“ชนม์ๆ... ชนม์ เป็นอะไรหรือเปล่าชนม์!?... ชนม์ ฟื้นสิชนม์!”
เสียงร้องเรียกของจตุรงค์ปลุกให้ชนะชนค่อยๆ ลืมตาตื่น จากพร่าเลือนจนกระทั่งเห็นใบหน้าซีดๆ ของใครต่อใครที่รายล้อมอยู่รอบตัวเขา ก่อนจะต้องหรี่ตาลงอีกครั้ง เพราะแสงแดดยามเช้าที่สาดส่องเข้ามาทางหน้าต่าง
“นี่... เช้าแล้วหรือครับ?” ชายหนุ่มเอ่ยถาม พร้อมกับยันตัวเองให้ลุกขึ้นจากที่นอนปิกนิก แต่ก็กลับต้องล้มตัวลงไปอีก จากอาการหน้ามืดและพิษไข้ที่เล่นงานเขามาตั้งแต่เมื่อคืน
“อย่าพึ่งรีบลุกสิชนะชน เราน่ะตัวร้อนมากเลยนะ ท่าทางจะเป็นไข้เข้าแล้วล่ะเนี่ย” ป๋าวิบูลย์ซึ่งนั่งอยู่บนโซฟาตรงนั้นด้วยบอกชายหนุ่ม
“ใช่! วันนี้นอนพักเถอะนะจ๊ะ ไม่ต้องออกไปกับพวกเราหรอกนะ” เจ๊แหม่มพูดเสริม สีหน้าเป็นกังวลกับอาการป่วยของเจ้าหน้าที่ในความดูแล เพราะหากเกิดขึ้นในยามที่อยู่ประเทศอันเป็นบ้านเกิดเมืองนอนก็ไม่เท่าไหร่ แต่นี่...
“ไม่ครับ! ผมจะไป... ที่พีระมิดเมืองกิซาห์... พร้อมกับ... ทุกคน” ชนะชนยืนยัน พร้อมกับกัดฟันลุกขึ้นนั่งโดยมีจตุรงค์และมินตราช่วยประคอง
“ไม่ไหวก็อย่าฝืนเลยน่าชนม์ เดี๋ยวก็ยิ่งแย่หนักกว่าเดิมหรอก” จตุรงค์นิ่วหน้าเครียดกับความดื้อรั้นของเพื่อนสนิท
“ฉันไหว! ถึงยังไง... ฉันก็ต้องไป”
“แต่หัวหน้าคะ ถ้าเกิดไปแล้วอาการของหัวหน้า... แย่ลง...” มินตราช่วยพูด พยายามเกลี้ยกล่อมให้ชนะชนเปลี่ยนใจ แต่ความคิดในสมองที่ว่าอาการไข้ของเขา เกิดจากพิษของบาดแผลที่เขาได้รับจากการช่วยชีวิตเธอ ก็ทำให้ต่อมน้ำตาของหญิงสาวทำงานจนไม่สามารถพูดอะไรต่อไปได้
“นิ่งซะมินตรา อย่าโทษตัวเอง พักหลังผมพักผ่อนน้อยเอง ก็เลยเจ็บป่วยง่าย เพราะร่างกายทรุดโทรมก็แค่นั้น” ชนะชนแตะไหล่มินตราเป็นเชิงปลอบ ทั้งที่ใจจริงอยากจะดึงตัวเธอมากอดไว้แนบอก
“เอาล่ะๆ ถ้าไม่ไหวจริงๆ ก็นอนพักในรถนะชนะชน ส่วนอาหารเช้าก็ให้เขาใส่กล่องไปกินบนรถก็แล้วกัน” ป๋าวิบูลย์สรุป ถึงอย่างนั้นก็ยังอดแสดงความเป็นห่วงออกมาทางสีหน้าและแววตาไม่ได้
“ครับ ผมจะไม่ให้เป็นภาระทุกคนเด็ดขาดครับ” ชนะชนรับคำ แล้วลุกขึ้นเดินไปเข้าห้องน้ำ เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการไปเยี่ยมชมพีระมิดชื่อดังทั้งสามแห่งเมืองกิซาห์ในวันนี้ โดยที่ชายหนุ่มพยายามอดทนเดินด้วยท่าทางปกติตลอดเวลา ไม่ให้มินตราและทุกคนในคณะต้องเป็นห่วง
