“เฮ้อ! อยากมีคนคอยดูแล เทคแคร์แบบนี้บ้างจังเลย” จตุรงค์พูดขึ้นเสียงดัง ระหว่างนั่งมองมินตราล้างแผลให้ชนะชนอยู่ที่โซฟาภายในห้องโถงของบ้านพักเอกอัครราชทูตไทย หลังกลับจากการเยี่ยมชมและศึกษาดูงานพีระมิดแห่งใหม่บริเวณทะเลทรายขาวแล้ว
“อยากเป็นแบบนี้บ้างงั้นเหรอ เดี๋ยวฉันช่วยก็ได้ ขั้นแรกต้องทำให้เป็นแผลเสียก่อนนะ เอาแผลฉกรรจ์เลยดีไหม หรือเอาแบบแผลเล็กแผลน้อยทั่วตัวดี?” ชนะชนถามเพื่อน หน้ายิ้มแต่แกล้งแฝงแววอำมหิตไว้ บ่งบอกว่าหากอีกฝ่ายตอบรับก็พร้อมจะช่วยเหลือเต็มกำลังแบบไม่มีการยั้งมือ
“เอ่อ... ไม่ต้องถึงขนาดนั้นก็ได้ แบบว่าแค่อยากมีคนดูแลเฉยๆ ไม่ได้อยากเป็นแผลนะครับ” จอมกะล่อนรีบปฏิเสธ สีหน้าไม่สู้ดี เพราะรู้ว่าเพื่อนเป็นคนพูดจริงทำจริง และหากเขาตอบตกลงไปล่ะก็ อาจถึงขั้นนอนหยอดน้ำข้าวต้มที่โรงพยาบาลได้
“อย่างนั้นหรือครับ ยังไงก็ไม่ต้องเกรงใจนะครับ ถ้าอยากเป็นแผลเมื่อไหร่ก็บอกได้” ชนะชนย้ำคำเดิมให้จตุรงค์เสียวสันหลังเล่น แต่ดูเหมือนจะเป็นการทำให้มินตราขบขันมากกว่า
“หัวหน้ากับรองหน้าเป็นเพื่อนที่สนิทกันดีนะคะ” หญิงสาวพูดพลางหัวเราะพลาง แน่นอนว่ารอยยิ้มของเธอทำเอาชนะชนชะงักไปเหมือนทุกครั้ง หากแต่ครั้งนี้อาจแตกต่างไปบ้างตรงที่มันทำให้เขานึกถึงเรื่องราวในอดีตชาติ เมื่อครั้งได้พบกับเธอ
...เป็นช่วงเวลาก่อนที่เขาจะได้ครองบัลลังก์ฟาโรห์เสียอีก
“เจ้าชาย! ทรงรอกระหม่อมด้วย ดำเนินเร็วเยี่ยงนี้ กระหม่อมจักตามพระองค์ทันได้เยี่ยงไร” จตุรงค์เมื่อครั้งยังเป็น ‘ติติ‘ ผู้ติดตามและพระสหายคนสนิทของเจ้าชายซาร์ วิ่งกระหืดกระหอบตามคนเป็นเจ้าชาย ซึ่งทรงดำเนินห่างออกไปทุกที
“เจ้าก็ฝึกก้าวเท้าให้ยาวสิติติ นอกจากเจ้าจักไม่ต้องวิ่งแล้ว ยังจักตามข้าทันด้วย” ชนะชนเมื่อครั้งยังเป็น ‘เจ้าชายซาร์‘ หันไปตรัสตอบคำพูดของติติ พร้อมกับทรงพระสรวล ขบขันในท่าทางหน้ามืดตาลายคล้ายจะเป็นลม กับท่าวิ่งตุปัดตุเป๋ของอีกฝ่าย และทรงดำเนินไปรอพระสหายของพระองค์อยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ แต่แล้ว...
ฟุ่บบบ !
