่วยคลายความหนาวให้เธอได้ “ข้าไม่อยู่เสียหลายราตรี เจ้าคิดถึงข้าจนไข้ขึ้นเชียวรึมิรา” เขาหยอกเธอ ขณะที่สอดตัวลงนอนใต้ผ้าห่มผืนเดียวกันและดึงตัวหญิงสาวมากอดไว้ เพื่อให้ไออุ่นจากร่างกายช่วยให้เธอคลายความหนาว นอกเหนือไปจากผ้าห่มขนสัตว์ 2 ผืนที่เขาให้ข้าราชบริพารจัดหามาให้เธอใหม่ “หม่อมฉัน... หาได้คิดเช่นนั้นไม่” เธอตอบเสียงเบาและตะกุกตะกัก แสงจากดวงจันทร์ที่สาดส่องเข้ามาทางหน้าต่างทำให้มองเห็นใบหน้าแดงเรื่อของเธอ กับเนื้อตัวที่สั่นเทาเพราะพิษไข้และความหวาดกลัวในตัวเขา ยิ่งทำให้เขาอดอมยิ้มไม่ได้ แน่ล่ะ! ในเมื่อเธอไม่เคยต้องมือชายมาก่อน แม้จะเป็นมือของเขาเองก็ตามที และหากเป็นในยามปกติ เธอก็คงแข็งขืนดันตัวเขาออกห่างแล้ว หาใช่ซบหน้าลงกับอกกว้างของเขาเพื่อเรียกหาไออุ่นเช่นนี้ไม่ มันทำให้เขาเกือบอดใจไม่ได้เสียจริงๆ “มิรา... เจ้าหลับแล้วรึ?” เขาก้มหน้าถามคนในอ้อมกอดอีกครั้ง หลังครุ่นคิดถึงเรื่องราวของเธออยู่สักพัก แต่ไม่มีเสียงตอบรับกลับมา หญิงสาวผล็อยหลับไปแล้วจริงๆ หลังจากทนทรมานกับพิษไข้โดยปราศจากผ้าห่มอยู่หลายคืน หาได้แกล้งนอนนิ่งเพื่อตบตาเขาไม่ และเขาเองก็ไม่อยากทำอะไรอันเป็นการปลุกให้เธอต้องตื่น จึงได้แต่จรดจมูกลงบนเรือนผมดำขลับและแก้มนวลของเธออย่างแผ่วเบาเท่านั้น “นึกว่าหายตัวไปไหน ที่แท้ก้มาอยู่กับหัวหน้านี่เอง” เสียงของเกสรีปลุกชนะชนให้ตื่นจากภวังค์แห่งอดีตชาติ หันไปมองรุ่นน้องสาวที่เดินทำหน้าล้อตรงเข้ามาหามินตรา “พูดแบบนี้ แถมยังทำหน้าแบบนี้ หมายความว่ายังไงเกด?” มินตราถามหน้าตูม ตรงข้ามกับชนะชนที่ยืนยิ้มขบขันกับท่าทางของสองสาว “เปล่านี่! เธอน่ะคิดมากไปเองต่างหาก ไม่เอาแล้ว! ฉันคุยกับหัวหน้าดีกว่า” เกสรีเมินเพื่อนสาว แล้วหันมาทางชนะชนแทน พร้อมกับลอบยิ้มกับตัวเองอย่างมีแผน “หัวหน้าคะ ทราบไหมคะว่าเมื่อคืนมินตรานอนแทบไม่หลับเลยค่ะ เอาแต่กระวนกระวายกลัวว่าหัวหน้าจะไม่สบายหนัก ก่อนนอนก็ถามความเห็นเกด ถามแล้วถามอีกว่าหัวหน้าจะเป็นไรไหมนะ จะนอนหลับหรือเปล่า อากาศยิ่งเย็นๆ อยู่ด้วย แถมยังต้องมานอนนอกห้องอีก พอปิดไฟนอนแล้ว ก็ยังนอนพลิกไปพลิกมาทั้งคืน