ตอนที่ 1
ตอนที่ 1
“ช่วยด้วยๆ ขโมย ช่วยจับขโมยหน่อย”
เสียงร้องตะโกนดังไล่หลังมาไม่ทำให้วิฬาร์กลัวได้เท่ากับเสียงตึกๆ วิ่งตามไล่หลังมาติดๆ พร้อมคำพูดที่บอกให้จับเธอเอาไว้อย่าให้หนีไปได้นั่นอีก ทำให้กลัวจนหัวใจแทบจะหยุดเต้น เท้าเรียวยาวสาวไปข้างหน้ารัวเร็วถี่ยิบจนแทบจะพันกัน ในหัวใจอัดแน่นไปด้วยความอึดอัดหวาดหวั่น กลีบปากสีชมพูอ้าเล็กน้อย สูดเอาลมหายใจอัดเข้าในปอดแรงๆ เพื่อเสริมให้มีแรงวิ่งหนีจากเงื้อมมือคนใจร้ายต่อไป
‘ไม่น่าเลยเธอ...ไม่น่าเชื่อใจยอมออกมากับไอรินเลย ไม่งั้นคงไม่เกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้น’
วิฬาร์ก่นด่าตัวเองในใจ รู้ดีอยู่แล้วยายแม่เลี้ยงตัวแสบคอยจ้องหาโอกาสที่จะกำจัดอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน ในเมื่อเธอเป็นผู้มีหน้าที่ดูแลทรัพย์สมบัติซึ่งผู้เป็นพ่อทิ้งเอาไว้ให้ เป็นเสี้ยนหนามสำคัญที่ทำให้ไอรินไม่สามารถใช้จ่ายเงินตามอำเภอใจได้เหมือนตอนที่บิดายังมีชีวิตอยู่
อันที่จริงเธอก็คอยระมัดระวังตัวอยู่เสมอๆ แต่ไม่นึกว่าวันนี้จะมาพลาดท่าเสียที เพราะความเห็นอกเห็นใจ แล้วก็ลืมไปว่าคนเรา สันดอนน่ะขุดได้ แต่สันดานนะฝังแน่นอยู่ในกาย นิสัยคนเราไม่สามารถเปลี่ยนแปลงแก้ไขได้ภายในเวลาไม่กี่วัน แม้จะพยายามปกปิดยังไง แต่หลายครั้งก็ยังคงแสดงออกมาทางดวงตาที่เปล่งประกายแห่งความเกลียดชัง อิจฉาริษยาอยู่เสมอ
ไอรินวางแผนไว้แต่แรกแล้ว ถึงได้แกล้งทำเป็นมีไข้เอาในวันที่คนขับรถไม่อยู่ ภาระในการขับรถพาหล่อนไปส่งโรงพยาบาลจึงเป็นหน้าที่ของผู้ร่วมบ้านอย่างเธอ ที่เมื่อเห็นคนป่วยจะทำเป็นคนใจจืดใจดำอยู่ได้ยังไงกันล่ะ ที่เลวร้ายกว่านั้น ใครจะไปคิดกันล่ะว่าอาคารที่จอดรถของโรงพยาบาลนั่นน่ะ แท้ที่จริงคือสถานที่ซึ่งไอรินได้แอบนัดหมายกับคนของไอ้เสี่ยตัณหากลับมาจับเอาตัวไป
มือบางยกขึ้นปาดซับหยาดหยดเหงื่อบนวงหน้านวลแดงปลั่ง พร้อมเป่าพ่นลมหายใจออกจากปากบรรเทาความเหนื่อยล้า อยากหยุดพักใจจะขาด แต่เมื่อเหลียวมองไปด้านหลัง ชายร่างหนาใหญ่หน้าตารกครึ้มด้วยไรหนวดและเคราอย่างน่ากลัวยังวิ่งไล่ตามติดมาอย่างไม่ลดละ
โชคดีที่เธอพอจะมีฝีมือทางด้านการต่อสู้บ้าง ก็แบบว่าเป็นพวกอยู่นิ่งๆ เฉยๆ ไม่เป็น ว่างเมื่อไหร่ก็แอบพ่อไปเล่นกับเด็กข้างๆ บ้าน ซึ่งสำหรับพวกนั้นแล้วการต่อยตีเป็นเรื่องธรรมดามาก เธอเลยได้อานิสงส์ของการต่อยมวยวัดเป็นกับเขามานิดหน่อย ไม่ได้เก่งมากมายแต่ก็พอใช้ป้องกันตัวเองได้