เชือกบ่วงที่เจ้าชายซาร์บังเอิญเหยียบเข้า กระตุกรัดข้อพระบาท พร้อมกับดึงร่างของพระองค์ขึ้นไปห้อยอยู่บนกิ่งไม้ ท่ามกลางเสียงหัวเราะชอบใจของเจ้าของเชือกบ่วง ซึ่งเป็นเด็กชายวัย 10 ปี สามคน
“ฮ่าๆ ๆ มีคนติดกับดักพวกข้าแล้ว มีคนติดกับดักแล้ว”
สามเด็กชายกระโดดโลดเต้นดีใจ นั่นเองที่ทำให้เจ้าชายซาร์ที่กำลังจะชักมีดพกออกมาตัดเชือก ยั้งพระหัตถ์ไว้แค่นั้น ขณะที่ติติซึ่งเห็นเหตุการณ์เต็มสองตา ก็รีบเร่งฝีเท้าวิ่งเข้ามาช่วยเจ้าชายของเขาด้วยความตกใจ
“นี่! ทำอันใดของพวกเจ้า รีบปล่อยพระองค์บัดเดี๋ยวนี้เลยนะ หากไม่อยากต้องพระอาญา” เขาเต้นแร้งเต้นกาโวยวายใส่เด็กทั้งสาม
“หา!! พระ... พระ... อาญา”
ทั้งสามมองหน้ากันเลิกลั่กด้วยความตกใจ ก่อนจะรีบปล่อยมือจากเชือกที่ช่วยกันออกแรงดึงเพื่อรั้งร่างของร่างเจ้าชายซาร์ขึ้นไปห้อยบนกิ่งไม้ เป็นเหตุให้พระองค์ตกลงมากระแทกพื้นดิน
“ฮ้ายยย!! นี่พวกเจ้าทำอันใดลงไปรู้รึไม่ เกิดพระพาหา (แขน) หัก พระปฤษฎางค์ (หลัง) หัก พระศอ (คอ) หัก ขึ้นมาจะทำเยี่ยงไร” ติติเต้นแร้งเต้นกาโวยวายหนักกว่าเก่า ก่อนจะรีบเข้าไปช่วยเจ้าชายของตน เด็กทั้งสามจึงใช้โอกาสนั้นวิ่งหนีไปได้
“ไปพูดเยี่ยงนั้น ชาวบ้านก็จักกลัวข้ากันหมด บอกแล้วมิใช่รึว่าอย่าให้ใครรู้” เจ้าชายซาร์ทรงส่ายพระพักตร์เอือมระอาพระสหาย
...วันนี้ก็เป็นเหมือนเช่นหลายๆ วันในรอบปีที่เจ้าชายซาร์ทรงเสด็จประพาสนอกวังพร้อมติติ เพื่อดูแลความสงบเรียบร้อย ความเป็นอยู่ และสุขทุกข์ของราษฎรแทนองค์ฟาโรห์ โดยปลอมพระองค์เป็นนักเดินทาง ฉลองพระองค์ในชุดเสื้อคลุมกับผ้าโสร่งลักษณะคล้ายกางเกงสีขาวสะอาดแบบเรียบง่ายไร้ลวดลายใดๆ เหมือนกันกับติติ และสะพายย่ามสีขาวซึ่งภายในบรรจุเหรียญทองไว้แจกจ่ายแก่ผู้ทุกข์ยากด้วย
“ท่านทั้งสองเป็นอันใดมากรึไม่?” ใครคนหนึ่งร้องถาม ระหว่างที่เดินแกมวิ่งเข้ามาหาเจ้าชายและพระสหาย แสงแดดยามใกล้เที่ยงที่เจิดจ้าและแยงตา ทำให้ทั้งคู่มองเห็นเจ้าของคำถามไม่ถนัดตานัก กระทั่งคนคนนั้นเข้ามาคุกเข่าลงตรงใต้ต้นไม้ “เจ็บที่ใดอันใดบ้างรึไม่ ข้าจักไปพาหมอยามาให้”