ทำเอาเกดพลอยนอนไม่หลับไปด้วยเลยล่ะค่ะเนี่ย” “เกด!” มินตราเรียกเพื่อนเสียงสูงราวกับกระดิ่ง ใบหน้าที่แดงเรื่ออยู่แล้วเปลี่ยนเป็นสีแดงเข้ม และแน่นอนว่าวันนี้เธอคงไม่กล้าสบตากับหัวหน้าหนุ่มคนนี้ไปทั้งวันแน่ๆ “ขนาดนั้นเลยเหรอ?” ชนะชนถามมินตรายิ้มๆ โดยมีเกสรีช่วยทำหน้าล้อด้วยอีกคน “ก็... ดิฉันเป็นต้นเหตุให้หัวหน้าเป็นไข้นี่คะ” เธอตอบคำถามเขา แต่แอบก้มหน้าถลึงตาใส่เกสรีซึ่งเปลี่ยนไปยืนทำท่าไม่รู้ไม่ชี้แทนแล้ว ณ ขณะนี้ “อย่าคิดมากสิ ไม่ใช่เพราะใครทั้งนั้นแหละนะ คืนนี้ก็หลับให้สบายซะ ผมไม่ได้เป็นอะไรแล้ว” ชนะชนบอกมินตรา พยายามพูดให้เธอสบายใจ ทั้งๆ ที่ตัวเองเป็นกังวลอย่างหนัก เพราะรู้ดีแก่ใจว่าอุบัติเหตุในวันนั้นเกิดจากความตั้งใจของเซรีย และไม่ใช่แค่เพียงแกล้งขู่หรือหยอกเล่น แต่หมายมั่นจะทำให้ถึงแก่ชีวิตด้วย!! หมายกำหนดการสำหรับการเยี่ยมชมโบราณสถาน และสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญของประเทศอียิปต์ในวันสุดท้าย เริ่มต้นด้วยการเดินทางไปยังพิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติอียิปต์ ซึ่งมีการจัดแสดงโบราณวัตถุที่ได้ทำการขนย้ายไปจากพีระมิดของฟาโรห์แต่ละพระองค์ ทั้งหีบพระศพทองคำ มัมมี่อายุหลายพันปี พร้อมไหแกะสลักที่ใช้บรรจุอวัยวะภายใน และข้าวของเครื่องใช้ต่างๆ ในสมัยโบราณ รวมทั้งมีการแกะสลักสฟิงซ์ขนาดยักษ์ตั้งตระหง่านต้อนรับผู้มาเยือนด้วย นอกจากนี้ด้านนอกพิพิธภัณฑ์ยังมีต้นอินทผลัมที่ปลูกอยู่เรียงราย กับตู้หยอดเหรียญสำหรับบริการเปลี่ยนชื่อ – นามสกุลภาษาอังกฤษให้กลายเป็นอักษรเฮียโรกลิฟฟิค เรียกความสนใจจากคณะนักโบราณคดีประเทศต่างๆ ให้ไปมะรุมมะตุ้มเข้าคิวใช้บริการ “นี่ๆ ดูของฉันสิ ชื่อ – นามสกุลยาวเป็นหางว่าวเลย อ่านเป็นภาษาอียิปต์โบราณว่า เกสรี วรสินทร์ จริงๆ เหรอเนี่ย” สาวหมวยมองกระดาษปาปิรุส (กระดาษที่ทำจากต้นพาไพรัสที่ใช้ในสมัยอียิปต์โบราณ) ที่พิมพ์ชื่อ – นามสกุลตัวเองเป็นตัวอักษรเฮียโรกลิฟฟิค แล้วหันไปมองกระดาษปาปิรุสในมือมินตราบ้าง “ของมินก็ยาวเหมือนกันเนอะ มินตรา พินทุกูล” “เดี๋ยวเถอะ! นั่นมันนามสกุลหัวหน้าต่างหาก