ตอนแรกก็ไม่คิดว่าจะมีประโยชน์อะไรหรอกนะ ฝึกไว้เพื่อให้สุขภาพร่างกายแข็งแรงก็เท่านั้น แต่ตอนนี้ยอมรับถึงประโยชน์ที่ได้รับแล้วละ พอก้าวลงจากรถปุ๊บ ก็ถูกเจ้าพวกนั้นเดินเข้ามาประกบในระยะกระชั้นชิดปั๊บ มือไม้มันก็เลยเคลื่อนไหวไปอย่างที่ใจกำหนด สามารถต่อยหน้ายักษ์ใหญ่ท่าทางเหี้ยมหาญจนพวกมันทรุดลงกองกับพื้น เพราะความที่ไม่ทันจะได้ตั้งตัวและคาดไม่ถึงว่าคนอย่างเธอ ที่เห็นตัวเล็กๆ ปราดเปรียวเพรียวบางอย่างกับเด็กจะมีฤทธิ์ ก่อนจะใส่เกียร์หมาให้เท้า วิ่งหน้าตั้งหูลู่เหมือนหมาจูถูกเจ้าถิ่นไล่ฟัดด้วยความเหนื่อยอ่อน เพราะความสะเพร่าของตัวเอง
“หยุดนะ!! มาให้จับซะดีๆ ”
อยากหันไปตะโกนใส่หน้าด้วยเสียงดังๆ “ฉันคงจะบ้า งี่เง่าและโง่จนต้องเอาหัวควายมาสวมซิ ถึงจะยอมหยุดให้พวกแกจับตัวเอาไปต้มยำทำแกงน่ะ อยากได้ตัวก็วิ่งตามมาจับเอาเองซิ”
แบร๋... ด้วยความทะเล้นแก่นกะโหลกซึ่งมีติดตัวมา ทำให้วิฬาร์หันหน้าไปแลบลิ้นปลิ้นตาหลอกสองหนุ่มร่างยักษ์ที่วิ่งไล่กวดตามติดอย่างไม่รู้จักคำว่าเหน็ดเหนื่อย ยั่วยวนให้พวกมันโกรธจัดๆ จะได้ปล่อยอารมณ์มุทะลุออกมาจนเพลี่ยงพล้ำปล่อยให้เธอหลุดมือไปได้ง่ายๆ
เท้าบอบบางสาวไปอย่างไม่หยุดยั้ง พอๆ กับเศษเสี้ยวส่วนหนึ่งของสมองซึ่งไม่ได้ฉลาดมากมายนักคิดทบทวนเรื่องราวภายในบ้าน ในช่วงระยะเวลาหนึ่งเดือนที่ผ่านมา ที่ทำให้เธอนั้นคลายความหวาดระแวงในตัวไอรินไปจนลืมระมัดระวังตัว ทั้งๆ ที่มีคนพูดจาตักเตือนเข้าหูมาเรื่อยๆ อย่างแรกก็คงจะเป็น...
ลักษณะท่าทางที่เปลี่ยนไปของไอริน จากคนที่เคยคอแข็ง เชิดหน้าสูงไม่มองดิน พูดจาระรื่นหวานหู แต่ต้องเฉพาะตอนอยู่ต่อหน้าบิดาเท่านั้นนะ ลับหลังน่ะหรือ เหอะ...ไม่อยากจะเซดเลยว่า แม่เจ้าประคุณอย่างกับหน้ามือเป็นหลังเท้าเลย คำพูดแต่ละคำห้วน หยาบคาย กระด้าง ทำให้นึกถึงพวกนางยักษ์หรือแม่มดในนิทานที่แม่เคยเล่าให้ฟังเมื่อตอนยังเด็กๆ เลย นั่นก็คือ พูดจาหวานหู มองคนอื่นเหมือนกับคนที่มีสถานะเท่าเทียมกันมากขึ้น ท่าทางก็ดูอ่อนลงอย่างเห็นได้ชัด และอีกอย่างที่พ่วงมาด้วยก็เป็นอาการป่วย ซึ่งจะมีมาประจำทุกวันไม่เช้า...ก็ค่ำ
อืม...จะว่าไปนะ ตอนเช้าไม่ค่อยมีเท่าไหร่ เพราะแต่ละครั้งที่ไอรินออกจากบ้านไป หน้าตาจะผ่องใส ยิ้มเสียจนปากแทบจะฉีกถึงใบหูเลยทีเดียวละ ใช่ว่าแต่หน้าตาจะสวยใสผุดผ่องราวกับจะกระชากอายุจากเกือบจะสี่สิบให้ลงมาเหลือแค่สามสิบกลางๆ เท่านั้น จนเธอนี่มองตาค้างด้วยความอิจฉา ก็เธอนะเหมือนผู้หญิงซะที่ไหนล่ะ เห็นเป็นเด็กน้อยออกจะเป็นทอมบอยซะด้วยซ้ำไป
เสื้อผ้าหน้าผมหรือก็เลิศเสียจนน่ากลัว ผมเผ้าที่จัดทรงเสียจนสเปรย์บล็อกผมคงจะหมดครั้งละขวด แล้วยังจะชุดที่ใส่ไม่มียับแม้แต่นิดเดียว ถ้าชุดไหนมีกลีบนะ มันคงจะบาดคนที่อยู่ใกล้ๆ อย่างเธอกับเด็กน้อยสาวใช้แสนซื่อจนกลายเป็นโง่ให้ถูกหลอกอยู่บ่อยๆ เชียวละ
ปกติไอรินจะออกจากบ้านไปข้ามวันข้ามคืน เคยมีหายตัวไปเป็นอาทิตย์ก็มีนะ ก่อนจะกลับมาด้วยท่าทางของคนหมดเรี่ยวแรง หน้าตาก็โทรม ดวงตาลึกโบ๋ ขอบตาคล้ำยังกับคนอดหลับอดนอน กลิ่นกายจากที่หอมระรื่นก็มีกลิ่นควันบุหรี่คละคลุ้ง
ทว่าช่วงหลังๆ ซึ่งถ้านึกให้ดีก็ไม่น่าจะถึงสามเดือน ไอรินออกจากบ้านไปตั้งแต่เช้า กลับมาก็ไม่ค่ำมาก สูงสุดไม่เกินสี่ทุ่ม หน้าตาก็หมองเศร้ากับอาการแปลกๆ เช่น ร่างกายโอนเอนไปมา หน้าตาซีดเผือด บ่นอุบว่าแน่นตรงเหนือท้องขึ้นไปถึงช่วงอก หายใจแรงเร็วราวกับคนเป็นโรคหอบหืด ร้องเรียกหายาดมยาลมยาหม่องเสียให้วุ่นวาย หรือไม่ก็พ่วงด้วยอาการอาเจียน แต่เปล่านะ ไม่ได้มีอะไรออกมาเลยนอกจากลมล้วนๆ
จนสองอาทิตย์หลังนี่เองที่ทำให้เธอต้องคอยหันมาดูแลเอาใจใส่ไอรินมากขึ้น อันเนื่องมาจากไอรินอาเจียนบ่อยขึ้น แล้วก็ยังมีเลือดผสมปนออกมาหลายครั้ง สุดท้ายก็คือตอนเย็นของวันนี้ ไอรินอาเจียนอีกและบอกว่าหายใจไม่ออก ทำอย่างกับคนกำลังจะสิ้นลมหายใจ ขอให้เธอพามาโรงพยาบาล
เรื่องราวทั้งหมดนี้...หมายความว่า ไอรินวางแผนเอาไว้ หลอกลวงให้หลงเชื่อ เพื่อจะพาเธอมาสังเวยให้กับไอ้แก่ตัณหากลับ ผู้หญิงอะไรชั่วช้าจริงๆ
“มันอยู่นั่น ไอ้พวกโง่ จับให้ได้ซิโว้ย!” ไอรินตะโกนสั่ง พลางชี้มือชี้ไม้ไปหาลูกเลี้ยงจอมแสบซึ่งซอยเท้าถี่ยิบ วิ่งหน้าเริดไปไม่เหลียวหลัง นัยน์ตาลึกโบ๋ ขอบตาซึ่งเป็นสีดำอยู่แล้วยิ่งแต่งหน้าจัดก็ยิ่งดำเป็นปื้น ราวกับหมีแพนด้าเปล่งประกายกราดเกรี้ยว ปากบูดเบี้ยวราวกับคนเป็นอัมพฤกษ์อัมพาตอย่างไม่สบอารมณ์
เสียงแหลมเล็กของอดีตแม่เลี้ยงตัวแสบดังสอดแทรกมาทำให้วิฬาร์หยุดคิดเรื่องที่ผ่านมา ถึงยังไงเสียก็ย้อนกลับไปแก้ไขอะไรไม่ได้ ในตอนนี้หน้าที่เธอมีอย่างเดียวคือวิ่ง...วิ่งและวิ่งให้สุดแรงเกิด หนีจากยายแม่มดใจร้ายให้ได้