ทันทีที่เจ้าชายซาร์ทรงทอดพระเนตรเห็นใบหน้าของหญิงสาวตรงหน้า พระองค์ก็ทรงชะงักไปด้วยพระอาการตกตะลึง เนิ่นนานจนติติต้องเป็นฝ่ายตอบคำถามของหญิงสาวแทน
“เจ้าชาย เอ้ย! สหายของข้ามิเป็นอันใดมากดอก เพียงช้ำแลเคล็ดยอกเล็กน้อย หากได้พักสักชั่วเวลาหนึ่งก็คงคลายความเจ็บปวด”
“ถ้าเช่นนั้นเชิญแวะพักในหมู่บ้านเถิด พวกท่านเดินทางผ่านมาคงจักเหนื่อย ข้าจักหาน้ำหายาให้ท่านเอง เพียงขอความเมตตาจากท่าน อย่าได้ถือโทษขึ้งโกรธเด็กน้อยเลย เห็นพ่อแม่ปู่ย่าใช้บ่วงดัก เด็กน้อยก็ซุกซนอยากเล่นตามประสา”
“ข้าหาได้ถือโทษไม่ อย่าได้ร้อนใจไปเลย”
คราวนี้เจ้าชายซาร์ทรงเป็นฝ่ายตรัสตอบด้วยพระองค์เอง ก่อนจะพยุงพระวรกายขึ้นโดยมีติติเข้าช่วยประคอง นับว่ายังเป็นโชคดีที่พระองค์ทรงเคยได้รับการฝึกฝนศิลปะการต่อสู้และป้องกันตัวมา ทำให้ไม่ทรงได้รับบาดเจ็บมากนัก ถึงอย่างนั้นก็ยังอยู่ในขั้นที่ต้องทรงใช้ความอดทนข่มความเจ็บปวดที่เกิดขึ้นเกือบจะทั่วทั้งพระวรกาย
“หมอไม่อยู่รึนี่ ข้าจักไปนำยาสมุนไพรที่บ้านมาให้ พวกท่านนั่งพักประเดี๋ยว ข้าจักรีบมา” หญิงสาวพาสองนักเดินทางแปลกหน้ามาที่บ้านของหมอยาประจำหมู่บ้านซึ่งเป็นกระท่อมหลังเล็ก อบอวลไปด้วยกลิ่นสมุนไพรชนิดต่างๆ ที่ฟุ้งออกมา และเมื่อพบว่าเจ้าของบ้านไม่อยู่ ก็จัดให้คนทั้งคู่นั่งพักอยู่ใต้ร่มไม้ใหญ่หน้ากระท่อม ขณะที่ตัวเองรีบอุ้มย่ามใส่ผลไม้ที่พึ่งไปเก็บมาก่อนหน้านี้ วิ่งกลับไปที่บ้านซึ่งอยู่ไม่ห่างกันเท่าใดนัก
“ทรงถูกศรรักปักกลางอกแล้ว หากแต่จะทรงแผลงศรรักไปปักอกนางเยี่ยงไรเล่า ตรัสถามกระหม่อมได้นะ” ติติยิ้มล้อเจ้าชาย
“ถามเจ้า ข้าก็ได้แต่กลซ่อนแอบนางข้าหลวง ข้าเองก็มีอุบายของข้า หากไม่เป็นผลแล้วจึงจักพึ่งเจ้า” เจ้าชายซาร์ตรัสตอบ พลางกวาดพระเนตรไปรอบๆ มองหาหญิงสาวผู้แผลงศรรักปักอกพระองค์
...นางผู้มีดวงตากลมโตแลประกายตาดังจันทรายามเต็มดวง แลมีรอยยิ้มดังเช่นอาทิตย์ยามอัสดง เป็นนางเดียวในหฤทัยนับแต่บัดนี้
“เฮ้! อ้ายหนู”
เสียงของติติเรียกให้เจ้าชายซาร์หันพระพักตร์ไปมองเด็กชายสามคนหลังพุ่มไม้ฝั่งตรงข้าม ซึ่งเป็นกลุ่มเดียวกับเด็กชายที่เล่นซนจนทำให้พระองค์ได้รับบาดเจ็บ