ถ้าฉันเปลี่ยนนามสกุลให้เกดเป็นนามสกุลรองหัวหน้าบ้าง อย่ามาว่ากันนะ” มินตราทั้งโกรธทั้งอาย และไม่ยอมพูดกับเกสรีอีกเลย จนอีกฝ่ายต้องเดินตามง้อ “ขอโทษนะมินนะ ยกโทษเกดเถอะ สัญญาว่าจะไม่ทำแบบนี้อีกแล้ว นะ นะ” เกสรีเดินตามขอโทษมินตราที่เดินหนีไปทางนั้นทีทางนี้ที จนสมาชิกคนอื่นๆ ในคณะเวียนหัว “อะไรกันจ๊ะสองคนนี้ เล่นอะไรเป็นเด็กไปได้ มีอะไรกันถึงต้องเดินไล่ตามกันวนไปวนมาแบบนี้” เจ๊แหม่มกึ่งถามกึ่งดุสองเจ้าหน้าที่สาวในความดูแล หลังจากยืนมองพฤติกรรมทั้งคู่อยู่สักพัก “คือ เกดไปแหย่มินแรงเกินไปหน่อยน่ะค่ะ มินเขาก็เลยโกรธ ไม่ยอมพูดกับเกดเลย” เกสรียิ้มเจื่อนๆ ตอบผู้บังคับบัญชา แล้วหันไปมองมินตราตาละห้อย “รู้ว่าเพื่อนไม่ชอบก็อย่าทำอีก ส่วนมินตราเห็นเพื่อนสำนึกผิดแล้วก็ให้อภัยเขาเสีย ใช้เหตุผล อย่าใช้แต่อารมณ์” เจ๊แหม่มตัดสินพร้อมกับอบรมไปด้วยในตัว “ค่ะ” สองสาวรับคำพร้อมกัน ...ดูเหมือนว่าทุกอย่างจะจบลงด้วยดีแล้ว แต่ชนะชนซึ่งเฝ้ามองเหตุการณ์ทั้งหมดอยู่เงียบๆ กลับเริ่มเป็นกังวล เขาไม่เคยเห็นมินตราโกรธใครมาก่อน ไม่ว่าจะเป็นในภพชาตินี้ หรือภพชาติที่เธอเป็นมิราก็ตามที ไม่มีสักครั้งที่หญิงสาวจะแสดงอาการโมโหออกมา นอกจากท่าทีแสนงอนแบบผู้หญิงที่เขามองว่าน่ารักเสียมากกว่า แต่นั่นก็น้อยเหลือเกิน ในเมื่อเธอเป็นคนที่เข้าใจในตัวตนของคนรอบข้างเสมอ และมักใส่ใจความรู้สึกของคนอื่นมากกว่าตัวเอง ชายหนุ่มไม่รู้ว่าเพื่อนสาวคนสนิทของเธอ ทำเรื่องอะไรให้มินตราโกรธถึงขนาดไม่พูดด้วย แต่เมื่อย้อนนึกถึงเรื่องราวของเขา การกระทำอันไร้ซึ่งเหตุผลของเขาในครั้งอดีตชาติ และเป็นสาเหตุส่วนหนึ่งที่ทำให้เธอต้องตายอย่างโดดเดี่ยว มีเพียงแม่นมของเขาที่อยู่ข้างๆ เธอในวาระสุดท้าย ในขณะที่เขาซึ่งเป็นสวามีของเธอกลับเดินทางมาไม่ทันลมหายใจสุดท้ายของเธอ แน่นอนว่าสิ่งเหล่านั้นย่อมร้ายแรงกว่าสิ่งที่เกสรีทำหลายเท่านัก และเธอคงไม่มีวันให้อภัยเขา ต่อให้เขาคุกเข่าขอโทษเธอหรือแม้แต่จะแลกด้วยชีวิตของเขาก็ตาม นั่นสินะ... ที่จริงเขาไม่ควรเพียรพยายามร้องขอต่อเบื้องบนให้ได้พบเธออีกครั้งด้วยซ้ำไป นี่เขา... ยังสู้อุตส่าห์มีหน้ามาพบเธออีกอย่างนั้นหรือ “เป็นอะไรน่ะชนม์ อาการแย่ลงเหรอ สีหน้านายไม่ดีเลยนะ?” เสียงของจตุรงค์ปลุกชนะชนให้ตื่นจากภวังค์ รวมทั้งทำให้ทุกคนหันมามองเขาด้วยความเป็นห่วงด้วย “ถ้าไม่ไหวก็ขึ้นไปพักบนรถบัสก่อน ไม่ต้องกลัวใครว่า ใครถามก็บอกให้มาเคลียร์กับหัวหน้าคณะนี่” ป๋าวิบูลย์บอกชนะชน “ที่จริงยังไม่หายดี ก็ไม่น่าจะลงมาตากแดดตากลมแบบนี้ เกิดไข้กลับ เป็นหนักกว่าเดิมขึ้นมาล่ะแย่เลยนะทีนี้” เจ๊แหม่มพูดเสริม โดยมีสายตาของสองสาวเจ้าหน้าที่รุ่นน้องจ้องมองมาด้วยความเป็นห่วง โดยเฉพาะมินตราที่มีสีหน้าไม่สู้ดีนัก “ผมไม่ได้เป็นอะไรจริงๆ ครับ ก็แค่คิดนู่นคิดนี่มากไปหน่อย” ชนะชนฝืนยิ้มบอกทุกคน โดยเลี่ยงที่จะสบตากับมินตรา ด้วยความละอายในทิฐิและความไร้เหตุผลของตัวเองในอดีตชาติ ...เขามันไม่มีคุณสมบัติจะครองบัลลังก์ฟาโรห์จริงๆ เพราะแม้แต่ชีวิตของนางอันเป็นที่รักก็ยังไม่อาจรักษาไว้ได้ “ไม่คิดมากไปหน่อยหรอก คิดเยอะเลยล่ะ นิสัยชอบเก็บเรื่องเก่าๆ มาคิดของนายน่ะ เพลาๆ ลงบ้างก็ดี เรื่องมันผ่านไปแล้ว เรากลับไปแก้ไขอะไรไม่ได้แล้ว สิ่งที่ทำได้คือทำวันนี้ให้ดีที่สุดเท่านั้นแหละ” จตุรงค์โพล่งขึ้นด้วยคำพูดเตือนสติ เป็นการเป็นงานเสียจนทุกคนหันมามองเขาด้วยความทึ่งแทน “นานๆ ทีจะได้เห็นจตุรงค์พูดอะไรแบบนี้นะเนี่ย ใช้ได้ๆ” ป๋าวิบูลย์หยอกชายหนุ่ม “หัดพูดบ่อยๆ สิ คนอื่นเขาจะได้มองว่าเราน่ะเป็นคนมีสาระ ไม่ใช่มัวแต่ทำอะไรก็ไม่รู้ จนคนเขาจำว่าเราเป็นแบบนั้นกันไปหมดแล้ว” เจ๊แหม่มอบรมจอมกะล่อนอีกคน “แหม! ชีวิตผมมันมีหลายสีนี่ครับผอ. ถึงเวลาที่ต้องมีสาระผมถึงจะมีสาระครับ ปล่อยให้คนอื่นเขามีสาระกันไปก่อน” จตุรงค์ตอบทะเล้นๆ ทำเอาทุกคนพากันส่ายหน้าขำๆ ไม่เว้นแม้แต่ชนะชน ...ติติก็เป็นแบบนี้มาแต่ไหนแต่ไร ดูเหมือนเป็นคนไร้สาระได้ทุกเวลา ใช้ชีวิตเฮฮาไปวันๆ คอยสร้างเสียงหัวเราะและสีสันให้ผู้คนรอบข้าง หากแต่ถึงคราวคับขัน เมื่อไหร่ที่เขาพลาดพลั้งหรือต้องการคำปรึกษา ติติก็สามารถเป็นที่พึ่งให้เขาได้เป็นอย่างดี ทั้งคอยแนะนำและให้กำลังใจเขาอยู่เสมอมา ครั้งนี้ก็เหมือนกัน คำพูดของติติหรือจตุรงค์ในภพชาตินี้ ได้เตือนสติให้เขารู้ว่าควรทำอะไรในเวลานี้ ไม่ใช่การท้อแท้ ถอดใจ หรือสิ้นหวังในความรู้สึกโกรธเกลียดของนางอันเป็นที่รัก แต่คือการปกป้อง คุ้มครอง และดูแลเธอตราบเท่าชีวิตจะหาไม่ ...