“ชื่อพัดชาค่ะพี่ฉัตร”
คำตอบของเด็กหญิงสร้างความหมั่นไส้ให้ราชนิกุลหนุ่มไม่น้อย ทีกับเขา เจ้าตัวพูดแบบไม่มีหางเสียง แต่กับเพื่อนของเขากลับพูดจาดี ซ้ำยังเรียกพี่อีก
“ส่วนเพื่อนพี่คนนี้มีเชื้อเจ้า” ฉัตรพงษ์บอกเด็กหญิงพลางยิ้ม แล้วชี้มือไปยังเพื่อนที่ยืนปั้นหน้าดุอยู่ “ชื่อหม่อมราชวงศ์พิษณุวัชร์หรือคุณชายณุ”
พัดชาร้องอ๋อในใจ ที่แท้ก็มีเชื้อเจ้านี่เอง ถึงได้ทำท่าทางหยิ่งๆ ไม่เหมือนคนเป็นเพื่อนสักนิด อย่างนี้ก็แสดงว่าเป็นคนในรั้วกำแพงนั่นอย่างแน่นอน
“ไหนลองเรียกพี่ณุซิ” คนที่มีเชื้อเจ้าแกล้งบอกเสียงเข้ม อยากจะรู้นักเชียวว่าจะเรียกเขาว่าพี่บ้างไหม
คนถูกสั่งให้เรียกพี่ไม่ได้เรียกตามแต่อย่างใด เพราะคำที่หลุดจากปากคือ “คุณชายณุ”
เจ้าของคำสั่งฟังคำเรียกขานของเด็กหญิงแล้วก็ฉุนกึก ให้เรียกพี่ดันมาเรียกเขาว่าคุณชายณุอีก ทว่ายังไม่ทันจะพูดอะไร ฉัตรพงษ์ก็อุทานเสียงดังขึ้นมาเสียก่อน
“อ้าว ไอ้ณุ นั่นหญิงนิ่มนี่ เดินหน้าตาตื่นออกมาโน่น”
พัดชาหันไปมองคนที่เดินมา ก็เห็นเด็กหญิงรูปร่างบอบบาง หน้าตาสะสวย และน่าจะมีวัยใกล้เคียงกับเธอ แต่ตัวเตี้ยกว่าเธอเป็นไม้บรรทัด แต่งกายสวยงามด้วยชุดเสื้อกับกระโปรงติดกันสีฟ้าจางๆ แขนในตัว เดินหันรีหันขวาง ทำหน้าตาตื่นอย่างที่ว่าจริงๆ
“หญิงนิ่ม ออกมาข้างนอกทำไม เดี๋ยวก็ถูกหม่อมแม่บ่นเอาหรอก” หม่อมราชวงศ์พิษณุวัชร์ถามหม่อมราชวงศ์ฉัตรกมลผู้เป็นน้องสาวด้วยท่าทีขรึม
หม่อมราชวงศ์ฉัตรกมลเดินมาหยุดยืนตรงหน้าผู้เป็นพี่ชายแล้วตอบเสียงอ่อน “หญิงอาสาออกมาตามพี่ชายณุไงคะ หม่อมแม่เลยไม่บ่น” ก่อนจะมองไปรอบๆ ตัวด้วยความตื่นตาตื่นใจ เพราะตั้งแต่ย้ายบ้านเธอยังไม่เคยออกมาพ้นเขตรั้วกำแพงเลยสักครั้ง
“ออกมาตามพี่? ทำไมต้องตามด้วย แล้วรู้ได้ไงว่าพี่ออกมาข้างนอก”
“ลุงบุญมีบอกค่ะ ส่วนที่ต้องออกมาตามเพราะพี่เอื้อยน่ะสิคะเป็นต้นเหตุ” เล่าด้วยสีหน้าไม่ชอบใจนัก
“เอื้อยมาเกี่ยวกับอะไรกับพี่” พี่ชายถามอย่างไม่เข้าใจ
“แหม...” คุณหญิงคนน้องลากเสียงยาว “ก็พี่เอื้อยเธอบอกว่าอุตส่าห์ตั้งใจเดี่ยวเปียโนเพลง “Moonlight Sonata” ที่เพิ่งต่อโน้ตมาใหม่ให้พี่ชายณุฟัง แต่เจ้าตัวดันไม่ยอมอยู่ฟังเสียนี่ ก็เลยออกอาการงอน หญิงก็เลยอาสาออกมาตามให้”