“พวกเจ้าที่บังอาจทำทูลกระหม่อมของข้าเจ็บใช่รึไม่ เกิดเป็นชาย ทำอันใดผิดก็จักต้องรับผิด” ติติแกล้งทำเสียงเข้ม ใบหน้าถมึงทึง ทำเอาทูลกระหม่อมของเขาทรงลอบแย้มพระโอษฐ์ขบขัน ตรงข้ามกับเด็กชายทั้งสามที่รีบออกมาจากด้านหลังพุ่มไม้ ตรงเข้ามาคุกเข่าขอขมาเจ้าชายซาร์
“พวกข้าน้อยผิดไปแล้ว ขอพระองค์ทรงพระเจริญ” หนึ่งในเด็กสามคนละล่ำละลักผิดๆ ถูกๆ พลอยให้เพื่อนอีก 2 คนพูดตามผิดๆ ถูกๆ ไปด้วย “ขอพระองค์ทรงพระเจริญๆ” ทั้งสามพูดประโยคที่เคยได้ยินมาจากพ่อแม่ โดยไม่รู้ว่าความหมายของมันเป็นคนละเรื่องกับที่ควรพูด
“สัญญาว่าจักไม่ทำเยี่ยงนี้กับใครอีกได้รึไม่?” เจ้าชายซาร์ทรงเอื้อมพระหัตถ์ไปลูบผมเกรียนๆ ของเด็กทั้งสามทีละคนๆ คล้ายจะปลอบประโลมให้ทั้งหมดคลายความหวาดกลัว
“พวกข้าสัญญา ขอพระองค์ทรงพระเจริญๆ” สามเด็กชายละล่ำละลักตอบพร้อมกัน ระหว่างที่ค่อยๆ เงยหน้าขึ้นมองพระองค์อย่างหวาดๆ
“ดีมาก เช่นนั้นก็กลับบ้านเสีย พ่อแม่จักเป็นห่วง”
“ช้าก่อนพระองค์ กระหม่อมมีเรื่องจักถามเด็กน้อยเหล่านี้... ด้วยเรื่องแม่นางในหมู่บ้านของพวกเจ้า” ติติกราบทูลแย้ง แล้วหันไปทางเด็กทั้งสามอีกครั้ง ก่อนจะซักถามถึงหญิงสาวผู้มีน้ำใจเอื้อเฟื้อแก่คนแปลกหน้า และเด็กน้อยซึ่งไม่ใช่เครือญาติ
“บ้านพี่สาวอยู่เยื้องกับบ้านข้า พี่สาวอยู่กับแม่แค่ 2 คน แต่เอาขนมแลผลไม้มาให้บ้านข้าอยู่เนืองๆ”
“แต่ย่าข้าบอกว่า ไม่ให้สุงสิงกับคนบ้านนั้น เพราะอันใดข้าไม่กล้าถาม”
“ข้ารู้ พ่อข้าเคยบอกว่า พ่อแม่พี่สาวถูกขับออกจากหมู่บ้านอื่นก่อนจะย้ายมา ณ ที่นี้ เพราะพ่อพี่สาวเป็นคนนอกหมู่บ้าน เป็นคนเร่ร่อนจากเมืองเล็กไร้อารยะทางตะวันออกพู้น พ่อข้าก็ไม่ให้สุงสิงกับบ้านพี่สาว แต่แม่ข้าไม่เชื่อ แม่ข้าบอกว่าพี่สาวกับแม่เป็นคนดีแลน่าสงสาร สิ้นบุญพ่อพี่สาวไปแล้ว พวกเราจักต้องช่วยจุนเจือ”
คำตอบของเด็กทั้งสามทำให้เจ้าชายซาร์ทรงชะงักไป ด้วยความรู้สึกสงสารหญิงสาวจับใจ เป็นเวลาเดียวกับที่ผู้ถูกพาดพิงถึงในชุดกระโปรงยาว กับผ้าคลุมไหล่สีขาวหม่นชุดเดิม อุ้มย่ามใบย่อมวิ่งกระหืดกระหอบมาแต่ไกล มองดูคล้ายเทพธิดาที่ตกมาจากสรวงสวรรค์
“หากไม่มีอันใดจักถามข้าแล้ว ข้าขอลา ขอพระองค์ทรงพระเจริญ” เด็กชายจากครอบครัวซึ่งไม่ชอบหญิงสาวกราบทูลเจ้าชาย แล้วรีบลุกขึ้นวิ่งหนีไป พลอยให้เพื่อนอีก 2 คนลุกหนีตามไปด้วย เมื่อหญิงสาวเข้ามานั่งลงตรงใต้ต้นไม้จึงไม่เห็นเด็กทั้งสาม รวมทั้งไม่ทันสังเกตเห็นดวงตาของเจ้าชายที่จ้องมองมา ซึ่งฉายแววรักใคร่ระคนสงสารด้วย
“ยาห่อนี้ใช้กิน ห่อนี้ใช้ทา แก้ปวดเคล็ดขัดยอกชะงักนัก แลนี่ผลอินทผลัมเชื่อม แม่ข้าฝากให้พวกท่านเก็บไว้กินยามเดินทางต่อ” หญิงสาวอธิบายถึงห่อผ้าต่างๆ ในย่ามสีมอ แล้วอุ้มมันส่งให้ติติ “ไม่หนักดอก คงไม่เพิ่มภาระให้ท่านมากนัก”
“ข้าแลสหายขอบใจเจ้ายิ่งนัก” ติติรับย่ามนั้นมา พลางชำเลืองมองเจ้าชายซาร์ซึ่งทรงกำลังเปิดย่ามที่วางอยู่ข้างๆ พระวรกาย “พวกข้า... เอ่อ... ไม่รู้จักตอบแทนเจ้าเยี่ยงไรดี”
“หาควรต้องตอบแทนข้าไม่ ข้าต่างหากเล่าต้องตอบแทนพวกท่านที่เมตตาไม่ถือโทษเด็กน้อย ยามนี้ข้าตามหาเด็กน้อยไม่พบ แต่ยามหน้า หากพวกท่านได้ผ่านมา ข้าสัญญาว่าจักพาตัวเด็กน้อยมาขอขมาท่าน”
“ข้าจักมาอีกแน่ แต่หาได้มาเพื่อการนั้น” เจ้าชายซาร์ทรงตรัสตอบ พระสุรเสียงหนักแน่น พร้อมกับส่งถุงเหรียญทองถุงหนึ่งให้หญิงสาว “ขอเจ้าจงรับของตอบแทนเล็กน้อยนี้เถิด”
“หาควรต้องตอบแทนข้าไม่ ท่านเก็บไว้เถิด” หญิงสาวส่ายหน้าย้ำคำเดิม และทำท่าจะลุกหนี
“ข้าเต็มใจจักให้เจ้า”
พระหัตถ์ของเจ้าชายฉวยข้อมือของหญิงสาวไว้ แต่ด้วยเพราะไม่เคยต้องมือชาย หญิงสาวจึงสะบัดออกและวิ่งหนีไปด้วยความตกใจ ทิ้งไว้เพียงย่ามใส่ของกับความทรงจำที่เจ้าชายไม่อาจที่จะลืมเลือนไปจากพระหฤทัยได้เลย
...ทรงระลึกถึงหมู่บ้านเล็กซึ่งน้อยคนนักจะได้เหยียบย่างเข้าไป และทรงระลึกถึงนางผู้เป็นหนึ่งในพระหฤทัยอย่างที่ไม่เคยมีนางใดเสมอเหมือน นางผู้เป็นเจ้าของดวงหน้างามที่ต่างไปจากหญิงสาวชาวอียิปต์ทั่วไป และเป็นเจ้าของดวงตากลมโต ปากนิดจมูกหน่อย กับเรือนผมดำขลับ รวมทั้งร่างบางที่สูงเพียงไหล่กว้างของพระองค์ ต่อให้ยากลำบากสักเพียงไหน ก็จะต้องคว้าตัวนางมาไว้ในอ้อมกอดให้ได้ เจ้าชายซาร์ตั้งพระหฤทัยมั่นตลอดระยะเวลาที่ทรงเสด็จกลับวังหลวง
แต่แล้ว... กลับเหมือนสายฟ้าผ่าลงตรงกลางพระหฤทัย!!
“องค์ฟาโรห์เชปซีสกาฟทรงมีพระบรมราชโองการให้เข้าเฝ้า” ขุนนางอาวุโสคนหนึ่งเข้ามายืนกราบทูลเจ้าชายซาร์ด้วยใบหน้าบึ้งตึง ทันทีที่พระองค์เสด็จกลับถึงวังหลวง และกำลังจะเปลี่ยนฉลองพระองค์อยู่ภายในห้องบรรทม
“เจ้าชายก็ทรงมีเลือดขัตติยะ เหตุใดจักเข้ามากราบทูลพระบรมราชโองการ แล้วจึงไม่เคาะประตู แลไม่คุกเข่าลง เหตุใดจึงยืนเสมอพระองค์ หรือท่านเองก็มีเลือดขัตติยะเช่นพระองค์ด้วย” ติติซึ่งเดินตามเข้ามาได้ยินพอดี เอ่ยถามขุนนางอาวุโสด้วยความไม่พอใจ ขณะที่อีกฝ่ายก็แสดงท่าทีไม่พอใจในคำพูดของเขาเช่นกัน
“ช่างเถิดติติ” เจ้าชายซาร์ตรัสบอกพระสหาย แล้วจึงหันไปทางขุนนางอาวุโสแห่งวังหลวง “กราบบังคมทูลพระองค์ท่านด้วยว่าข้าจักรีบตามไป”
“ขอรับกระหม่อม” อีกฝ่ายถวายบังคมแล้วเดินออกจากห้องไปอย่างเร็ว ราวกับอยากจะรีบออกไปเสียเต็มประดา ยิ่งสร้างความไม่พอใจให้ติติเป็นอย่างมาก
“เจ้าชายต้องทรงทำอันใดบ้าง หาใช่ปล่อยให้คนพวกนั้นทำตามอำเภอใจเยี่ยงนี้”
“ช่างเถิดติติ ข้าเองก็เป็นเพียงบุตรพระชายา จักเป็นที่ยำเกรงเช่นโอรสแห่งพระมเหสีของหาควรไม่ เราจักต้องพอใจในที่ของเรา นั่นคือสิ่งที่ควรจักต้องทำต่างหาก” เจ้าชายซาร์ตรัสตอบพระสหาย พระพักตร์เรียบเฉยราวกับไร้ซึ่งความรู้สึก ตรงข้ามกับในพระหฤทัยที่เศร้าหมองและโดดเดี่ยว
...หากไม่นับพระราชบิดา – พระมารดาผู้ล่วงลับ และบรรดาพระราชวงศ์ด้วยกันแล้ว พระองค์ก็มีเพียงติติเท่านั้นที่ให้ความสำคัญและมองเห็นความมีตัวตนของพระองค์ เป็นทั้งเพื่อนกิตติมศักดิ์ผู้เกิดวัน – เดือน – ปีเดียวกัน และเป็นทั้งเพื่อนแท้คนเดียวของพระองค์ เช่นนี้ตั้งแต่พระองค์ทรงจำความได้
“ขอเดชะแลขอพระราชทานอภัยโทษ ด้วยกระหม่อมได้ทำให้ฝ่าบาทแลข้าราชบริพารต้องรอคอย” เจ้าชายซาร์ดำเนินเข้ามาภายในโถงกลาง อันเป็นท้องพระโรงของพระราชวัง และคุกเข่าลงข้างหนึ่งพร้อมกับก้มหัวถวายความเคารพ แด่องค์ฟาโรห์เชปซีสกาฟซึ่งทรงประทับอยู่บนบัลลังก์ทองคำเบื้องหน้า
“ลุกขึ้นเถิดท่านพี่ หาควรต้องทำเยี่ยงนี้ไม่” เด็กชายวัย 12 ผู้ครองบัลลังก์ฟาโรห์ลุกขึ้นจากที่ประทับ แล้วเสด็จลงจากบัลลังก์อาสน์ พลอยให้พระราชวงศ์พระองค์อื่น และบรรดาขุนนางข้าราชบริพารในที่นั้นต้องลุกขึ้นยืนอย่างพร้อมเพรียง
“ฝ่าบาททรงมีสิ่งใดให้กระหม่อมรับใช้ ขอเพียงมีพระบรมราชโองการ กระหม่อมยินดีจักรับใช้เบื้องพระยุคลบาท”
“ท่านพี่... ข้าเพียงมีสิ่งหนึ่งอยากขอร้องท่าน ณ ที่แห่งนี้เราคือเครือญาติกัน แลข้าคือผู้อ่อนวัยกว่า การที่ท่านจักต้องเคารพแลก้มหัวให้ข้านั้น หาใช่เรื่องอันควรกระทำไม่ ทุกคนในที่นี้ก็คงคิดเช่นเดียวกับข้า”
พระราชดำรัสขององค์ฟาโรห์ทำให้ทุกคนในที่นั้นพากันชะงัก ยกเว้นเจ้าชายซาร์ซึ่งยังคงคุกเข่าก้มหัวให้กับพระองค์ กระทั่งรู้สึกได้ว่ามีบางอย่างครอบลงบนพระเศียร
“ฝ่าบาท!!”
ไม่เพียงแต่เจ้าชายซาร์เท่านั้นที่ทรงตกพระทัย ทั้งพระราชวงศ์พระองค์อื่นๆ รวมทั้งขุนนาง ข้าราชบริพารทุกคนในที่นั้นก็ต่างพากันตกตะลึง เมื่อเห็นว่าองค์ฟาโรห์เชปซีสกาฟได้ทรงถอดพระมหาพิชัยมงกุฎของพระองค์ออกมาสวมให้เจ้าชายซาร์แทน
“ข้ายังเด็กนัก หาควรไม่ที่จักเป็นผู้อยู่เหนือบัลลังก็ที่พวกท่านจักต้องก้มหัวให้ แลข้าเห็นควรว่าท่านพี่คือผู้ที่เหมาะสมแก่ราชบัลลังก์ มีทั้งวัยอันควร ลักษณะอันควร ชาติกำเนิดอันควร มีธรรมประจำใจอันควรแก่การเป็นผู้ปกครอง แลมีคู่พระบารมีถือกำเนิดมาเป็นพระขนิษฐภคินีเฉกเช่นเดียวกับข้า...” องค์ฟาโรห์เชปซีสกาฟทรงมีพระราชดำรัสกับพระเชษฐาต่างพระมารดา หากแต่พระสุรเสียงก้องกังวานไปทั่งท้องพระโรง คล้ายมีพระราชประสงค์ให้ได้ยินกันทั่วถึง
...แน่นอนว่าเรื่องนี้ย่อมมีผู้คัดค้าน โดยเฉพาะบรรดาขุนนางซึ่งไม่ชอบใจในตัวเจ้าชายซาร์เป็นทุนเดิม
“ฝ่าบาท... พระองค์ควรจักทรงมีพระราชดำริไตร่ตรองให้ถ่องแท้ ก่อนจักทรงมีพระราชดำรัสอันใดนะพ่ะย่ะค่ะ”
“ใช่แล้วฝ่าบาท เป็นกษัตริย์ตรัสแล้วหาควรคืนคำไม่นะพ่ะย่ะค่ะ ทรงควรดำริดูให้ดีก่อน”
“องค์ฟาโรห์เมนเคอเรก็ทรงมีพระราชประสงค์จักให้พระองค์ครองราชบัลลังก์ แล้วเหตุใดพระองค์จึงกลับยกบัลลังก์ให้ผู้อื่นเสีย”
สามขุนนางอาวุโสแห่งวังหลวงกราบทูลทัดทาน อย่างไร้ซึ่งความยำเกรงเจ้าชายซาร์ สร้างความไม่พอใจให้แก่พระราชวงศ์ฝ่ายพระมารดาของพระองค์เป็นอย่างมาก แต่ไม่ทันที่ใครจะได้พูดอะไร...
“ในเมื่อท่านทั้งสามเห็นควรให้ข้าเป็นฟาโรห์ของพวกท่าน พวกท่านก็ควรเคารพในการตัดสินใจของข้า แลควรให้ความเคารพองค์ฟาโรห์ที่ข้าได้แต่งตั้งด้วย” องค์ฟาโรห์เชปซีสกาฟทรงหันพระพักตร์ไปจ้องหน้าสามขุนนาง จนทั้งหมดจำต้องเงียบไป เพราะถึงแม้จะเป็นเพียงเด็กชายตัวเล็ก แต่ก็ทรงมีพระพักตร์และท่วงท่าอันงามสง่า น่าเกรงขามดุจพญาราชสีห์ “นับจากเพลานี้ องค์ฟาโรห์ซาร์จักครองบัลลังก์ลุ่มน้ำไนล์แห่งนี้ หากผู้ใดคิดต่อต้าน พระองค์มีสิทธิ์จักตัดสินชีวิตมันผู้นั้น แลแม้พระองค์จักคืนหรือหาได้คืนราชบัลลังก์แก่ข้าในยามที่ข้าเติบใหญ่ไม่ นั่นก็เป็นสิทธิ์ของพระองค์”
ประกาศิตขององค์ฟาโรห์เชปซีสกาฟ กับการที่พระองค์ทรงประคอง ‘ท่านพี่‘ ของพระองค์ให้ลุกขึ้น ก่อนจะเป็นฝ่ายคุกเข่าลงถวายความเคารพแทน ทำให้ทั่วทั้งท้องพระโรงถูกปกคลุมไปด้วยความเงียบ และแม้ทุกคนจะรีบถวายความเคารพแด่ฟาโรห์พระองค์ใหม่แห่งลุ่มน้ำไนล์ตามอย่าง แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าพวกเขาเหล่านั้นยินดี และยอมรับในการแต่งตั้งครั้งนี้กันถ้วนหน้า แม้แต่ฟาโรห์พระองค์ใหม่เองก็ตามที
...มันเป็นเรื่องกะทันหันเกินไปสำหรับพระองค์ และพระองค์ก็ไม่เคยต้องการครองราชบัลลังก์นี้ โดยเฉพาะกับการที่ต้องแลกกับชีวิตซึ่งไร้อิสระในการที่จะเลือกรักใครสักคนที่ไม่ใช่พี่น้องคลานตามกันมา จริงอยู่ที่พระองค์พึ่งจะรู้จักความรักเมื่อครั้งที่ได้พบนางอันเป็นดวงใจผู้นั้น หากแต่พระองค์ก็ไม่เคยคิดว่าจะต้องเลือกน้องสาวของตัวเองเป็นคู่บารมี ตามจารีตที่ยึดถือกันมาแต่ครั้งบรรพกาลว่า พระมเหสีผู้ทรงเป็นเนื้อคู่ขององค์ฟาโรห์ผู้ครองบัลลังก์นั้น จักมาประสูติเป็นพระเชษฐภคินีหรือพระขนิษฐภคินีของพระองค์เท่านั้น
“เรียบร้อยแล้วค่ะหัวหน้า”
เสียงพูดของมินตราปลุกชนะชนให้ตื่นจากภวังค์แห่งอดีตชาติ กลับสู่ปัจจุบันภายในบ้านพักเอกอัครราชทูตไทยประจำกรุงไคโร ประเทศอียิปต์
“ขอบคุณมากนะ” เขายิ้มให้มินตรา และแน่นอนว่าเป็นรอยยิ้มที่หมองเศร้ายิ่งกว่าครั้งใดๆ จนมินตราอดที่จะเอ่ยถามด้วยความเป็นห่วงไม่ได้
“หัวหน้าไม่สบายหรือเปล่าคะ สีหน้าไม่ดีเลย?”
“นั่นสิ เห็นทำหน้าเหมือนแบกโลกไว้เองทั้งใบมาตั้งแต่เมื่อกี๊แล้ว” จตุรงค์นิ่วหน้ามองเพื่อนด้วยความเป็นห่วงเช่นกัน
“ไม่มีอะไรหรอก ผม... สบายดี” ชนะชนฝืนยิ้มให้คนทั้งคู่ นึกรู้ว่านี่คืออีกหนึ่งบทลงโทษจากเบื้องบน
...อาจจะเป็นการดีที่เขาได้คำตอบของปริศนาในความฝันทั้งหมดแล้ว แต่การที่ต้องทนอยู่กับความทรงจำทั้งในอดีตชาติและปัจจุบันชาติเช่นนี้ มันคือสิ่งที่ทำให้หัวใจของเขาต้องทุกข์ทรมานมากกว่า
แม้จะยินดีที่ได้พบกับนางผู้เป็นดวงใจอีกครั้ง แม้อาจจะมีโอกาสได้แก้ตัวในเรื่องราวที่เคยทำผิดพลาดไปอีกครั้ง แต่มันก็เป็นแค่การรับรู้ของเขาเพียงฝ่ายเดียว ในขณะที่เธอไม่ได้รับรู้อะไรด้วยเลย ไม่ว่าจะเป็นความรัก ความห่วงใย ความผูกพัน หรือการสำนึกในความผิดของเขา ในเมื่อมีเพียงเขาเท่านั้นที่ระลึกชาติได้
เปล่าเลย ! เขาไม่ได้ต้องการให้มินตราระลึกชาติได้เช่นเขา ตรงข้าม... เธอไม่ควรจะรับรู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองกำลังถูกจ้องเล่นงานจากแรงอาฆาตเก่า และเขาจะทำทุกวิถีทางเพื่อไม่ให้ประวัติศาสตร์หวนกลับมาซ้ำรอยเดิม ไม่มีทาง... ยอมให้เกิดเรื่องแบบนั้นเป็นครั้งที่ 2 ชนะชนบอกตัวเองด้วยใจตั้งมั่น