เวลานี้ชนะชนรู้จุดมุ่งหมายในชีวิตของตัวเองจากคำพูดนั้นแล้ว และแล้วเวลารับประทานอาหารก็เวียนมาถึงอีกครั้ง สำหรับวันนี้ทางคณะนักโบราณคดีอียิปต์ได้จัดเป็นข้าวกล่องแจกจ่ายให้กับบรรดานักโบราณคดีจากทุกประเทศที่มาเยือน แน่นอน! แม่ครัวผู้จัดเตรียมข้าวกล่องทั้งหมดก็ไม่ใช่คนอื่นคนไกลที่ไหน “วันนี้ขออนุญาตแจกเป็นข้าวกล่องสำหรับทานบนรถนะคะ เนื่องจากคาดว่าจะต้องใช้เวลาในการเยี่ยมชมพีระมิดขั้นบันไดขององค์ฟาโรห์โจเซอร์นานกว่าพีระมิดแห่งอื่นๆ ขออภัยในความไม่สะดวกด้วยค่ะ” เซรีเดินยิ้มแย้มแจกอาหารมื้อเที่ยงซึ่งบรรจุอยู่ในกล่องพลาสติกสีขาวขนาดกลาง โดยพูดภาษาประจำชาติของนักโบราณคดีประเทศต่างๆ ไปด้วย กระทั่งหญิงสาวเดินมาจนถึงบริเวณด้านหลังสุด ซึ่งนักโบราณคดีจากประเทศไทยนั่งรวมกลุ่มกันอยู่ “แหม! ใช้กล่องพลาสติกแทนกล่องโฟมหรือคะ แล้วใครเป็นคนเก็บล้างคะเนี่ย?” เจ๊แหม่มถามเซรี “ดิฉันล้างเองค่ะ ยอมลำบากดีกว่าที่จะต้องทำให้โลกแย่ลงมากไปกว่านี้ค่ะ” เซรีตอบยิ้มๆ ด้วยคำตอบที่เรียกคะแนนจากเจ๊แหม่มได้อย่างท่วมท้น “โอ้ คุณน้องเป็นคนดีจริงๆ เลยค่ะ ถ้าทุกคนคิดได้อย่างคุณน้องก็ดีสิคะเนี่ย” “ไม่หรอกค่ะ มันเป็นหน้าที่ของเรานี่คะ เรื่องอะไรที่เราพอจะทำเพื่อโลกและเพื่อนร่วมโลกได้ ก็ควรจะทำให้เต็มที่ค่ะ” คำตอบของเซรีผ่านการคัดสรร ตรวจสอบ และประมวลผลจากสมองของเธอมาเป็นอย่างดีว่า ล้วนแล้วแต่ทำให้ผู้ฟังรู้สึกประทับใจในตัวเธอทั้งสิ้น ถึงอย่างนั้นมันก็ไม่ได้ผลกับชนะชนและเกสรี สองคนซึ่งพอจะล่วงรู้ตื้นลึกหนาบางในใจเธอพอสมควร โดยเฉพาะชนะชนที่รู้ดีว่าหญิงสาวทำทุกอย่างเพื่อรักษาภาพลักษณ์ของตัวเองให้ดูดีที่สุดในสายตาคนอื่น อันอาจจะส่งผลดีต่อไปในภายภาคหน้าด้วย “ขอตัวก่อนนะคะ แต่ถ้ามีอะไรให้เซรีรับใช้ก็เรียกได้เลยค่ะ” เธอทิ้งท้ายไว้ได้อย่างน่าประทับใจอีกเช่นเคย ก่อนจะหันหลังจากไปด้วยท่วงท่าดุจนางพญา จนทุกคนพากันมองตาค้าง ยกเว้นชนะชนที่อาศัยช่วงเวลานั้นสลับกล่องข้าวของตัวเองกับมินตรา