“ก็เข้าทางเราเลยสิหญิงนิ่ม อยากออกมาข้างนอกด้วยใช่ไหมล่ะ” คุณชายคนพี่พูดอย่างรู้ทัน พลางยีศีรษะที่มีผมดำขลับปกคลุมอย่างรักใคร่เอ็นดู
คนถูกรู้ทันยิ้มกว้าง กวาดตามองไปรอบกายอย่างตื่นเต้นไม่หาย
“ใช่ค่ะ หญิงเบื่องานเลี้ยงจะแย่แล้ว มีเกือบทุกอาทิตย์ อยากออกมาเดินเล่นชมบรรยากาศข้างนอกบ้านบ้าง หม่อมแม่ก็ไม่เคยอนุญาต บอกว่ารอบบ้านเรามีแต่ชาวบ้านซึ่งเป็นคนละชั้นกับเรา” หม่อมราชวงศ์หญิงวัยแรกรุ่นพูดด้วยน้ำเสียงเบื่อหน่าย
พัดชาที่เงี่ยหูฟังอยู่เกิดอาการหมั่นไส้กับคำพูดที่ว่า ‘มีแต่ชาวบ้านซึ่งเป็นคนละชั้นกับเรา’ พานให้นึกถึงคำพูดของผู้เป็นป้าขึ้นมาทันใด
“หม่อมแม่คงเป็นห่วงหญิงนิ่ม กลัวจะเกิดอันตรายมั้งจ๊ะ” คุณชายผู้พี่บอกคุณหญิงผู้น้องเสียงนุ่ม
คำพูดดังกล่าวทำให้คนที่กำลังหมั่นไส้พูดสวนออกไปทันที
“แม้พวกเราจะเป็นเพียงชาวบ้านธรรมดา แต่ก็ไม่เป็นพิษเป็นภัยหรือเป็นอันตรายกับใคร มิสเตอร์เจมส์ เจ้าของบ้านคนเก่ายังเคยเอ่ยปากว่ารอบๆ บ้านมีแต่คนเป็นมิตรทั้งนั้น”
หม่อมราชวงศ์พิษณุวัชร์เลิกคิ้วเข้มขึ้นมองคนพูดอย่างพิศวง เพราะนอกจากเจ้าตัวจะใช้คำพูดฉะฉานแล้ว ยังพูดสำเนียงภาษาอังกฤษได้อย่างถูกต้องและชัดถ้อยชัดคำอีก แสดงว่าต้องรู้ภาษาดังกล่าวเป็นอย่างดีทีเดียว ขณะกำลังจะเอ่ยถามสิ่งที่สงสัย ฉัตรพงษ์ก็พูดโพล่งขึ้นมาเสียก่อน
“พัดชา เรียนหนังสือที่โรงเรียนอะไรหรือจ๊ะ”
คนถูกถามยิ้มมุมปากนิดหนึ่งก่อนจะตอบ
“โรงเรียนเซนต์ฟรังซีสซาเวียร์คอนแวนต์ ชั้น ม.๖ ค่ะพี่ฉัตร”
“เรียนที่เซนต์ฟรังซีสซาเวียร์คอนแวนต์หรือจ๊ะ ชั้นเดียวกันด้วย เสียดายจังไม่ได้เรียนที่เดียวกัน ฉันเรียนอยู่มาแตร์เดอีวิทยาลัย” คุณหญิงนิ่มบอกพลางมองเด็กหญิงตัวสูงที่รู้สึกถูกชะตาอย่างสนใจ
“อย่างนี้นี่เอง พูดภาษาอังกฤษสำเนียงดีจัง” ฉัตรพงษ์เอ่ยชม
คนถูกชมว่าสำเนียงภาษาอังกฤษดีไม่อยากอวดอีกว่า นอกจากเรียนที่โรงเรียนแล้ว เธอยังได้รับการสอนพิเศษเป็นการส่วนตัวจากมิสเตอร์เจมส์อีกต่างหาก
“พูดสำเนียงดีกว่าฉันอีกนะ” คุณหญิงนิ่มพูดชมเชยแล้วก็เบิกตาโต เมื่อเห็นผลไม้ในมือของเพื่อนสนิทพี่ชาย “พี่ฉัตร นั่นลูกอะไรหรือคะ ใช่กระท้อนหรือเปล่า”
พัดชามองหน้าคนถามแล้วย่นจมูกใส่ ‘แหม ไม่รู้จักกระท้อนนี่นะ!’
