ตอนที่ 6
“อ้าว...มีปากด้วยเหรอ นึกว่าเป็นใบ้” วิฬาร์เอ่ยถาม ฉีกยิ้มกว้างจนเรียวปากนุ่มแทบจะฉีกถึงใบหู ขยับยกปลายเท้าเล็กน้อยด้วยท่วงท่าสบายๆ เพื่อไม่ให้พวกนี้รู้ว่าเธอนะกลัวจนตัวสั่น ขาสั่นแทบจะทรุดกองกับพื้นแล้ว
“ถ้าฉันไม่ยอม พวกนาย...นายและนาย” ชี้มือใส่หน้าแต่ละคน ยิ้มหวานเสียจนน้ำตาลแทบจะหก นัยน์ตาวาวระยับ
“จับตัวฉันไปดีๆ ละ แบบว่าสู้สุดใจขาดดิ้นนะ แล้วปัญหามันก็มีอยู่ว่าผิวน้องน่ะมันเป็นประเภทแพ้ง้ายง่ายซะด้วยซิ แตะแรงๆ หน่อยเดี๋ยวก็เขียวช้ำขึ้นมาแล้ว อย่างนี้เจ้านายของพี่จะไม่ว่าเอาหรือไงที่ทำให้ฉันมีริ้วรอยน่ะ” เรียกนายๆ จะพากันงงเสียเปล่าๆ เอาเป็นว่าเรียกเพราะๆ หาทางปะเหลาะให้พวกมันเผลอ เธอจะได้หนีง่ายๆ ดีกว่า
“อย่าไปฟังมันพล่ามมาก นังนี่เล่ห์เหลี่ยมมันแพรวพราว” ไอรินเตือนอย่างรู้ทันนิสัยอีกฝ่าย ก็แหม...อยู่ด้วยกันตั้งหลายปี จะไม่รู้ได้ยังไงล่ะ เธอถูกเล่นงานมานักต่อนักแล้ว แค้นจนแทบกระอักแต่เอาคืนไม่ได้เสียที จะมีครั้งนี้แหละที่นอกจากจะได้เอาคืน แถมยังจะได้ลาภก้อนโตอีกด้วย
“แหม...” วิฬาร์ลากเสียงสูงลิ่ว แถมยังกระดกลิ้นดังเปาะๆ อีกด้วย
“ถึงฉันจะเจ้าเล่ห์แค่ไหน แต่ก็ยังสู้คุณไม่ได้อยู่ดีหรอกนะคุณไอริน คุณเจ้าเล่ห์ยิ่งกว่าหมาจิ้งจอกเสียอีก เล่นเอาฉันไปไม่เป็นเลยเชียวนะ ไม่งั้นจะมาพลาดท่าถูกคุณหลอกให้คนพวกนี้มาเอาตัวไปได้ยังไง จริงไหม” พูดพร้อมกับหยุดฉีกยิ้มกว้างจนแทบจะถึงไรฟัน ฟ้ายังมีตาใช่ไหมนี่ เลยทำให้เธอมีทางหนีได้อีกแล้ว ถึงจะเสี่ยงกับต้องเจ็บตัวนิดหน่อย แต่ก็เอาเหอะ ถือว่าคุ้มละกัน ดีกว่าจะต้องไปเป็นนางบำเรอใครก็ไม่รู้
‘ยี้...คิดแล้วขนลุกขนพอง ขยะแขยงพวกลามกจกเปรตนี่จริงๆ อย่าให้แม่มีโอกาสนะ จะหาทางพาตำรวจไปรวบตัวเข้าซังเตให้เข็ดเลย’
“แต่...ยอมรับก็ได้ คราวนี้คุณพูดถูก เพราะฉันไม่ยอมให้คนพวกนี้จับตัวไปประเคนให้ใครก็ไม่รู้ได้หรอกนะ ใครกล้าเข้ามาฉันฟาดไม่เลี้ยง” วิฬาร์ก้มลงคว้าเอาไม้ท่อนเล็กขึ้นมาอย่างเร็ว กวัดแกว่งเหวี่ยงไปมาไม่ยอมให้สามชายร่างสันทัดแต่หนาเตอะเข้าใกล้ได้ง่ายๆ มองแต่ละคนที่เดินเข้ามาอย่างไม่กลัวจะเจ็บตัวตาวาวจ้า เธอไม่ใช่และจะไม่ยอมเป็นสัตว์เลี้ยงของใครเด็ดขาด
“ว้า...น้องสาวนี่สู้ไม่เลิกจริงๆ พี่ชักจะโมโหขึ้นมาบ้างแล้วนะ อยากเจ็บตัวก็เอา พี่จัดให้” มันจะสักเท่าไหร่เชียวกับฝีมือเด็กตัวกะเปี๊ยก ริอ่านจะมายั่วโทสะกัน อย่างนี้ไม่เจ็บตัวก็คงไม่ยอม โชคดีว่านายไม่อยู่ กว่าจะกลับก็อีกหนึ่งอาทิตย์ข้างหน้า ถ้ายายตัวเล็กนี่ผิวช้ำง่ายอย่างว่าจริงๆ ถึงตอนนั้นก็คงหายเรียบร้อยแล้วละ
“ว้าย!” วิฬาร์หวีดร้องเสียงหลง เพราะแทนที่จะได้ทำร้ายอีกฝ่ายเพื่อเปิดทางหนี แต่ตีไปแค่ครั้งเดียวเท่านั้น ไม้ก็หักออกเป็นสองท่อน ไอ้คนถูกทุบก็ยืนหัวเราะหน้าดำหน้าแดง ตัวงอเหมือนกับกุ้งถูกต้ม ยังไม่ทันจะได้ตั้งตัว เธอก็ถูกอีกคนจับแขนบิดไพล่ไปด้านหลัง จนแทบจะได้ยินเสียงกระดูกหักดังกร๊อบ!
“โอ๊ย! ไอ้พวกบ้า เจ็บนะโว้ย จะหักแขนกันหรือไง ปล่อยนะไอ้พวกบ้า” ในวินาทีนั้นมันเจ็บจนน้ำตาเล็ด น้ำตาที่ไหลอาบสองแก้มอย่างสะกดกลั้นเอาไว้ไม่ได้ แต่ถึงจะอย่างนั้นวิฬาร์ไม่ยอมอยู่นิ่งเฉย ทิ้งน้ำหนักไปบนเท้าใหญ่เต็มๆ บดขยี้สลับกระทืบแรงๆ ไม่ยั้ง “ปล่อย!” หญิงสาวแผดเสียงร้องดังลั่น ดึงกระชากมือจากการถูกล็อกไว้อย่างไม่สนใจความเจ็บลิ่วๆ ที่แผ่ซ่านมา
“บอกแล้วว่าอย่าเรื่องมาก แล้วเป็นไงล่ะ เจ็บตัวจนได้” ไอรินแสยะยิ้มอย่างสมน้ำหน้า ดี เจ็บตัวเสียมั่ง จะได้รู้ว่าต่อไปควรจะทำตัวไง “เอาตัวมันไปได้แล้ว แต่ระวังด้วยล่ะนังนี่มันฤทธิ์มาก อ้อ...โบนัสฉันด้วย” แบมือขอมันซึ่งๆ หน้า แถมยังมองวิฬาร์ด้วยสายตาเยาะเย้ย
“คุณขายฉันเท่าไหร่คุณไอริน” วิฬาร์กัดฟันถามเสียงเขียว ยอมหยุดไม่เคลื่อนไหว เมื่อเห็นแล้วว่านอกจากจะไม่พาตัวหลุดออกมาได้แล้ว ยังจะทำให้เธอเหนื่อยและเจ็บตัวมากยิ่งขึ้น เธอจะต้องไม่แสดงความอ่อนแอให้คนพวกนี้ได้เห็น กายเล็กขยับในท่วงท่าที่ทำให้ตัวเองเจ็บน้อยที่สุด
“อ๊าย...พูดไม่เพราะเลยหนูแมวเหมียว อย่าเรียกว่าฉันขายหนูซิจ๊ะ” ไอรีนขยับปลายนิ้วตรงหน้าวิฬาร์ไม่พอ ยังจะลอยหน้าลอยตายั่วให้อีกฝ่ายอารมณ์ขึ้นอีกด้วย “ฉันแค่ส่งหนูไปแบบว่า ฝึกเรื่องบนเตียงนอนก็เท่านั้นเอง เอาน่าโดนครั้งแรกมันอาจจะแบบว่าเจ็บหน่อย แต่เดี๋ยวครั้งต่อๆ ไปก็ชินเองแหละ ดีไม่ดีหนูอาจจะชอบจนร้องบอกว่าเอาอีกก็ได้นะ” คนเป็นแม่เลี้ยงพูดเสียงดังก้อง ก่อนจะหัวเราะดังลั่นด้วยความสะใจ
“ยาย...ยายอสรพิษ!” วิฬาร์ไม่รู้ว่าจะเรียกผู้หญิงตรงหน้าว่ายังไงดีแล้ว หน้าตาก็สวยดี แต่จิตใจโคตรจะต่ำทราม ขายได้แม้กระทั่งคนเพศเดียวกัน เมื่อไหร่แผ่นดินจะแยกสูบเอาคนพวกนี้ไปลงนรกเสียทีก็ไม่รู้ ปล่อยให้มาเพ่นพ่านเหมือนกับหมาไล่งับกระดูกทำร้ายคนอื่นอยู่ได้
“ไม่ต้องพูดมาก รีบไปกันได้แล้ว” คนจับตัววิฬาร์เอาไว้กระตุ้นให้หญิงสาวเดินไปข้างหน้าอย่างไม่ปรานี
‘ได้ซิ แต่พวกแกน่ะไปกับยายหน้างูไอรินละกัน ฉันไม่มีวันไป’
วิฬาร์ลองเสี่ยงดวงดูอีกครั้ง พวกมันไม่ได้ประมาทแต่คาดไม่ถึงมากกว่า มืออีกข้างที่ยังเป็นอิสระงอเล็กน้อย แล้วกระทุ้งศอกแหลมๆ ไปด้านหลังเต็มแรง พร้อมกระทืบลงไปบนเท้าใหญ่สุดแรงเกิด และเธอยังไวพอเหวี่ยงหมัดเข้าตรงเป้าตาไอ้ตัวร้ายซึ่งบิดแขนเธอแทบจะหักอีกครั้งเต็มๆ ก่อนจะวิ่งหนีไปไม่มองทิศทาง
วิฬาร์คิดว่าตัวเธอเองกำลังจะขาดใจตายเพราะความเหนื่อย แต่ครั้นจะหยุดพักก็ทำไม่ได้ เพราะเหลียวมองไปด้านหลังทีไร คนพวกนั้นยังวิ่งกวดไล่ตามมาติดๆ แต่ครั้นจะวิ่งต่อไปก็ไม่ไหวแล้ว ขามันล้าจนก้าวสั้นลงเรื่อยๆ ขืนวิ่งอีกเพียงไม่ถึงสิบนาทีจะต้องถูกคว้าตัวเอาไว้ได้แน่ แล้วทีนี้ต่อให้เธอมีปีกก็บินหนีไม่ได้ กลายเป็นนกในกรงทองให้ใครก็ไม่รู้เล่นกับเรือนร่างราวกับว่าเธอเป็นผู้หญิงอย่างว่า ไม่...เธอทนไม่ได้แน่
คิดซิวิฬาร์ ทำยังไงถึงจะหนีพวกนั้นพ้น...แล้วนัยน์ตากลมโตก็เบิกกว้างด้วยความดีใจเมื่อเห็นว่าด้านหน้าไม่ไกลมากเท่าไหร่นั้นเป็นอาคารขนาดใหญ่ ที่นั่นจะต้องมีคนพลุกพล่าน มียามคอยเฝ้าดูแลให้ความปลอดภัย เธอน่าจะมีหวังร้องเรียกขอความช่วยเหลือได้ แต่...
“ช่วยด้วย ขโมย ช่วยจับหน่อย”
“บ้าชะมัด!” ไอ้คนบ้าพวกนี้ดันดักทางเธอไว้เสียก่อน จะส่งเสียงตะโกนโหวกเหวกโวยวายทำไมเล่า กลัวคนเขาไม่รู้กันหรือไงหา... เสียงที่ดังไล่หลังมาทำให้วิฬาร์ต้องเปลี่ยนเส้นทาง จากจะวิ่งไปขอความช่วยเหลือจากยาม เป็นวิ่งลัดเลาะไปตามขอบแนวพุ่มไม้เขียวขจี ซึ่งพอมีช่องเล็กๆ ให้คนตัวเล็กอย่างเธอเล็ดลอดเข้าไปภายในเพื่อหาที่หลบซ่อนตัว
ผ่านแนวรั้วต้นไม้เข้ามาได้ วิฬาร์ก็ยืนหมุนไปหมุนมาอยู่ครู่หนึ่ง พอดีกับมีรถสีขาวคันโตหยุดจอด มีชายร่างสันทัดเดินลงมาเปิดประตูด้านข้างให้คนในรถก้าวลงมา คนด้านในจะลงมาแล้วหรือเปล่านั้นเธอไม่รู้หรอก เพราะถลาวิ่งเอาหัวมุดไปด้านหน้า สอดตัวเข้าไปนอนคุดคู้เก้กังอยู่บนพื้นนุ่มๆ ด้วยหัวใจเต้นระทึก ภาวนาว่าอย่าให้ต้องเจอกับเรื่องร้ายๆ อีกเลย