ซึ่งวางอยู่บนถาดวางของที่ดึงลงมาจากด้านหลังพนักที่นั่งของคนข้างหน้า เพราะไม่แน่ใจว่าเซรีกับเซเรียสองสาวพี่น้องจะวางแผนใส่อะไรลงไปในกล่องข้าวของมินตราหรือไม่ “ทำอะไรน่ะชนม์?” เสียงตั้งคำถามของจตุรงค์ทำให้ชนะชนสะดุ้งเฮือก และพลอยให้สองสาวหันมามองชายหนุ่มด้วย “อ๋อ! พอดีเห็นกล่องข้าวมินตราจะหล่นลงมา ก็เลยเลื่อนเข้าไปให้น่ะ” ชนะชนปั้นสีหน้าเรียบเฉย ทั้งที่นั่นคือการโกหกคำโต... แต่ก็ช่างเถอะ! ถึงจะเคยครองบัลลังก์เจ้าแผ่นดิน แต่เขาก็ไม่มีคุณสมบัติเหมาะสมจะเป็นฟาโรห์มาแต่ไหนแต่ไรอยู่แล้ว และเวลานี้เขาก็เป็นเพียงผู้ชายคนหนึ่งที่จะยอมทำทุกวิถีทาง เพื่อปกป้องหญิงสาวอันเป็นที่รัก ต่อให้ต้องลำบากสักแค่ไหน เหน็ดเหนื่อยสักเพียงใด หรือต่อให้ต้องจบชีวิตลงจากการปกป้องคุ้มครองเธอ เขาก็จะขออุทิศจิตวิญญาณเพื่อสิ่งนั้น ไม่นานรถบัสก็นำคณะนักโบราณคดีจากทุกประเทศมาจนถึงเขตซัคคารา นครแห่งสุสานภายในเมืองเมมฟิส ซึ่งเป็นพื้นที่ทะเลทราย โดยที่ทางคณะนักโบราณคดีอียิปต์ได้จัดเตรียมอูฐไว้ให้นักโบราณคดีทุกคนได้ขี่จากสถานที่จอดรถไปยังบริเวณพีระมิดขั้นบันไดขององค์ฟาโรห์โจเซอร์ เพื่อให้ได้สัมผัสความเป็นอียิปต์อย่างแท้จริง ก่อนการเดินทางกลับในวันรุ่งขึ้น “ไม่ต้องกลัวนะคะ เจ้าของอูฐจะช่วยดูแลทุกท่านจนถึงที่หมายค่ะ” หนึ่งในเจ้าหน้าที่อียิปต์บอกกลุ่มนักโบราณคดีจากต่างประเทศ ซึ่งหลายคนมีท่าทีกล้าๆ กลัวๆ ที่จะขึ้นขี่อูฐ เนื่องจากไม่มีประสบการณ์มาก่อน “มิน! ทำไมเธอขึ้นเก่งจังล่ะ เธอเคยขี่อูฐมาก่อนเหรอ?” เกสรีร้องถามเพื่อนสาวคนสนิท ขณะที่ตัวเองยังพยายามขึ้นหลังอูฐด้วยท่าทางเก้ๆ กังๆ “ขึ้นไม่ยากหรอกเกด อย่าไปกลัวอูฐสิ มันไม่ใช่สัตว์ดุร้ายสักหน่อย” มินตราบอกเพื่อน “ฉันเองก็ไม่เคยขึ้นยังขึ้นได้เลย ไม่ต้องกลัว" “แหม! เธอมีทั้งเจ้าของอูฐ ทั้งหัวหน้าชนะชนคอยช่วยนี่นา” สาวหมวยโอดครวญเสียงสั่น จนใครคนหนึ่งที่รอคอยจะเป็นวีรบุรุษอยู่นานแล้ว รีบตรงรี่เข้ามาช่วยทันที “น้องเกดอยู่ท่านั้นก่อนนะจ๊ะ เดี๋ยวพี่จะไปช่วยเอง” จตุรงค์บอกรุ่นน้องสาว หลังจากนั้นก็รีบเข้าไปรับตัวเธอลงมา