“ใช่จ้ะหญิงนิ่ม นี่ละกระท้อนที่ป้าชื่นชอบเอามาทำลอยแก้วให้เรากิน” คนเป็นพี่ชายตอบแทนเสียงนุ่ม
“หญิงเคยเห็นแต่ลูกเล็กๆ ไม่เคยเห็นใหญ่เท่านี้มาก่อน”
คนที่ยืนแอบฟังอยู่เมื่อเห็นสีหน้าไม่ได้เสแสร้งของคนพูด ก็เข้าใจว่าอีกฝ่ายคงไม่รู้จักกระท้อนจริงๆ
“แล้วใครเป็นคนเก็บให้คะ อย่าบอกนะว่าพี่ฉัตรปีนขึ้นไปเก็บ”
ฉัตรพงษ์ส่ายหน้าพลางชี้มือไปยังคนเก็บ
“พัดชาต่างหากเป็นคนเก็บ พี่ออกมาเดินเล่นกับพี่ชายของหญิง แล้วก็เห็นมีคนอยู่บนต้นกระท้อน ตอนแรกยังเข้าใจว่าเป็นเด็กผู้ชาย แต่ดันกลายเป็นเด็กผู้หญิงเสียนี่”
คนฟังถึงกับเบิกตาโตอีกครั้งเมื่อรู้ว่าคนเก็บกระท้อนคือเด็กผู้หญิงตัวสูงที่ตัวเองต้องชะตาด้วย
“เก่งจังเลย”
คนถูกชมว่าเก่งยิ้มรับแล้วก็ต้องหุบยิ้มฉับ เมื่อได้ยินเสียงพูดกลั้วหัวเราะจากคนตัวสูงที่ยืนกอดอกอยู่
“คนเก่งของหญิงนิ่มน่ะเมื่อกี้ก็หล่นตุ้บลงมาจากต้น ดีที่ขาแข้งไม่หัก”
“หล่นจากต้น!” คนเป็นน้องอุทานเสียงดัง แล้วก็ต้องรีบเอามือปิดปากไว้เหมือนกลัวใครมาเห็น มองคนหล่นจากต้นไม้อย่างแปลกใจระคนทึ่ง เพราะเจ้าตัวไม่ส่ออาการใดๆ ให้เห็นเลยแม้แต่น้อย “แล้วไม่เจ็บเลยหรือจ๊ะ”
คนหล่นจากต้นไม้ยืดอกบอกเสียงดัง “ไม่เจ็บหรอกจ้ะ ฉันปีนต้นไม้เป็นตั้งแต่เด็กแล้ว และเพิ่งจะตกเป็นครั้งแรกก็คราวนี้ ที่ตกก็เป็นเพราะพลาดเหยียบกิ่งผุต่างหาก”
ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่พัดชาตกจากต้นไม้ แถมยังตกต่อหน้าคนอื่นอีกต่างหาก สร้างความขายหน้าให้เธอยิ่งนัก ซึ่งคำพูดดังกล่าวก็ทำให้คนตัวสูงหัวเราะหึๆ คนถูกหัวเราะจึงหันไปมองอย่างไม่พอใจนัก