...ไม่มีใครรู้ว่าทำไมชายหนุ่มต้องฝืนร่างกายตัวเองแบบนี้ นอกจากชนะชนที่สำนึกได้ว่าตนควรจะต้องไปขอขมาบรรพบุรุษ ทั้งองค์ฟาโรห์คูฟู องค์ฟาโรห์เคเฟร และองค์ฟาโรห์เมนเคอเร ผู้เป็นเจ้าของพีระมิดทั้งสาม ถึงแม้ว่าทั้งสามพระองค์อาจไม่ยอมรับการขอขมานั้น และแม้จะทำให้ร่างกายของเขาย่ำแย่ไปกว่านี้ก็ตามที แต่นั่นก็คือสิ่งที่เขาทำได้ในตอนนี้ สำหรับสภาพของสามัญชนธรรมดาคนหนึ่ง
“ไหวแน่นะชนม์?” จตุรงค์ถามย้ำกับเพื่อนด้วยความเป็นห่วง ระหว่างที่ทุกคนในคณะเดินออกจากบ้านพักเอกอัครราชทูต เพื่อมาขึ้นรถบัสคันเดิมที่มาจอดรับ
“ไหวสิ! ไม่ต้องเป็นห่วงหรอกน่า” ชนะชนยิ้มตอบเพื่อน แม้สีหน้าจะยังอิดโรยจากพิษไข้ แต่ก็ดูจะเป็นรอยยิ้มที่สดใสว่าเมื่อวานมาก จนใครคนหนึ่งเกิดความสงสัย
“ท่าทางหัวหน้าชนะชนจะอยากไปเห็นพีระมิดที่เมืองกิซาห์มากนะ มินว่าไหม ขนาดเป็นไข้ก็ยังรั้นจะไปให้ได้ แถมยังทำหน้าดีใจอย่างกับจะได้ไปงานรวมญาติอย่างนั้นแหละ” เกสรีหันไปซุบซิบกับเพื่อนสาวคนสนิท
“ก็รองหัวหน้าจตุรงค์บอกว่า หัวหน้าชอบประเทศอียิปต์มากไม่ใช่เหรอ คงจะชอบทุกอย่างที่เป็นอียิปต์ล่ะมั้ง เลยดีใจมากที่ได้ไป” มินตราตอบพลางชำเลืองมองชนะชน ด้วยความเป็นห่วงอาการไข้ของเขา
“ไหนว่าเคยมาแล้วไงล่ะ ก็แสดงว่าต้องเคยไปเห็นมาแล้วสิ ตามหลักแล้วคนเราต้องรักตัวเองมากที่สุดสิ ทำไมยังรั้นจะไป ทั้งที่รู้ว่ามันอาจจะทำให้ตัวเองแย่หนักกว่าเก่า ถ้าไม่เคยไปก็ยังว่าไปอย่าง” สาวหมวยแย้ง
“หัวหน้าอาจจะอยากไปมากๆ แล้วก็คาดหวังว่าจะต้องได้ไปตั้งแต่ตอนอยู่ที่ไทย การที่เราหวังอะไรไว้แล้วทำไม่ได้ หรือเกิดเหตุการณ์ที่ทำให้ไม่เป็นอย่างที่หวัง มันทำให้ทุกข์ใจมากนะ ภาษาจิตวิทยาเรียกว่า ความคับข้องใจ และเพื่อไม่ให้เกิดสิ่งนี้ มนุษย์ก็จะพยายามทำทุกวิถีทางเพื่อให้สิ่งที่คาดหวังบรรลุผล กรณีหัวหน้าก็คงเหมือนกัน” มินตรายกทฤษฎีขึ้นมาอ้าง จนเกสรีถึงกับย่นหน้าให้ความเป็นเจ้าหลักการของเพื่อน
“พูดอะไร ไม่เห็นเข้าใจ ไปเอามาจากไหนน่ะ พูดจาอย่างกับพวกจิตแพทย์”
“ในหนังสือเรียนวิชาจิตวิทยาไง เรียนมาด้วยกันแท้ๆ ลืมแล้วเหรอ?”
สองสาวเดินคุยกันจนกระทั่งมาหยุดยืนอยู่ข้างหลังชนะชน พลอยเขาได้รับรู้เรื่องราวของบทสนทนาไปด้วย นั่นเองที่ทำให้รอยยิ้มของชายหนุ่มจางลง เมื่อนึกถึงอดีตชาติของมินตรา
...เธอไม่เคยเปลี่ยนไปเลย ไม่ว่ากาลเวลาจะหมุนเวียนเปลี่ยนไปกี่ภพชาติ ทั้งความเอื้ออารี ความเสียสละ ความอ่อนโยน และการเข้าใจในความรู้สึกของคนรอบข้าง ทุกสิ่งทุกอย่างยังคงเหมือนเช่นมิราคนเดิมไม่ผิดเพี้ยน แต่สิ่งเหล่านั้นก็เป็นเสมือนดาบสองคม ที่ทำให้เธอตกเป็นเหยื่อสังเวยความริษยาของคนเพียงไม่กี่คน
แน่นอน! ส่วนหนึ่งเป็นเพราะทิฐิและความโง่เขลาของเขาด้วย ที่ทำให้เขาต้องสูญเสียเธอไปตลอดกาล มันเป็นความผิดของเขาเอง และเขาต้องรับผิดชอบทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้น
“มิรา... ข้าขอโทษ... ได้โปรดเถิด... มิรา... อย่าทิ้งข้าไว้คนเดียว... ลืมตาสิมิรา... เจ้าจักต้องไม่ตาย... ข้าขอโทษ... ขอโทษ...”
เขายังจำได้ดีถึงตอนที่กอดศพนางร้องไห้อย่างไม่อายข้าราชบริพาร ภาพมิราที่นอนหลับตาแน่นิ่ง คราบน้ำตายังปรากฏที่แก้มทั้งสองข้าง เช่นเดียวกับคราบเลือดแห้งกรังบริเวณริมฝีปากสีเขียวคล้ำ ต่อให้เขาร้องไห้จนน้ำตาเป็นสายเลือด นางก็ไม่มีวันฟื้นคืนมา ด้วยเพราะกว่าที่เขาจะรู้เรื่องจากแม่นมผู้ที่เขาฝากฝังให้ช่วยดูแลมิรา และกว่าที่เขาจะไปถึงตัวนางอันเป็นที่รัก ก็สายเกินกว่าจะแก้ไขใดๆ ได้แล้ว ไม่ว่าจะเป็นใบหน้าอันไร้เลือดฝาด ร่างกายอันเย็นเฉียบ หรือแม้แต่เล็บมือที่เริ่มเขียวจากพิษที่แทรกซึมเข้าสู่กระแสเลือด ทั้งหมดล้วนบอกได้เป็นอย่างดีว่า เขาไม่มีวันจะได้นางคืนมาอีกแล้ว
“เอ้า! รถมาแล้วนะจ๊ะ นั่งเกาะกลุ่มกันไว้เหมือนเดิมล่ะ มีอะไรจะได้คุยกันสะดวกๆ”
เสียงพูดของเจ๊แหม่มปลุกชนะชนให้ตื่นจากภวังค์ กลับสู่ปัจจุบันที่ซึ่งมิราได้กลับชาติมาเกิดเป็นมินตรา และยังคงยืนอยู่ใกล้ๆ เขาตรงนี้
“หัวหน้าอย่าฝืนตัวเองนะคะ” มินตราอดย้ำกับชนะชนด้วยความเป็นห่วงเขาไม่ได้
“ผมไม่เป็นไรจริงๆ อย่าคิดมากเลย” ชนะชนยิ้มให้มินตราด้วยความรู้สึกขอบคุณ เขาดีใจที่เธอเป็นห่วงเขา ถึงแม้มันจะเป็นความห่วงใยที่ตั้งอยู่บนพื้นฐานของความรู้สึกผิดก็ตามที
“ถ้าอาการแย่ลง บอกดิฉันนะคะ ดิฉันจะอยู่บนรถเป็นเพื่อนหัวหน้าเอง”
“ครับ ถ้ารู้สึกไม่ค่อยดีแล้วผมจะบอกนะ ขอบคุณมากครับ”
แม้ชนะชนจะรับปากและยืนยันว่าเขาไม่ได้เป็นอะไร แต่มินตราก็ยังอดเป็นกังวลไม่ได้ เธอยังคงปักใจเชื่อว่าอาการไข้ของเขามาจากพิษของบาดแผลที่เขาได้รับเมื่อวันก่อน และสาเหตุของมันก็มาจากความไม่ระมัดระวังของเธอ เธอต้องรับผิดชอบดูแลอาการบาดเจ็บและอาการไข้ของเขา จนกว่าเขาจะหายเป็นปกติ มินตราบอกตัวเอง ครุ่นคิดวนเวียนอยู่เพียงเรื่องเรื่องเดียว จึงไม่ได้สังเกตเห็นว่าใครคนหนึ่งกำลังจ้องมองมาที่เธอด้วยแววตาริษยา ตรงข้ามกับชนะชนที่สัมผัสได้ถึงแรงแค้นที่แผ่ซ่านออกมา
“เซรี!!” เขาหันขวับไปมองเจ้าของสายตามุ่งร้าย และชะงักไปทันทีที่เห็นว่าเธอเป็นใคร ขณะที่เซรีเองก็รีบปรับสีหน้าให้เป็นปกติเช่นกัน
“อ้าว! คุณเจ้าของร้านก็ไปด้วยกันหรือคะ?” เจ๊แหม่มยิ้มแย้มทักทายเซรี หลังจากที่ก้าวขึ้นมาบนรถบัส แล้วพบเธอนั่งอยู่ที่เบาะด้านหน้าสุด
“ค่ะ เซเรียน้องสาวดิฉันขอร้องให้มาช่วยดูแลเรื่องอาหารน่ะค่ะ เห็นว่าเที่ยงนี้จะมีการย่างบาร์บีคิวทานกัน” เซรียิ้มแย้มตอบเป็นภาษาไทย แต่ยังมิวายเหลือบตามองมินตราที่เดินตามหลังชนะชนขึ้นมาบนรถ ด้วยท่าทางที่ไม่ค่อยพอใจนัก
“เซเรียอีกแล้วเหรอ...” ชนะชนพึมพำหน้าเครียด เขาไม่รู้ว่าเธอต้องการจะทำอะไรอีกนอกเหนือจากการปั่นหัวเขาเล่น แต่ไม่ว่ามันจะเป็นเรื่องแบบไหน เขาก็พร้อมจะรับมืออยู่แล้ว ต่อให้สภาพร่างกายเป็นเช่นไรก็ตาม
...ถึงยังไงเขาก็ต้องปกป้องมิราให้ได้ แม้ว่าหลายภพหลายชาติที่ผ่านไปอาจจะทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างเปลี่ยน เธออาจจะไม่ได้เกิดมาเพื่อเขาอีกต่อไป สุดท้ายแล้วเขาอาจจะต้องฝืนทนมองดูเธอเดินหันหลังจากไปพร้อมกับผู้ชายคนอื่น แต่เขาก็จะขอใช้ชีวิตทั้งหมดที่มีเพื่อเธอ นับจากนี้จนกว่าจะถึงเวลาที่ต้องไร้ซึ่งลมหายใจอีกครั้ง
รถบัสนำคณะนักโบราณคดีจากต่างประเทศ เดินทางจากกรุงไคโรไปยังเมืองกิซาห์ซึ่งอยู่ไม่ห่างจากกันมากนัก และเพราะมีการตัดถนนถึงบริเวณพีระมิดชื่อดังทั้งสาม คนทั้งหมดจึงไม่ต้องเปลี่ยนรถเหมือนเช่นการเดินทางไปยังพีระมิดของฟาโรห์ซาร์ในทะเลทรายขาว
“ไหวแน่นะชนม์?” จตุรงค์หันมาถามย้ำกับเพื่อน ระหว่างที่เดินตามหลังสองผู้อาวุโสของคณะ เพื่อทยอยลงจากรถบัส
“ไหวสิ ฉันจะหลอกนายทำไมกันเล่า” ชนะชนยิ้มขำเพื่อน ถึงอย่างนั้นก็เป็นรอยยิ้มที่แฝงคำขอบคุณไว้
“สงสัยหัวหน้าคงดีใจจนหายไข้แน่ๆ เลย มินว่าไหม?” เกสรีมองท่าทางปิติของชนะชน แล้วหันไปกระซิบกระซาบกับมินตราอีก
“ถ้าเป็นแบบนั้นก็ดีน่ะสิ” มินตราลอบมองชนะชนด้วยความเป็นห่วง เพราะเท่าที่เห็นอาการไข้ของเขานั้นดูจะหนักมาก ซ้ำยังมีอาการเพ้อเป็นระยะๆ ระหว่างที่เขายังไม่ได้สติ
...ขอโทษ อย่าไป... กลับมาเถิด... ได้โปรด... แม้ชีวิต... ก็ยอมแลก... ได้โปรด... กลับมา...
เธอยังจำได้ดีถึงคำพูดที่เขาละเมออกมา แม้จะขาดๆ หายๆ ไม่ปะติดปะต่อไปบ้าง แต่ก็พอจับความรู้สึกเจ็บปวดจากน้ำเสียงนั้นได้ มันคงเป็นเรื่องคอขาดบาดตายที่ฝังลึกอยู่ในหัวใจของเขา อย่างยากที่จะลืมเลือนเป็นแน่ มินตราเดินครุ่นคิดเรื่องของชนะชน จนไมได้สังเกตว่ากลุ่มคนข้างหน้าหยุดเดินแล้ว
“อุ๊ย!”
ร่างบางเซไปนิดหนึ่งเมื่อชนเข้ากับแผ่นหลังของชนะชน โชคดีที่เขาหันมาคว้าตัวเธอไว้ได้ทัน ก่อนที่หญิงสาวจะเสียหลักล้ม แต่นั่นเองที่ทำให้เธอเซเข้าไปอยู่ในอ้อมแขนของเขา จนบรรดานักโบราณคดีที่เห็นเหตุการณ์พากันชะงักไป
“เอ่อ... ขอโทษค่ะหัวหน้า” มินตรารีบดันตัวเองออกจากอกของเขา แล้วยกมือไหว้พลางก้มหน้างุด
“ไม่เป็นไร มันเป็นอุบัติเหตุ อย่าคิดมาก” ชนะชนยิ้มให้เธออย่างเอ็นดู ยิ่งทำให้มินตราหน้าแดงด้วยความอาย ตรงข้ามกับใครอีกคนที่นึกริษยาจนเก็บอาการไม่อยู่
“ทางเดินแถวนี้ไม่ค่อยเรียบ ต้องระวังนะคะ” เซรีเข้ามาจับแขนมินตราคล้ายเป็นห่วงเป็นใย แต่กลับจงใจจิกเล็บยาวๆ ของตนลงไปบนเนื้อของอีกฝ่าย
“ขอบคุณนะคะ ฉัน... ไม่เป็นไรค่ะ” มินตราฝืนยิ้มให้เซรี พร้อมกับพยายามขยับตัวออกห่าง แต่นอกจากอีกฝ่ายจะไม่ยอมปล่อยแขนเธอแล้ว ยังกดน้ำหนักเล็บลงไปอีกจนหญิงสาวเบ้หน้าด้วยความเจ็บ
...แน่นอนว่าทุกอย่างอยู่ในสายตาชนะชนที่คอยจับผิดอยู่ก่อนแล้ว!
“ผมว่าคุณกับเกสรีไปเดินข้างหน้าผมดีกว่านะ ผมกับจตุรงค์จะคอยระวังให้เอง” ชนะชนดึงมือมินตรารั้งเข้าหาตัว ขณะที่จ้องมองเซรีนัยน์ตาดุ จนอีกฝ่ายจำต้องยอมปล่อยแขนมินตราอย่างเสียไม่ได้
...แน่นอนว่าทุกอย่างอยู่ในสายตาเซรีที่ยืนมองอยู่แล้วเช่นกัน!
“ขอให้ปฏิบัติเช่นเดิมในการเยี่ยมชมพีระมิด คือ เข้าไปครั้งละคณะ และจะมีคณะนักโบราณคดีชาวอียิปต์คอยอำนวยความสะดวกให้อยู่ภายในพีระมิดทั้งสาม โดยให้เข้าไปตามคิวที่ทางเราได้จัดไว้แล้วดังนี้...” เซเรียอ่านลำดับรายชื่อประเทศ และแกล้งสลับชื่อให้ประเทศไทยเป็นประเทศที่อยู่ในลำดับสุดท้าย สร้างความประหลาดใจให้กับนักโบราณคดีจากประเทศอื่นเป็นอย่างมาก
“อะไรกัน! ทีจะใช้งานล่ะให้พวกเราเข้าไปคณะแรก พอหมดเรื่องใช้ล่ะเตะโด่งไปท้ายแถว” เกสรีโมโหหัวฟัดหัวเหวี่ยง โดยลืมไปเสียสนิทว่าเซรีซึ่งฟังภาษาไทยรู้เรื่องยืนอยู่ตรงนั้นด้วย
“ต้องขอโทษจริงๆ นะคะ เดี๋ยวดิฉันจะไปเคลียร์กับน้องสาวให้นะคะ” เซรีพูดขึ้นหวังเอาใจชนะชน และทำท่าจะเดินออกไป ถ้าไม่ติดที่เสียงร้องห้ามของหัวหน้าคณะนักโบราณคดีไทยอย่างป๋าวิบูลย์
“ไม่ต้องหรอกครับ ขอบคุณมาก เข้าไปตอนไหนก็เหมือนกันนั่นแหละครับ ไม่เป็นไร”
“ใช่ค่ะ เด็กเราต่างหากที่ขี้โวยวายไปหน่อย” เจ๊แหม่มชำเลืองมองเกสรีเป็นเชิงปรามให้เงียบ ทำเอาสาวหมวยยืนจ๋อย ขณะที่ชนะชนได้แต่แอบยืนหน้าเครียดอยู่คนเดียว เพราะรู้ว่าเซเรียจงใจที่จะกลั่นแกล้งเขา
...เธอรู้อยู่แก่ใจว่าเขามาที่นี่ เพื่อจะขอขมาฟาโรห์ทั้งสามพระองค์ และเพราะเหตุนั้นเธอจึงพยายามทำทุกวิถีทางให้เขาต้องทุกข์ทรมานกับการรอคอยที่จะได้ทำในสิ่งที่ตั้งใจไว้ ต่อให้ต้องมีคนเดือดร้อนหรือเสียความรู้สึกกับการกระทำของเธอมากแค่ไหน นั่นไม่ใช่เรื่องที่เธอจะต้องแคร์ ขอเพียงแค่ได้ทำในสิ่งที่เธอต้องการเท่านั้นเป็นพอ เซเรียเป็นคนแบบนั้นมาแต่ไหนแต่ไร ชนะชนรู้ดีและได้แต่นึกเจ็บแค้นอยู่ในใจ
“ไปนั่งรออยู่ในรถก่อนดีไหม แดดมันแรงมากนะชนม์” จตุรงค์บอกเพื่อนด้วยความเป็นห่วง เช่นเดียวกับสมาชิกคนอื่นๆ ในคณะที่หันมามองเขาด้วยสายตาเป็นกังวลระคนห่วงใย
“ไม่เป็นไร ฉันไหว” ชนะชนปฏิเสธ ทั้งที่อาการไข้ของเขาดูเหมือนจะทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ
...เม็ดเหงื่อมากมายผุดขึ้นเต็มหน้าผาก เช่นเดียวกับแผ่นหลังที่ชุ่มไปด้วยเหงื่อ ตรงข้ามกับความรู้สึกหนาวยะเยือกของเจ้าของร่างกายที่ทำให้ชายหนุ่มต้องยืนห่อไหล่ แม้ว่าจะสวมเสื้อถึงสามชั้นแล้วก็ตาม ถึงอย่างนั้นชนะชนก็ยังอดทน
ชายหนุ่มยืนมองพีระมิดทั้งสามตรงหน้า ซึ่งตั้งตระหง่านมาตั้งแต่สมัยที่เขายังเป็นองค์ฟาโรห์แห่งลุ่มน้ำไนล์ ก้อนหินแต่ละก้อนที่เรียงต่อกันขึ้นเป็นพีระมิด มาจากน้ำพักน้ำแรงของบรรดาชาวบ้านผู้ศรัทธาในพระเจ้าแผ่นดิน พระองค์ทรงเป็นทั้งพ่อหลวง และเหนือหัวผู้ปกครองทุกสิ่ง ทรงเป็นทุกอย่างของพวกเขา แม้ชีวิตพวกเขาก็ยอมแลก เพื่อก่อสร้างโบราณสถานที่ซึ่งจะนำดวงพระวิญญาณขององค์ฟาโรห์เสด็จขึ้นสู่สรวงสวรรค์ รวมทั้งเป็นบันไดให้ทรงเสด็จกลับลงมาเป็นพระเจ้าแผ่นดินของพวกเขาอีกครั้ง ในวันหนึ่งวันใดข้างหน้า
“เชิญคณะนักโบราณคดีจากประเทศไทยค่ะ...”
เสียงประกาศผ่านโทรโข่งของเซเรียปลุกชนะชนให้ตื่นจากภวังค์ คราวนี้เธอไม่ได้อยู่ในทีมของคณะนักโบราณคดีชาวอียิปต์ ซึ่งคอยเป็นไกด์ให้กับคณะนักโบราณคดีจากประเทศอื่น แต่ทำหน้าที่ประกาศเรียกคณะนักโบราณคดีจากประเทศต่างๆ ตามลำดับ เพื่อไม่ให้ใครรู้ว่าเธอแกล้งสลับลำดับของคณะนักโบราณคดีจากประเทศไทยไปไว้ในลำดับสุดท้าย แทนลำดับที่ได้จากการสุ่มเลือกโดยใช้คอมพิวเตอร์ แม้จะต้องทนร้อนจากแสงแดดที่แทบจะเผาผิวกายให้ไหม้เกรียม แต่เธอก็พอใจที่ได้ทำให้ชนะชนต้องทุกข์ทรมาน ในเมื่อไฟแค้นของเธอมันร้อนยิ่งกว่าแสงแรงกล้าจากดวงอาทิตย์เป็นไหนๆ
“ค่อยๆ เดินนะคะหัวหน้า” มินตราเข้าไปช่วยจตุรงค์ประคองชนะชนที่เริ่มมีอาการทรุดลงจากพิษไข้ แต่ยังคงรั้นที่จะเข้าไปภายในพีระมิดทั้งสามแห่งให้ได้ และระหว่างที่ทั้งหมดเดินผ่านหน้าเซเรียซึ่งยืนยิ้มอยู่บริเวณทางเข้าพีระมิดฟาโรห์คูฟู....
“ถึงกับต้องให้มเหสีสุดรักประคองเชียวหรือคะ... ท่านพี่” เธอพูดภาษาอียิปต์โบราณกับชนะชนพลางยิ้มเยาะเขา ยิ่งทำให้ชายหนุ่มรู้สึกเจ็บแค้นกับสิ่งที่เซเรียเคยทำไว้กับเขาและมิรา ในขณะที่คนอื่นๆ คิดว่าเซเรียพูดภาษาอาหรับจึงไม่ได้ให้ความสนใจ ยกเว้นจตุรงค์ซึ่งเข้าใจภาษาอาหรับดี และรู้ว่านั่นไม่ใช่ภาษาอาหรับ นั่นเองที่ทำให้จอมกะล่อนคอยลอบสังเกตท่าทางแปลกๆ ของชนะชนกับเซเรียอยู่คนเดียวเงียบๆ
“ต้องขอโทษแทนเจ้าหน้าที่ของเราด้วยนะคะ เรื่องที่ทำกิริยาไม่เหมาะสม” ตัวแทนคณะนักโบราณคดีอาวุโสชาวอียิปต์ ซึ่งทำหน้าที่ไกด์อยู่ภายในพีระมิด ก้มหัวขอโทษป๋าวิบูลย์ เจ๊แหม่ม และพวกชนะชน ทันทีที่ทั้งหมดเดินเข้าไปจนถึงส่วนในสุดของพีระมิด
“ไม่เป็นไรครับ แต่ถึงยังไงก็ควรตักเตือนเธอบ้างนะครับ แบบนี้จะอยู่ในสังคมยาก” ป๋าวิบูลย์เป็นตัวแทนตอบด้วยท่าทีขรึมๆ หากแต่แฝงความไม่พอใจไว้ให้อีกฝ่ายสัมผัสได้
“เซเรียเป็นคนมีความสามารถเรื่องโบราณคดีอียิปต์มาก ปกติเธอจะไม่ค่อยสุงสิงกับใคร ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมถึงได้แสดงกิริยาแบบนั้นกับพวกคุณ ต้องขอโทษจริงๆ นะคะ ทางเราจะดำเนินการลงโทษเธอตามสมควรค่ะ”
“แค่ตักเตือนเธอก็คงพอมั้งครับ เดี๋ยวเธอไม่พอใจพวกเรา แล้วอาจจะทำให้มีปัญหามากกว่านี้” ชนะชนแย้งขึ้นทันที ไม่ใช่แค่เพื่อป้องกันไม่ให้ทุกคนต้องเดือดร้อน แต่เพราะรู้ถึงแรงอาฆาตแค้นของเธอดีว่ามีมากเพียงใด ต่อให้เธอเป็นคนผิด เธอก็จะตามราวีคนที่ตั้งตัวเป็นปรปักษ์กับเธอไม่เลิก จนกว่า... จะตายจากกันไปข้างหนึ่ง
แน่นอน! ความแค้นข้ามภพข้ามชาติย่อมรุนแรงกว่านั้นหลายเท่านัก และเขาจะขอรับมันไว้เพียงคนเดียวทั้งหมด
“เอ่อ... ห้องนี้ใช่ไหมครับสถานที่ตั้งพระศพ ดูๆ ก็คล้ายกับพีระมิดที่ทะเลทรายขาวนะครับ เพียงแต่ที่นี่ใหญ่โตโอ่โถงกว่ามากเลย” จตุรงค์พูดทำลายความเงียบขึ้น หลังจากที่ทุกคนต่างพากันเงียบไปกับเรื่องของเซเรีย
“ใช่ค่ะ แต่ในส่วนของพระศพและโบราณวัตถุอื่นๆ ทางเราได้ทำการขนย้ายไปที่พิพิธภัณฑ์แล้ว เพื่อความปลอดภัยและความสะดวกในการดูแลรักษา” ตัวแทนคณะนักโบราณคดีอียิปต์คนเดิมตอบยิ้มๆ
“แต่ดวงพระวิญญาณยังคงสถิตอยู่ ณ ที่แห่งนี้” ชนะชนพูดขึ้นต่อท้าย พร้อมกับเดินไปคุกเข่าลงตรงกลางห้อง บริเวณที่เคยเป็นที่ประดิษฐานโลงพระศพ แล้วโน้มตัวลงจนหน้าผากแตะพื้น แขนทั้งสองวางราบคล้ายท่ากราบ เป็นการขอขมาต่อองค์ฟาโรห์ตามอย่างชาวอียิปต์โบราณ แต่นั่นกลับทำให้ทุกคนในที่นั้นคิดว่า ชนะชนเกิดอาการเพ้อจากพิษไข้
“กลับไปนอนพักที่รถดีกว่าน่าชนม์ นายน่ะอาการเพียบหนักแล้วนะ” จตุรงค์เข้าไปประคองชนะชนให้ลุกขึ้น โดยมีมินตราเข้าไปช่วยด้วยอีกคน และแม้อาการไข้จะทรุดลงกว่าเดิมมาก จากการต้องทนอยู่ในสภาพอับทึบ เกือบจะไร้ซึ่งอากาศภายในส่วนในสุดของพีระมิด แต่ชนะชนก็ยังปฏิเสธเสียงแข็ง
“ฉัน... ไม่เป็นไร เป็นตายร้ายดียังไง ฉันก็ต้อง... ไปกราบ... แทบพระบาท... องค์ฟาโรห์ทั้งสามพระองค์... ให้... ไ... ด้...”
เสียงของชนะชนขาดหายไปพร้อมกับการล้มลงของเขา โชคดีที่จตุรงค์กับมินตราช่วยกันประคองร่างไร้สติของชนะชนได้ทัน ก่อนที่ชายหนุ่มจะได้รับบาดเจ็บเพิ่ม ถึงอย่างนั้นก็ทำให้ทุกคนพากันตกใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะคำพูดของชนะชน ซึ่งทำให้ใครหลายคนเริ่มกังวลว่า อาจจะเกิดจากอาถรรพณ์คำสาปฟาโรห์และพีระมิด
ทั้งที่... เป็นเพียงคำพูดจากสำนึกในใจของอดีตฟาโรห์ไร้พระนามแห่งลุ่มน้ำไนล์เท่านั้น