พร้อมกับอธิบายประกอบท่าทางจนหญิงสาวสามารถขึ้นไปบนหลังอูฐได้สำเร็จ ท่ามกลางความโล่งใจของทุกคนในคณะ ซึ่งต่างก็หวั่นเกรงว่าเกสรีจะพลัดตกจากหลังอูฐได้รับบาดเจ็บ ยกเว้นชนะชนที่ยังไม่วางใจ ชายหนุ่มไม่อาจคาดเดาได้ว่าเซเรียจะวางแผนทำอะไรอีกหรือไม่ แต่มั่นใจว่าอดีตน้องสาวของเขากำลังใช้เซรีพี่สาวคนกลางของเธอเป็นเครื่องมือเพื่อแผนการบางอย่างในอนาคต ด้วยเหตุนี้ชนะชนจึงตามประกบมินตราทุกฝีก้าว แม้ในยามที่อยู่บนหลังอูฐ โชคดีที่เขายังจำวิธีขี่และบังคับอูฐ รวมทั้งสัตว์พาหนะอย่างม้า และลาซึ่งเคยเรียนรู้มาตั้งแต่ตอนเป็นพระราชบุตรได้ ชายหนุ่มจึงไม่ต้องรอให้เจ้าของอูฐจูงอูฐของตน แต่บังคับให้มันเดินตามอูฐของมินตราไปติดๆ โดยมีเจ้าของอูฐเดินเร็วตามหลังแทน ทั้งความชำนาญและท่วงท่าอันสง่างามของชายหนุ่ม สร้างความประทับใจและประหลาดใจให้กับทุกคนที่ได้เห็น ถึงอย่างนั้นก็ยังด้อยกว่าความมหัศจรรย์ของพีระมิดและโบราณสถานโดยรอบ ...หินสีน้ำตาลส้มถูกขัดเกลาจนเรียบลื่น เรียงต่อกันขึ้นเป็นเสาขนาดใหญ่ตลอดทางเดินสู่พีระมิด ขณะที่พื้นทางเดินปูด้วยไม้อย่างบรรจง เช่นเดียวกับกำแพงหินที่สลักเสลาเป็นเรื่องราวต่างๆ ของยุคสมัยนั้นไว้อย่างวิจิตรพิสดาร ถึงแม้จะมีบางส่วนที่ผุพังลงตามกาลเวลา แต่ก็ยังบอกเล่าอะไรหลายๆ อย่างให้ชนรุ่นหลังได้รู้แล้วเข้าใจ ทั้งจารึกที่ต้องการสื่อความหมายโดยตรง และจารึกที่แฝงความหมายโดยนัยไว้ ท่ามกลางซากปรักหักพังของโบราณสถานเก่าแก่ที่หลงเหลือเพียงบางส่วน มีเพียงพีระมิดขั้นบันไดขององค์ฟาโรห์โจเซอร์ซึ่งยังคงตั้งตระหง่านเหมือนเช่นเมื่อหลายพันปีก่อน หินแต่ละก้อนที่เรียงต่อกันเป็นขั้นบันไดสำหรับองค์ฟาโรห์ทรงเสด็จสู่สวรรคาลัยและเสด็จกลับลงมา อาจสึกกร่อนไปบ้างตามกาลเวลา หากแต่กาลเวลาที่ผันผ่านก็ช่วยให้คนรุ่นหลังได้ค้นพบสิ่งสำคัญมากมายในโบราณสถานเหล่านั้น ไม่ว่าจะเป็นพีระมิดของพระมเหสี พระราชธิดา พระญาติวงศ์ และเหล่าขุนนางข้าราชบริพารซึ่งต่างยังคงหลับใหลอยู่ภายใต้ผืนทรายแห่งนี้ อย่างที่แทบไม่อาจนับจำนวนได้ ...สมกับที่ได้ชื่อว่าเป็นนครแห่งความตายและสุสานพีระมิด
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม